อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว “ขุนนางพวกนี้ ไม่กลัวผู้ตรวจการเจอเข้าแล้วไปรายงายฮ่องเต้หรือ”
หลี่ว์ปาแสยะยิ้มมุมปาก สะกิดความโกรธในใจ ณ เวลานั้นปกปิดความในใจไว้ไม่อยู่ เขาส่งเสียงในลำคอ
“เบื้องบนมีคนใหญ่คนโตช่วยอยู่ พวกนั้นกลัวผู้ตรวจการที่ไหนกันเล่า มีคนค่อยหนุนหลัง ต่อให้ไปเปิดโปงกับฮ่องเต้ ก็เกรงว่ายังปิดไว้ได้อยู่”
หมายความว่า ขุนนางในเยี่ยนหยางมีเบื้องบนอยู่ เห็นด้วยที่พวกเขาปล่อยปะละเลยพวกโจรและละเลยในหน้าที่มาโดยตลอด
ใหญ่ขนาดไหนกัน ถึงมีอำนาจมากขนาดนี้
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะถามอีก หลี่ว์ปากลับปิดปากเปลี่ยนเรื่องคุย เขาพูดถึงแผนการของวันพรุ่งนี้
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ถามมาก จึงปรึกษาหารือกับหลี่ว์ปาต่อ
แสงตะวันค่อยๆ ลับฟ้า พวกเขาคุยแผนการของพรุ่งนี้เสร็จ ขณะกำลังจะแยกหลี่ว์ปาลังเลสักพัก ในที่สุดก็พูดสิ่งที่ติดค้างในใจออกมา “ชิ่งเอ๋อร์ เจ้าไปค่ายบัญชาการครั้งนี้ หากว่าราบรื่นดี แล้วได้เจอน้องของข้าฝากเจ้าดูด้วยว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ลำบากหรือเปล่า หากว่ามีโอกาสบอกน้องข้าด้วยว่าไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยนาง แต่เพียงเพราะว่าตอนนี้ข้าเป็นหัวหน้ากองกำลังผ้าเหลือง ไม่สามารถละทิ้งทุกคนเพียงเพราะเรื่องส่วนตัวได้ ต่อให้เปลี่ยนคนก็ต้องเป็นพี่น้องคนสนิทเสียก่อน ไม่อย่างนั้นไม่ได้รับการเชื่อถือ ข้าขอโทษ แต่ข้าจะพยายามช่วยนางออกมาได้แน่นอน”
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งไปสักพักจึงพยักหน้า มองดูร่างสูงหลี่ว์ปา น้องสาวแท้ๆ คนเดียวตอนนี้อยู่ในค่ายศัตรู จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไรกัน “น้องสาวของลูกพี่หลี่ว์จะต้องเหมือนพี่ใหญ่แน่ๆ สง่าผ่าเผยกล้าหาญ ใจกว้างมีเหตุผล นางจะต้องให้อภัยพี่ใหญ่เป็นแน่”
หลี่ว์ปาหน้าตามีความสุข หยิบรูปน้องสาวออกมาให้อวิ๋นหว่านชิ่นดู เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่คือน้องสาวข้า ชื่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นความรักของพี่ชายที่แสดงออกมา บุรุษที่ปกติบุ่มบ่ามดุร้ายกลับไม่มีแล้ว ยิ้มแล้วพูดว่า “น้องสาวของลูกพี่หลี่ว์ปา ไม่ใช่ว่าต้องชื่อเก้า สิบเหรอ ทำไมถึงชื่อเจ็ดเล่า ลำดับกลับอยู่หน้าพี่แล้ว”
หลี่ว์ปาลูบต้นคอ นึกถึงน้องสาวของอดยิ้มไม่ได้ “อืม ตระกูลเราคนเยอะ ข้าเป็นพี่แปด น้องข้าควรชื่อน้องเก้า และนางก็เป็นน้องคนสุดท้อง เห็นว่าคนอื่นมีน้องนางก็ไม่พอใจ มักจะโวยวายว่าอยากเป็นพี่บ้าง ข้าเลยเรียกนางว่าน้องเจ็ด ให้ลำดับอยู่หน้าข้า นางจะได้พอใจที่ได้เป็นพี่ เรียกไปเรียกมาก็ชินกลายเป็นชื่อเล่นชีเอ๋อร์ไปเสียแล้ว”
ไม่ว่าตระกูลรวยหรือจน การนับลำดับขั้นเป็นหลักการขั้นพื้นฐาน ไม่เคยเจอพี่ชายที่ไหนให้น้องเป็นพี่สาวเพื่อในน้องมีความสุข
เห็นได้ว่าหลี่ว์ปารักและห่วงน้องสาวมากๆ อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มออกมา พูดคุยอยู่สักพักจึงแยกกัน
หลี่ว์ปาโบกมือตะโกนให้ลูกน้องตรงประตูเข้ามา ตามที่เด็กสาวชิ่งเอ๋อร์ขอไว้ เขาตะโกนพูด “ส่งจดหมายลับไปถึงสวีเทียนขุย บอกว่าหากอยากได้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนและเมียคืน ให้เอาลูกน้องของข้าที่อยู่ในค่ายบัญชาการมาแลก”
เช้าวันที่สอง ทางหลี่ว์ปาก็พาอาซ้อคนหนึ่งมามอบเสื้อผ้าชุดหนึ่งให้อวิ๋นหว่านชิ่น
เสื้ออ่าวผ้าตวนสีแดงเข้ม กางเกงผ้าแพรสีน้ำเงิน ผ้าไหมคุมไหล่ลายดอกไม้ เนื้อผ้าล้ำค่างดงาม แค่มองก็รู้ว่าเป็นชุดของฮูเหยิน ชุดมีรอยยับ มุมปลายแขนและกางเกงเปรอะ ยิ่งชัดเจนว่ามีคนเคยใส่และเป็นชุดเก่าที่ใส่ไม่เปลี่ยนเป็นเวลานาน
อาซ้อยื่นชุดนั้นมา พูดเสียงเบา “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ พี่ใหญ่ทำตามความเห็นของเจ้า เห็นว่าในอนุของขุนนางสวีทั้งหมด มีอนุสี่ที่รูปร่างพอกันกับเจ้า เลยให้ข้าถอดชุดของนางมาให้ท่านเปลี่ยน”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว เดินไปห้องครัวหยิบฟางข้าวเผาขึ้นมา แล้วเป่าให้ดับ
อาศัยจังหวะควันเยอะ ใส่เข้าไปในปาก หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาทันที
หมุนอยู่เช่นนั้นหลายรอบถึงจะทิ้งฟางข้าว ออกมาจากห้องครัวและไปยังลานขังตัวประกันหลังจวน
หลี่ว์ปาให้คนคุมตัวประกันออกมา ทำตามแผนที่คุยกันชิ่งเอ๋อร์ไว้เมื่อวานคือ ลูกชายของสวีเทียนขุย เมียหลวง อนุสามและอนุห้า
หนึ่งเด็กและสามสตรีกลัวจนหน้าซีดแม้พูดยังพูดไม่ชัด แค่กองกำลังผ้าเหลืองลงมือโดยเฉพาะเด็กชายที่เคยสัมผัสความเจ็บปวดมาแล้วครั้งหนึ่ง วันนั้นเกือบจะจบชีวิตในเงื้อมมือหลี่ว์ปา กลัวว่าวันนี้จะโดนอีกรอบ จึงจับมือหลบหลังอนุทั้งสองไม่กล้าออกมา
ได้ยินมาว่าจะนำพวกนางไปแลกกับกองกำลังผ้าเหลือที่ถูกผู้ตรวจการเหลียงจับไป พวกนั้นถึงโล่งใจขึ้นมา
หลี่ว์ปาโบกมือให้คนขึ้นมา ใช้ถุงผ้าดำคลุมหน้าเด็กและสตรี ค่อยใช้เชือกป่านผู้ให้แน่น และผูกข้อมือทั้งสองไว้ แล้วจึงผลักออกไปข้างนอก
ขณะเดียวกันอวิ๋นหว่านชิ่นเข้ามาแล้วตะโกนว่า “ลูกพี่หลี่ว์”
หลี่ว์ได้ยินเสียงที่เปลี่ยนไปของนาง คิ้วขมวด “นี่ คอของเจ้า…”
เสียงแหบของอวิ๋นหว่านชิ่น “ไม่เป็นไร ยังกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้” หลังจากไปค่ายบัญชาการ แล้ว เพื่อล่อให้ซานอิงออกมาและยังต้องติดต่อกับหลี่ว์ปา สถานะของนางจะเปิดเผยกับองค์ชายสามไม่ได้ ทำได้แค่ปิดบังทั้งสองฝ่าย ต่อให้บอกลับๆ ก็ไม่ได้ เพราะนางไม่แน่ใจว่าหลังจากที่เขารู้ยังยอมให้ตนทำต่อไหม และอาจจะขังนางไว้ก็เป็นได้ทั้งนั้น
ถ้าหากติดต่อกับองค์ชายสาม นอกจากลักษณะภายนอกแล้ว เสียงก็ต้องเปลี่ยน
ปลอมตัวและเสียง นางก็ไม่เชื่อว่าเขาจะยังจำได้
พูดจบ อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปหยิบถุงดำและเชือกฟางบนเครื่องโม่ ยื่นให้ “พี่หลี่ว์ มัดข้าเถอะ”
หลี่ปารู้ว่านางตัดสินใจแล้ว ทำได้เพียงหยิบถุงดำคลุมหัว ใช้เชือกมัดไว้และค่อยๆ มัดข้อมือนาง หลังจากนั้นประคองนางไปหน้าลานประตูใหญ่
หน้าประตู บนรถที่กว้างขวาง ลูกชายและเมียทั้งสามของสวีเทียนขุยขึ้นไปหมดแล้ว คุมใบหน้านั่งอีกฝัง กลัวจนตัวสั่น
หลี่ว์ปาพยุงอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นไปด้วยความจริงใจ เดินถ้อยหลังไม่กี่ก้าว ตะคอกว่า
“เรียบร้อย เอาคุณชายอ้วนและเมียทั้งสี่ของสวีเทียนไปส่งแล้วแลกคนของเรามา!”
ชายหลายคนรับคำสั่ง เข่นรถออกไป เสียงล้อรถกะทบพื้นดังเอี๊ยด มุ่งไปทางเหนือ
ณ ค่ายบัญชาการ พระอาทิตย์เลื่อนสูงขึ้นสว่างสดใสอยู่บนขอบฟ้า ส่องแสงแรงจ้าลงมายังพื้นดิน แม้ว่าจะอากาศหนาว แต่แสงแดดกลับแรงจ้า
ฝึกที่สนามฝึกเสร็จ ซย่าโหวซื่อถิงก็กลับห้องโถงใหญ่ นั่งคุยปรึกษาหารือกับผู้ตรวจการเหลียงเรื่องในเมือง
ในห้องโถงใหญ่มีหลี่ว์ชีเอ๋อร์และคนอื่นๆ ค่อยปรนนิบัติยกน้ำชา ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงแอะอ่ะโวยวายจากข้างนอก
ซย่าโหวซื่อถิงหยุดพูด มองไปทางด้านนอก “เกิดอะไรขึ้น”
ซือเหยาอันรีบออกไปดู ไม่นานเสียงฝีเท้าก็กลับมา “เจ้าคนกำเริบเสิบสานสวีเทียนขุย ปิดบังองค์ชายสาม แอบพาตัวประกันที่ผู้ตรวจการเหลียงจับไว้ไปแลกลูกชายและอนุกับพวกกองกำลังผ้าเหลืองพ่ะย่ะค่ะ”
วันที่กลับมาค่ายบัญชาการ หลังจากที่ฉิ๋นอ๋องได้เจอพวกกองกำลังโพกผ้าเหลือง เดิมทีไม่ได้กะว่าจะกักขัง เพียงแค่ให้พวกนั้นทำงานในค่ายบัญชาการทั่วไป ดังนั้นการที่สวีเทียนขุยจะพาพวกนั้นออกไปก็เป็นเรื่องง่าย