นางถอนหายใจออกมา
เรื่องที่ต้องทำตอนนี้ อย่างแรกคือคิดหาลู่ทางส่งจดหมายออกนอกเมืองให้เร็วที่สุด บอกเฉินจ้าวว่าอย่าให้กองกำลังทหารตระกูลเฉินเข้ามาบุกเมืองโดยพลการ เพื่อไม่ให้ตกเป็นกับดักของโจรป่า
อย่างที่สองคือ…
อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว ครุ่นคิดว่าจะช่วยให้เขาล่อตัวบงการที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างไร
ช่วงเวลาพลบค่ำ หลี่ว์ปาและพี่น้องกำลังตรวจเช็คอาวุธในจวนข้าหลวง เดินออกมาพอดีก็เห็นชิ่งเอ๋อร์ยืนอยู่ในชานเรือน ราวกับรอมานานแล้ว
หลี่ว์ปารู้สึกสบายใจ “เจ้ามาทำไม มาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองบุรุษหนุ่มตรงหน้า รูปร่างสง่าผ่าเผยถ้าหากไม่ใช่เหตุภัยพิบัติครานี้ ก็คงจะใช้ชีวิตเรียบง่ายใช้ชีวิตสงบสุขของตัวเองแล้ว
เขาเป็นคนตั้งกองกำลังผ้าเหลือง พวกเขาไม่ได้ทำเพื่ออำนาจ ไม่ได้ทำเพื่อเงินทอง เป้าหมายของพวกเขาง่ายมาก ก็แค่สู้เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับสิทธิ์และประโยชน์ของตน แต่ทว่าความหวังนี้มันกำลังโดนซานอิงหลอกใช้…
หล่อนข่มใจตัวเอง เดินเข้าไปตรงหน้า “พี่หลี่ว์ไปสืบหาคนที่ค่ายบัญชาการ หาเจอหรือไม่”
เขาสายหัว “ง่ายซะที่ไหน”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกาย “ไม่อย่างนั้น ให้ข้าไปที่ค่ายบัญชาการเถอะ”
คำที่พูดออกมาทำให้ชายหนุ่มหลายคนนิ่งอึ้ง
แสงอาทิตย์ตกดินส่องมาบนหน้าหญิงสาว เคลือบด้วยทองคำเปลวอีกหนึ่งชั้น วันธรรมดาที่รูปร่างหน้าตาจืดชืดคล้ายว่าเปล่งราศีออกมา
“ชิ่งเอ๋อร์ เจ้าล้อเล่นหรือ” ชายผู้หนึ่งพูดขึ้นมา
“ใช่ มันอันตรายมากนะ เจ้าเป็นแค่หญิงสาวจะทำได้หรือ” ชายก็อีกคนตะโกนขึ้นมา
อวิ๋นหว่านชิ่นมองมาที่หลี่ว์ปา “ข้าคิดดูแล้ว คนของเราล้วนแต่เป็นคนเยี่ยนหยาง พวกทหารมีทะเบียนราษฎรของพวกเจ้าและก็รู้ว่าพวกเจ้าก่อกบฏ ให้พวกเจ้าปะปนเข้าไปยากเกินไป ถ้าหากว่าถูกจับได้ก็ยากที่จะหนี มีเพียงข้าที่เป็นคนต่างเมือง น่าจะลองเข้าไปได้ ”
“ไม่ได้!” ครั้งนี้เป็นหลี่ว์ปาที่ตะโกนขึ้นมา มือใหญ่คล้ายพัดใบปาล์มโบกไปมา
“เจ้าเป็นผู้หญิง เรี่ยวแรงก็ไม่มี แถมบอบบาง ถูกจับก็ทนโดนทำร้ายไม่ไหว ให้เจ้าไปไม่ใช่ว่าส่งเจ้าไปตายหรอกหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พี่ใหญ่หลี่ว์ ไปค่ายบัญชาการไม่ใช่ว่าไปฆ่าหมูฆ่าวัวเสียหน่อย มีแค่กำลังและวิ่งเร็วก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”
“นั่นน่ะสิพี่ใหญ่” ชายคนหนึ่งเกาหัว
“ชิ่งเอ๋อร์สมองไว สามารถเตรียมตัวรับมือได้ทุกสถานการณ์ ไม่แน่อาจะไม่แย่กว่าพวกเรา…”
“หุบปาก!” หลี่ว์ปาหน้าแดงโดยไม่มีสาเหตุ นัยน์ตาสองจองมองจนกลายเป็นกระดิ่งทองแดง หันไปพูดกับชายคนนั้น “ถ้าพูดอีก พ่อจะเย็บปากให้! นี่มันเป็นเรื่องของผู้ชาย ให้ผู้หญิงไปจัดการ พวกเจ้าไม่อายกันหรือไง! โตมาเสียเปล่าเสียจริง!”
ชายคนนั้นรีบหุบปาก ลูกน้องคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าพูดออกมา
อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจใหญ่ แต่ไม่ยอมแพ้ เท้าสะเอวทำบุ้ยปาก “พี่ใหญ่หลี่ว์ยังไม่เชื่อในตัวข้าใช่หรือไม่ ข้าไม่ใช่คนของท่านหรือ”
หลี่ว์ปาชำเลืองมองนาง “ตัวโง่งม เจ้าอย่ายุข้าเลยข้าไม่หลงกลหรอก และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าเจ้าเป็นคนของข้าหรือไม่!”
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องหลี่ว์ปา “ทำไมจะไม่เกี่ยว! ทั้งกองมีแต่ข้าที่ลงมือเรื่องนี้ได้ ท่านไม่ให้ข้าทำก็แปลว่าท่านไม่เชื่อใจข้า!”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่…”
ยังพูดไม่ทันจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ชิงตีเหล็กตอนร้อนๆ อีก “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่หลี่ว์ไม่สบายใจ แต่ข้าไม่ตายง่ายขนาดนั้น ตอนน้ำท่วมก็ไม่ตาย ครั้งที่เข้าเยี่ยนหยางไปกับเสียวเถี่ยก็ไม่ตาย แล้วก็วันนั้นที่ตัวประกันเสบียงก็ไม่เป็นอะไร นั่นหมายความว่าข้าชะตาแข็ง ความผาสุกไม่ง่าย มีพระโพธิสัตว์คุ้มครอง ครั้งนี้ไม่เป็นอะไรแน่นอน…พี่หลี่ว์เชื่อข้าเถอะ”
ก้นบึ้งหัวใจของหลี่ว์ปาก็เชื่อนาง แม้ว่าจะคลายกังวลมากแล้วแต่ปากกลับยังลังเล “วันนั้นตอนที่พวกนั้นค้าขายกัน ทหารเห็นท่าทีของเจ้าก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน เจ้าจะเข้าไปได้อย่างไร!”
อวิ๋นหว่านชิ่นทุบหน้าอก “พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าจะเข้าไปอย่างเปิดเผย! หากว่าแอบเข้าไปถึงแม้ว่าจะเข้าได้แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่มีประโยชน์”
หลายคนมึนงงโดยไม่นัดหมาย “เจ้าวางแผนไว้อย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นกระตุกแขนเสื้อผ้าหยาบของหลี่ว์ปา ดึงมาข้างตัว เขย่งเท้ากระซิบข้างหู
ชายหนุ่มหลายคนเห็นสีหน้าพี่ใหญ่จากเรียบนิ่งก็ตึงเครียดขึ้นมา “แบบนี้จะได้อย่างไร ยังไงก็ถูกจับได้ รอจับได้ก่อนเถอะ พวกนั้นไม่ปล่อยเจ้าแน่”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่คนเยี่ยนหยาง ชื่อข้าไม่ได้อยู่ในบัญชีดำทางการทหาร แล้วก็ไม่ใช่นักโทษของราชสำนักด้วย! ต่อให้อยู่กับพวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกเดียวกัน ถึงตอนนั้นข้าจะไปมาหาสู่กับพวกนั้นได้อย่างสบาย อีกอย่างข้าก็เป็นผู้หญิง ทหารไม่เอาเด็กผู้หญิงไว้ในสายตาหรอก แล้วก็จะไม่ให้มีเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นถึงตอนนั้นข้าจะเตรียมตัวรับมือ”
นี่ช่างเป็นการร้องขอชัยชนะในที่อันตรายเสียจริง หลี่ว์ปาเห็นว่านางคิดมาดีแล้ว สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เขากลับยกมือโบกให้พวกพี่น้องออกไป
ชานเรือนเงียบสงบ หลี่ว์ปาชี้ไปที่ทางเดิน
อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลงตามคำสั่งของเขา เห็นเพียงแค่ร่างสูงใหญ่ยืนบนทางเดิน สายตาจ้องมาที่ตน ความมุทะลุในยามปกติลดลงครึ่งหนึ่ง แต่เสียงยังน่าเกรงขามกว่าเดิม “เจ้าไปที่นั่นอย่างแรกต้องสำรวจทุกหนทุกแห่งของค่ายบัญชาการเสียก่อน หลังจากนั้นส่งจดหมายออกมา คืนที่วางเพลิงเจ้ายังต้องเป็นกำลังหนุน ทุกขั้นตอนหากเกิดผิดพลาดถูกพวกนั้นสงสัยก็จะยิ่งอันตรายมาก เจ้าคิดดีแล้วหรือ”
ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นมีความเสียใจอยู่บ้าง เขาเป็นห่วงตน เชื่อใจตน แต่เป็นตนเสียเองที่ปิดบังเขามาตลอด
ไม่ว่าคนพวกนี้จะถูกลงโทษเช่นไร แต่หลี่ว์ปาไม่ใช่คนเลวร้าย กองกำลังผ้าเหลืองส่วนมากก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ถูกบีบคั้นจนถึงที่สุดแล้วเท่านั้น เแต่กลับถูกซานอิงหลอกใช้
หากว่ากลุ่มของหลี่ว์ปากับซานอิงถูกจับด้วยกัน คงหนีไม่พ้นความตายแน่
จะต้องคิดหาแผนการที่ปลอดภัยทั้งสองฝ่ายให้ได้ นอกจากจะมัดตัวผู้อยู่เบื่องเรื่องเลวร้ายที่แท้จริงแล้ว ยังต้องพยายามรักษาชีวิตหัวหน้ากองกำลังผ้าเหลืองหลี่ว์ปาไว้
คิดได้แบบนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ใหญ่หลี่ว์ ข้าคิดดีแล้ว”
หลี่ว์ปามองหญิงสาว ไม่พูดอะไร เพียงแค่ยืนมือลูบผมนางและถอนหายใจออกมาเบาๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งไปพักหนึ่ง “ข้ามีคำถามอยากจะถามพี่ใหญ่หลี่ว์ ไม่รู้ว่าจะบุ่มบ่ามไปเกินไปหรือไม่”
ใบหน้าเรียบนิ่งของหลี่ว์ปาประหลาดใจขึ้นมาขั้นหนึ่ง “เจ้าพูด”
ใบหน้าเหลืองเหมือนเทียนไขของหญิงสาว หรี่ตามอง ไม่รู้ว่าทำไมมองขึ้นไปถึงมีแสงแวววาวส่องคน เสียงลอยออกมา “เสบียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยล่าช้า ทำให้ผู้คนโกรธเคือง แต่ว่ามีวิธีแก้ไขปัญหาตั้งหลายวิธี ทำไมพี่ใหญ่หลี่ว์ถึงเลือกทางนี้ ต่อต้านราชสำนัก แค่ก้าวเข้าไปก็ไม่มีทางหวนกลับมาได้และข้ามองออก พี่ใหญ่หลี่ว์ไม่ใช่คนที่จะทำร้ายประชาชน”
หลีว์ปายิ้มตอบ “เจ้าไร้เดียงสาเกินไป วิธีจัดการปัญหาบางครั้งก็มีไม่มาก ในเมื่อหมดหนทางแล้ว การแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดคือกำลังทหาร ต่อให้เจ้าจะเก่งแค่ไหน อย่างไรเสียก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง วงการที่ชั่วร้ายของชนชั้นข้าราชการ เจ้ามองไม่ออกหรอก ข้าหลวงสวี ผู้ตรวจราชการเหลียง รวมถึงปลัดชี ที่ถูกองค์ชายยิงตายเมื่อวันก่อน เจ้าคิดว่าเป็นเพราะการบริหารภัยพิบัติที่ล้มเหลวในครั้งนี้ที่ทำให้พวกเราเคียดแค้นหรือหลายปีมานี้ขุนนางประจำจังหวัดไม่มีความสามารถ ไม่สนใจโจรร้าย แถมยังอาศัยช่วงนี้เก็บส่วยจนร่ำรวย ขูดรีดไถทรัพย์สินของราษฎร พวกข้าสุมกองไฟไว้ในอกมานานแล้ว ปัจจุบันเสบียงถูกเก็บไปไม่นำมาแจกจ่าย เพียงแต่ว่านั่นมันคือสายจุดฉนวนระเบิดที่ทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาก็เท่านั้นเอง”