ตามหลักแล้ว สาวน้อยคนนี้หน้าตาก็ไม่งดงามจริงๆ ถึงแม้จะอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างเยี่ยนหยาง รูปลักษณ์เช่นนี้ก็ยากจะออกเรือนได้ จมูกแบน ตาตี่ ผมบาง ผิวเหลืองยังไม่พอ ยังมีกระที่รกสายตาอีก ได้ทำความรู้จักกันหลายวันมานี้ นอกจากจะเขียนหนังสือได้ เขียนประกาศก็ลื่นไหล แต่กริยาท่าทางช่างหยาบโลนยิ่งนัก
เวลานี้ นางยังคงเป็นเช่นนั้น แต่เหมือนว่าจะไม่เหมือนกับปกติทุกครั้งที่ผ่านมา คล้ายว่ายิ่งมองก็ยิ่งเจริญตาขึ้น
เอียงตัวพิงเสาทางเดิน เอวเว้าเล็กน้อย มองโดยละเอียดแล้ว ส่วนโค้งเว้าช่างอ่อนช้อย สองเท้าลอยอยู่วางแตะเบาๆ อยู่ตรงทางเดิน ข้อศอกดันเสาเกยหน้าเอาไว้ หน้าเอียงเล็กน้อย ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก ทำให้คนมองข้ามใบหน้าที่เหมือนถูกเท้าเหยียบของนางไปโดยสิ้นเชิง
ท่าทางเช่นนี้ เผยความอ่อนช้อยสง่างามออกมาอย่างบอกไม่ถูก
สง่างามหรือ หลี่ว์ปาตกตะลึง ตนบ้าไปแล้วหรือ เด็กสาวบ้านป่าเปิดร้านขายยาในตำบลเล็กๆ คนหนึ่ง จะแบกรับคำที่ใช้บรรยายเหล่าหญิงสาวสูงศักดิ์นี้ได้อย่างไร
หลี่ว์ปาหยุดความคิดประหลาดนี้ไว้ แล้วเดินเข้าไป “ทำไม่ไม่กินเล่า” แล้วชายตามองถ้วยแกงของนาง โล่งๆ ไม่มีเนื้อกับไข่ จึงได้ยัดไข่ต้มที่พี่น้องเหลือไว้ให้ตนใส่ในมือนางอย่างใจกว้าง “กินสิ”
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบคืนไข่ต้มนั้นกลับไป “ไม่ได้ พวกพี่น้องให้ลูกพี่หลี่ว์มา ข้ามีหมี่ก็พอแล้ว กินไม่ได้”
“หลายวันมานี้เจ้าต้องใช้สมองเพื่อพวกเรา บำรุงสมองเสียหน่อย ข้ายังต้องใช้สมองของเจ้ามาช่วยงานข้าอีก” หลี่ว์ปาไม่รู้จะโน้มน้าวให้นางกินได้อย่างไร จึงได้แต่สั่งอย่างดุร้าย
เหล่าพี่น้องที่กำลังกินหมี่อยู่นั้นดูออกอย่างชัดเจน ต่างก็หัวเราะกันขึ้นมา “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ ในเมื่อเป็นน้ำใจของลูกพี่ เจ้าก็กินเสียเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้แต่นำไข่ต้มนั้นมาเช็ดกับเสื้อผ้าส่วนที่สะอาด แล้วใส่ไว้ในแขนเสื้อ
หลี่ว์ปาจึงเดินจากไปอย่างพอใจ
คนที่เหลือเห็นว่าลูกพี่ใหญ่ไปแล้ว ก็ไม่รักษาท่าทีอีกต่อไป กินอย่างมูมมามไปพลาง กล่าวแซวอย่างไร้ขอบเขตไปพลาง “แม่นางชิ่งเอ๋อร์น่าเอ็นดูอยู่นะ น้อยนักจะเห็นลูกพี่ใจดีกับใคร ว่าก็ว่าแม่นางชิ่งเอ๋อร์นั้นชีวิตลำบากนัก ดีไปเสียทุกอย่าง เสียอย่างเดียวก็ตรงใบหน้านี่ หากเจ้าหน้าตาดีกว่านี้สักนิด ไม่รู้ว่าจะมีท่านชายตระกูลร่ำรวยสักกี่คนมาแย่งเจ้าไปเป็นนายหญิงของบ้าน! จะต้องมานั่งหวาดกลัวกับพวกเราอีกทำไม!”
“หน้าตาใช้ไม่ได้จะกลัวอะไร ลูกพี่ชอบใจก็พอ!” มีคนทำอาจหาญพูดจาเย้าหยอก
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มตัวลง หยิบก้อนหินมาแล้วโยนออกไป “หน้าตาเจ้าสิใช้ไม่ได้!”
ผู้คนหัวเราะกันเสียงดังสนั่น
โชคดีที่เวลานี้เว่ยเสียวเถี่ยวิ่งเข้ามาหา เหล่าชายหนุ่มจึงได้แยกย้ายกันไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาเหมือนมีอะไรจะพูด จึงได้กินหมี่ในถ้วยให้หมด แล้วเดินตามเขาไปในห้องเก็บฟืนเรือนหลัง
ปิดประตู เว่ยเสียวเถี่ยสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย “ครั้งก่อนที่ชิ่งเกอเอ๋อร์เรียกให้ข้าไปคอยสอดส่องผู้เฒ่าเถียน ข้าตามได้สองสามวัน ในที่สุดก็มีเบาะแสแล้ว”
เว่ยเสียวเถี่ยก็เหมือนกับตน ตามผู้เฒ่าเถียนออกจวนทางการอยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกสลัดทิ้งกลางทางทุกครั้ง ยิ่งทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยไปใหญ่ ขนาดคนฉลาดเฉลียวว่องไวเหมือนลูกลิงอย่างเว่ยเสียวเถี่ย บนกำแพงเมืองเยี่ยนหยางมีโพรงสุนัขกี่โพรงก็แทบจะรู้ชัดอย่างละเอียด ผู้เฒ่าเถียนนั่นก็ยังมีวิธีสลัดหลุดรอดไปได้ แสดงว่า คนที่ผู้เฒ่าเถียนนั้นออกไปพบ หรือเรื่องที่ออกไปทำในทุกๆ ครั้งที่ออกจวนทางการไปนั้น จะต้องสำคัญเป็นอย่างมาก จะให้คนรู้ไม่ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเขา “ครั้งนี้ตามไปได้แล้วหรือ”
เว่ยเสียวเถี่ยกล่าว “เช้านี้ข้ากลับหมู่บ้านตระกูลเว่ย ช่วยลุงแก่คนหนึ่งซ่อมหลังคาที่ถูกน้ำฝนสาดเทจนถล่มลงมา ต่อมา ข้าก็เหยียดตัวพักผ่อนอยู่บนหลังคา เมื่อมองไป ก็เห็นเงาคนเดินผ่านหมู่บ้าน คุ้นตานัก เฮียชิ่งเดาดูสิว่าเป็นใคร ผู้เฒ่าเถียน!”
ผู้เฒ่าเถียนหารือเสร็จ ก็เพิ่งจะออกไปก่อนเวลาอาหารกลางวัน ที่แท้ก็ไปทางตะวันออกของเมืองอีกแล้ว อีกยังเดินผ่านหมู่บ้านตระกูลเว่ยที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองพอดีอย่างนั้นหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย แล้วฟังเว่ยเสียวเถี่ยกล่าว “ข้ารีบลงบันไดมาถามลุงแก่คนนั้น แอบชี้ผู้เฒ่าเถียนให้ลุงคนนั้นดู ลุงบอกข้าว่า คนนั้นมักจะผ่านมาทางหมู่บ้านตระกูลเว่ย แต่ก็แค่เดินผ่านเท่านั้น ไม่ได้แวะเข้ามา”
อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “นั่นก็หมายความว่า สถานที่ที่ผู้เฒ่าเถียนจะไปนั้น จะต้องผ่านหมู่บ้านตระกูลเว่ยจึงจะไปถึง เสียวเถี่ย มันคือที่ใด”
เว่ยเสียวเถี่ยสายตาแน่วแน่ “เขาหม่าโถวด้านนอกทางตะวันออกของเมือง” เห็นได้ชัดว่าเขาก็นึกอะไรขึ้นได้เช่นกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้น เห็นเว่ยเสียวเถี่ยเอี้ยวเข้ามากล่าวข้างหูอย่างแผ่วเบา
นางก็เข้าใจแล้วในที่สุด
เคยได้ยินมานานแล้วว่าเขตฉังชวนส่วนมากเป็นคนเมืองลู่ โจรผู้ร้ายมากมายประวัติศาสตร์ยาวนาน ต่างก็ยึดครองป่าเขารอบๆ ตั้งตนเป็นใหญ่
เขาหม่าโถวด้านนอกทางตะวันตกเมืองเยี่ยนหยางเป็นหุบเขาสูงชันง่ายต่อการตั้งรับ เหล่าโจรป่าย่อมไม่ปล่อยไปเช่นกัน
มหาโจรบนเขาหม่าโถวมีฉายาว่าซานอิง[1] ยึดครองอยู่บนเขานั้นมาหลายชั่วอายุคน จำนวนคนในกองทัพยิ่งใหญ่มหาศาล ทำการเกษตรเอง ผลิตอาวุธเอง ในเขาก็ก่อตั้งจุดเวรยามและป้อมส่งสัญญาณจำนวนไม่น้อย หลายปีมานี้ได้รวบรวมชุมชนโจรป่าขนาดเล็กอื่นๆ เข้าไว้กับตน กองกำลังก็ยิ่งใหญ่ขึ้น กลายเป็นจักรวรรดิแห่งโจรป่าโดยสมบูรณ์ เหมือนดั่งแผลเก่าจากยาพิษ เป็นกลุ่มโจรป่าที่เหล่าขุนนางของเขตฉังชวนต่างก็ปวดหัวกัน แต่กลับไม่เคยจะกวาดล้างได้เลย
คนแซ่เถียนนี่ไม่ใช่พ่อค้าธรรมดาจริงๆ! แต่กลับเป็นคนของโจรป่าเขาหม่าโถว
ไม่ต้องบอกก็รู้ ฮ่องเต้บ้านป่าบนเขาเป็นนานแล้ว ก็ย่อมอยากจะเป็นฮ่องเต้ของชาวบ้านบ้าง แต่โบราณมานั้น โจรขโมยขึ้นเป็นผู้นำนั้นก็มีไม่น้อย เพียงแต่พอขึ้นครองอำนาจแล้วก็ถูกซักฟอกเสียจนหมดจด
ไม่เว้นแม้แต่ซานอิงนี้ ฉวยโอกาสตอนแม่น้ำชิงท่วมทะลัก ชาวบ้านต่างโอดครวญ จึงได้เกิดความบ้าคลั่งขึ้น อยากจะล้มล้างราชสำนัก ถ้าพูดตรงๆ ก็คือ อยากก่อการกบฏ
ในฐานะโจรป่าคนหนึ่ง หากจะใช้ตัวตนของตนไปรวบรวมกำลังพล จะต้องไม่มีชาวบ้านยอมรับเป็นแน่ ซานอิงจึงได้โน้มน้าวและดึงตัวหลี่ว์ปาที่ได้ใจชาวบ้านในเมืองเยี่ยนหยางยิ่งนักคนนี้ ให้เขาบังคับบัญชากองทัพกองหนึ่ง ต่อต้านราชสำนัก ส่วนตนก็ชักใยอยู่เบื้องหลัง ส่วนผู้เฒ่าเถียน น่าจะเป็นคนที่เขาส่งมาอยู่ข้างกายหลี่ว์ปา และคอยส่งสาส์นไปมา
เรื่องนี้ คาดว่าฉินอ๋องน่าจะรู้อยู่แต่แรกแล้ว
ฉินอ๋องไม่ได้จับตัวหลี่ว์ปา ยอมปล่อยให้กลุ่มคนผ้าเหลืองนั้นยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกมาตลอดว่าเพราะกังวลเรื่องชาวบ้านในเมืองเยี่ยนหยาง ที่แท้ก็เพราะกังวลมหาโจรแห่งเขาหม่าโถวนี่เอง
หากใช้กำลังอาวุธเข้าต่อสู้กับหลี่ว์ปาในตอนนี้ ก็จะเข้าทางซานอิงพอดี และจะใช้โอกาสนี้ก่อการประท้วงจลาจลได้ทันที!
เช่นนั้น ภัยในเมืองเยี่ยนหยาง ก็จะไม่ใช่เพียงผู้ประสบภัยก่อการจลาจลแล้ว แต่เป็นการประท้วงก่อการกบฏ
ผลที่ตามมามิอาจคาดคิดได้
ฉินอ๋องก็จะกลายเป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์กบฏครั้งนี้ขึ้น ถึงแม้จะลงโทษสถานเบา สุดท้ายก็จะได้รับการขนานนามว่าเป็นคนบุ่มบ่าม กล้าหาญอย่างคนโง่ ไม่ใช้สมอง ยังจะมีอนาคตอะไรได้อีก
ในทางกลับกัน หากเฝ้ารออย่างอดทน ล่อเสือออกจากถ้ำ จับตัวซานอิงไปด้วย ฉินอ๋องนอกจากจะรอดจากภัยครั้งนี้ไปได้ ผ่านเรื่องใหญ่เพียงนี้ไปได้ เหล่าขุนนางเสนาบดีทั้งราชสำนัก ก็ไม่มีใครกล้าที่จะไม่ยอมรับเขาอีก ถึงจะเป็นฮ่องเต้ ก็มิอาจดูถูกเขาได้!
สยบกลุ่มล้มล้างราชสำนัก เลี่ยงไม่ให้เกิดการกบฏ ผลงานยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ยังจะมีคนกล้าดูถูกอีกหรือ
ถึงว่า เขาไม่ยอมใช้กำลังทหารมาจนทุกวันนี้ ปล่อยให้กลุ่มผ้าเหลืองกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่ตรงหน้า ที่แท้ก็มีแผนการแต่แรกนี่เอง
ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังพึมพำเสียงแผ่วเบาอยู่ เว่ยเสียวเถี่ยก็พูดกับตนเองขึ้นมาว่า “เห็นองค์ชายสามผู้นี้สง่าสูงศักดิ์นัก แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเก่งกาจเช่นนี้ นอกจากในสนามรบจะดุเดือดแล้ว ยังค้นพบสิ่งที่คนอื่นไม่ไปตรวจสอบอีก สามารถอดทนต่อคำถามและคำครหาจากภายนอกไม่ยอมใช้กำลังทหาร ตอนนี้ก็น่าจะกำลังวางแผนการว่าจะจัดการให้สิ้นซากได้อย่างไรเช่นกัน…”
——
[1] ซานอิง แปลว่าอินทรีภูเขา