ยอดวีรบุรุษแท้จริงคือเงินตรา

 

“เหอะ อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป! ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพสามารถเปิดใช้ได้แค่ชั้นแรกเท่านั้น อัตราส่วนเวลาเป็นเพียงหนึ่งในสิบของทั้งหมด พรสวรรค์ของเจ้านับว่าไม่เลวก็จริง แต่พรสวรรค์ของเหล่าอัจฉริยะคนอื่นๆในมหาพิภพถงเทียนนับว่าน่าทึ่งเช่นกัน! จอมเทพนิรันดร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น! เอาล่ะ ถึงแม้พรสวรรค์ของเจ้าเหนือกว่าเขา แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ที่แปดร้อยปี หากกล่าวตามตรง ด้วยตัวเจ้าในตอนนี้น่าจะยังใช้ได้แค่แปดสิบปี ในระยะเวลาแปดสิบปี เจ้าจักต้องมุ่งศึกษาศาสตร์แห่งค่ายกลจนทะลุปรุโปร่งโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม…เจ้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น! ตามที่คำนวณไว้ เพียงสิบปีเจ้ามีแค่เท่านี้ ซึ่งเจ้าไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย!”

หวูเฉินกล่าวประเมินสถานการณ์ หาได้ไว้หน้าปราศจากความเมตตาใดๆ

จะมีใครสักกี่คนที่กล้ากล่าวว่า พวกเขามีพรสวรรค์ที่เหนือชั้นเสียยิ่งกว่าจอมเทพนิรันดร์?

นั้นเป็นการดำรงอยู่ที่ใกล้เคียงกับจักรพรรดิเทพสวรรค์ยิ่ง!

ในขณะที่เย่หยวนเป็นเพียงผู้คนในดินแดนที่จอมเทพนิรันดร์สร้างขึ้น ทั้งข้อบกพร่องและจุดด้อยย่อมเด่นชัดกว่าเป็นธรรมดา

ปรารถนาก้าวเดินไปให้ไกลกว่าจอมเทพนิรันดร์ นั้นกลับเป็นเรื่องเกินจริงไปมาก

แต่กระนั้นเอง หวูเฉินกลับประเมินพรสวรรค์ของเย่หยวนอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย!

ซึ่ง ณ เวลานี้ แปดสิบปีก็นับเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่เย่หยวนจะสามารถเข้าถึงได้แล้ว

 

เพิ่งเลื่อนกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น แต่สามารถเปิดใช้ศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์ได้ขนาดนี้

นี่เป็นความสำเร็จที่ก้าวล้ำไกลกว่าจอมเทพนิรันดร์ไปแล้วอย่างแท้จริง

ทว่าเย่หยวนมิอาจรอได้ถึงแปดสิบปี เขามีเวลาเพียงสิบปีเท่านั้น!

และภายในสิบปีนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เย่หยวนจะประสบความสำเร็จ!

 

อย่างไรก็ตาม เย่หยวนหาได้มีสีหน้าหวาดกลัวหรือสิ้นหวังอันใด เขายิ้มกว้างกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”

สำหรับเย่หยวนแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดกลับหาใช่หนทางอันยากเข็ญ แต่เป็นความจริงที่ไร้ซึ่งหนทางออก

ตราบใดที่ยังเห็นเสี้ยวแสงแห่งความหวัง ต่อให้เขาเผชิญความลำบากสักแค่ไหน สักวันความสำเร็จจักต้องกลัดกุมอยู่ในกำมือ!

 

เส้นทางสายนี้ เขาจะผ่านไปไม่ได้เชียวรึ?

แม้แต่อาณาจักรพระเจ้าที่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จเลยในรอบแสนปี เขาก็ทำสำเร็จไปแล้วเช่นกัน!

ไม่มีสิ่งใดยากเข็ญเกินไปสำหรับคนขยันมั่นเพียร!

หากเย่หยวนเอาแต่พะว้าพะวังเอาแต่วิตกกังวลตั้งแต่แรกเริ่ม เขาคงมิได้การยอมรับจากเต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์และขึ้นเป็นผู้ปกครองดินแดนแน่นอน

บางที ความสำเร็จของเขาอาจหยุดลงตั้งแต่ในดินแดนไร้สิ้นสุดแล้วด้วยซ้ำ!

 

พรสวรรค์เป็นเพียงหนึ่งส่วน ทว่าพรแสวงกลับสำคัญถึงเก้าส่วน!

 

หวูเฉินคาดไม่ถึง เย่หยวนหาได้ดูท้อแท้แต่อย่างใด

ในทางตรงข้าม แววไสวที่สะท้อนออกจากนัยน์คู่นั้นกลับยิ่งทวีความมุ่นมั่นเฉียบคมกว่าที่แล้วมา ประดุจได้จุดติดจิตวิญญาณอันร้อนแรงให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

หวูเฉินเข้าใจแล้วว่า คนยังรู้จักชายหนุ่มนามว่า เย่หยวน น้อยเกินไป

หากเป็นหลงเถิงที่อยู่ตรงนี้แทน เขาคงไม่กล่าวคำว่า‘เป็นไปไม่ได้’ต่อหน้าเย่หยวนแน่นอน

 

หวูเฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขากล่าวว่า

“เอาล่ะ ณ เวลานี้ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วเช่นกัน”

ถึงเขาจะกล่าวประเมินไปแบบนั้น แต่หวูเฉินก็หาได้มีเจตนาดับความหวังของเย่หยวนเช่นกัน

ตำแหน่งจอมเทพโอสถหนึ่งดาว กับระยะเวลาแค่สิบปี นี่มันรังแกผู้คนมากเกินไปจริงๆ

 

“หากสามารถบรรลุยอดเต๋าแห่งค่ายกลได้ เจ้าก็จะสามารถกลับมาหลอมกลั่นโอสถได้อีกครั้ง แต่ปัญหาแรกมันมิใช่ทั้งศาสตร์แห่งโอสถหรือค่ายกล แต่เป็น…ผลึกปราณเทวะ”

คุนหวูกล่าวขึ้น

 

เย่หยวนชะงักค้างแข็งทื่อในบัดดล นี่แหละคือปัญหาใหญ่!

หวูเฉินเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ค่าเงินที่ใช้กันทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียนก็คือ ผลึกปราณเทวะ

ไม่ว่าจะเป็นนักสู้ผู้บ่มเพาะฝึกปรือ หรือยอดปรมาจารย์ค่ายกล สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือผลึกปราณเทวะ

ทว่าเย่หยวนในปัจจุบันเป็นเพียงคนพิการไร้ความสามารถ แม้เขาจะต้องการฝึกฝนศาสตร์แห้งค่ายกลอย่างไร ทว่าทรัพยากรกลับไม่มีสนับสนุน

ในตอนที่เขาอยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนถือได้เป็นจุดสูงสุดเหนือทั้งมวล และยังสามารถหลอมกลั่นโอสถเพื่อแลกเป็นเงินได้

ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกังวลเรื่องเงินๆทองๆมาก่อน

ทว่าตอนนี้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้แต่จะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นโอสถขั้นพื้นฐานที่สุดนำไปแลกเป็นเงิน

 

อย่าคิดพึ่งพาตระกูลเหลียง แค่ยามนี้ เหลียงหมิงอี้ไม่ไล่ตะเพิดเขาออกไปก็นับเป็นบุญมากแล้ว

 

เย่หยวนตระหนักทราบทันที ยอดวีรบุรุษที่แท้จริงก็คือเงินตรา!

 

“นี่…นี่เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ!”

เย่หยวนกล่าวขึ้นพลางประดับรอยยิ้มแสนขมขื่น

 

“หื้ม?”

หัวคิ้วเย่หยวนขมวดแน่น ทันทีทันใดเสียงเคาะปะตูพลันดังขึ้นจากด้านนอก

ยามนี้ตรงเข้าไปเปิดประตูออกโดยไว เบื้องหน้าปรากฏเป็นหญิงสาวตัวน้อยไม่คุ้นหน้า พินิจจากรูปการณ์น่าจะเป็นสาวใช้

 

สาวใช้ขยับขยายสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนเล็กน้อย พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เจ้าคือเย่หยวน?”

 

ทันทีที่เย่หยวนได้ยินน้ำเสียงของนาง ดูเหมือนว่าการมาครั้งนี้จะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก

 

“ข้าแซ่เย่ แม่นางคือ?”

 

“ข้าหลานฉิง เป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูหวางหรู”

 

ปลายคิ้วพลันกระตุกขึ้นโดยพลัน เย่หยวนกล่าวถามต่อว่า

“เช่นนั้น แม่นางหลานฉิง คุณหนูหวางหรูสบายดีหรือไม่?”

 

หลานฉิงสาดสายตาใส่เย่หยวนเจือรังเกียจ พลางกรอกตาเล็กน้อยและกล่าวว่า

“สบายดีก็บ้าแล้ว! คุณหนูโดนกักบริเวณ!”

 

เย่หยวนขมวดคิ้วสีหน้ามืดลงฉับพลัน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

 

“ยังมีหน้ามาถามอีกว่าเกิดอะไรขึ้น! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! คุณหนูหวางหรูถูกหญิงบัดซบนั่นรังแก! แถมยังโดนริบผลึกปราณเทวะที่นางอุตส่าห์เก็บออมมาตลอดสามปี!”

ทันทีที่เริ่มกล่าว หลานฉิงพลันหรี่เสียงเบาลงคล้ายมิให้ผู้คนโดยรอบบังเอิญมาได้ยิน

 

หญิงบัดซบที่ว่า ทุกคนย่อมทราบว่าเป็นใคร และนางก็ไม่สามารถพูดเสียงดังได้

หากมีคนมาได้ยิน นางต้องตายแน่ๆ

เย่หยวนเข้าใจได้ทันที ตระกูลเหลียงจงใจขัดขวางมิให้เขาพบกับนาง นั้นเป็นเหตุให้สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างที่เห็น

เขามาที่นี่เพียงเพื่อช่วยปกป้องเหลียงหวางหรู ทว่ายามนี้เย่หยวนกลับพบว่า ตนอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องใครได้

 

สักครู่หนึ่ง เย่หยวนเอ่ยปากกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า

“หรือเป็นไปได้ไหมที่ แม่นางหลานฉิงมาหาเย่คนนี้เพื่อประณามกล่าวโทษ?”

 

หลานฉิงทราบมานานแล้วว่า เย่หยวนเป็นเพียงคนพิการคนหนึ่งที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย กระทั่งบ่มเพาะพลังยังไม่มีปัญญา ซึ่งนางก็ไม่เข้าใจจริงๆว่า ไฉนคุณหนูของนางถึงห่วงใยเขามากขนาดนี้

 

นางตระคอกสวนตอบทันทีอย่างเย็นชา พลางโยนแหวนเก็บของวงหนึ่งให้โดยไม่เต็มใจนัก ขณะพึมพำว่า

“ไม่เข้าใจคุณหนูจริงๆ ไอ้พิการนี่มันมีดีอะไร”

หลานฉิงหมุนตัวกลับพร้อมจากไปทันทีอย่างไม่แยแสเย่หยวนแม้แต่น้อย

 

เย่หยวนเพียงยิ้มตอบพร้อมรับแหวนเก็บของนั้นมา ตัวเขาหาได้ใส่ใจหรือรังเกียจไม่

เขาสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า หลานฉิงนางนี้สู้เพื่อเหลียงหวางหรู เห็นคุณหนูของนางถูกรังแกขนาดนี้ นางเองย่อมรู้สึกขุ่นเคืองตัวต้นเหตุอย่างเขาเป็นธรรมดา

ยิ่งไปกว่านั้น หลานฉิงก็กล่าวไม่ผิด หรือมิใช่ว่ายามนี้เขาคือพิการจริงๆ?

 

แหวนเก็บของวงนี้มิได้มีรอยประทับตราเจ้าของ เย่หยวนใช้จิตวิญญาณศักดิ์ดำดิ่งเข้าสู่ตัวแหวน ก่อนพบว่าภายในนั้นมีผนึกมณีสีขาวน้ำนมอยู่ประมาณร้อยก้อนเศษ

 

“สาวน้อยนางนั่นกำลังส่งถ่านท่ามกลางหิมะโดยแท้ ถึงขั้นที่ว่ามอบผลึกปราณเทวะให้เจ้าในยามเช่นนี้”

 

แววตะลึงทอดประกาย เย่หยวนอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจว่า

“นี่คือผลึกปราณเทวะ?”

 

เนื่องจากเย่หยวนไม่เคยเห็นผลึกปราณเทวะมาก่อนในชีวิต เพิ่งได้ยินหวูเฉินกล่าวออกแบบนั้น เขาก็มารู้ว่า ผลึกมณีสีขาวน้ำนมเหล่านี้คือผลึกปราณเทวะ

ผลึกปราณเทวะแตกต่างจากผลึกแร่สวรรค์บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง ยามที่นักสู้ดูดซับพลังงานภายในผลึกปราณเทวะ พวกเขาจะสามารถแปรพลังงานเหล่านั้นให้เปลี่ยนกลายเป็นพลังปราณเทวะได้โดยตรง

สำหรับการบ่มเพาะฝึกปรือในระดับชั้นอาณาจักรพระเจ้า ผลึกปราณเทวะเป็นปัจจัยสำคัญที่เว้นขาดมิได้

พลังปราณฟ้าดินของมหาพิภพถงเทียนกลับมิได้เรียกว่า พลังปราณ แต่เป็น พลังวิญญาณ

ทั้งความเข้มข้นและความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณ มีเพียงสวรรค์ทรงทราบว่ามันสูงกว่าพลังปราณถึงกี่สิบทวีเท่า

เฉพาะผลึกปราณเทวะเท่านั้นที่สามารถมอบพลังจิตวิญญาณได้ ภายในผลึกแต่ละก้อนล้วนอุดมไปด้วยพลังวิญญาณที่ข้นคลักยิ่ง

 

“น่าเสียดายนัก ทั้งร้อยก้อนล้วนแต่เป็นผลึกปราณเทวะระดับต่ำ แถมจำนวนเพียงเท่านี้ก็น้อยเกินไปสำหรับนำไปบ่มเพาะพลัง”

หวูเฉินกล่าว

 

แต่เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างสุขใจว่า

“ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย! ท่านอาวุโส พวกเราควรเริ่มจากตรงไหนก่อนดี?”

 

หวูเฉินยังทราบ ณ ปัจจุบันทุกนาทีมีค่าหาประเมินไม่ เขาหาได้ลังเลใดๆและกล่าวตอบทันควันว่า

“เริ่มจากโอสถปราณเทวะก่อนเลย มันเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว! ทั้งกระบวนการสกัดและหลอมกลั่นนับว่าไม่ซับซ้อน เป็นโอสถสำหรับนักสู้ที่ต้องการเริ่มบ่มเพาะพลัง นี่คือสูตรโอสถ เจ้าออกไปหาซื้อสมุนไพรวิญญาณก่อนเป็นอันดับแรก”

ข้อมูลของสูตรโอสถปราณเทวะหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงความคิดของเย่หยวนทันที สมุนไพรวิญญาณที่สูตรโอสถระบุไว้มีไม่มาก แถมน่าจะหาได้ทั่วไป

เย่หยวนรู้สึกว่า โอสถปราณเทวะนี้น่าจะคล้ายคลึงกับโอสถชั้นสามัญทั่วไปอย่าง โอสถทลายลมปราณหรือโอสถทลายแก่นแท้

แน่นอน ถึงระดับชั้นและฤทธิ์โอสถจะคล้ายคลึงกัน แต่ประสิทธิภาพกลับต่างกันคนละโลก!

 

เย่หยวนใช้เวลาชั่วครู่ในการศึกษาและทำความเข้าใจต่อโอสถปราณเทวะ

ตราบใดที่เขาสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้ ยามนั้นเขายังพอหลอมกลั่นโอสถขายเพื่อหาเลี้ยงชีพได้