ตอนที่ 129 เรื่องปลอม เรื่องจริง

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

“แม่นางซู! วันนี้ข้าลงจากเกวียนแล้วรีบมุ่งหน้าไปที่สำนักตรวจการทันที คุณชายฉีเดินตามข้ามา เนื้อตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยซากผักและไข่เน่า เขาพยายามตามหาท่านและสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นโดยมีข้าติดตามไปด้วย แต่เมื่อเราไปถึงร้านตระกูลซูก็พบว่าท่านไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว พวกเราออกตามหาท่านไปทั่ว พลันใดนั้นพวกก็เจอร้านเครื่องประดับร้านหนึ่ง คุณชายฉีเดินเข้าไปด้านในและเลือกปิ่นปักผมอยู่หลายอัน กระทั่งเขาซื้อปิ่นอันนี้ให้กับท่าน ข้าเป็นพยานให้เขาได้ว่าไม่มีสตรีนางอื่นอยู่กับเขา!” ไป๋หยวนซูก้มหน้ามองปิ่นปักผมในมือของตนด้วยความงุนงงพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา โดยไม่อาจรู้ได้ว่าซูหวานหว่านจะรับฟังหรือไม่

เด็กสาวนั่งหน้าง้ำหน้างออยู่บนเตียง คำพูดของไป๋หยวนซูลอยผ่านแทรกเข้ามาในหูของนางอย่างช่วยไม่ได้ ซูหวานหว่านตกตะลึงและเริ่มได้สติ นางทุบหัวตนเองเบา ๆ เพื่อเตือนสติ พึมพำเบา ๆ “ใช่! ฉีเฉิงเฟิงเอาตัวเองมาบังไข่เน่าและผักเสียเหล่านั้นให้กับข้า หลังจากนั้นเขาก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า! ตอนข้าไปยังร้านตระกูลซูข้าก็ไม่พบเขาแล้ว ก่อนจะพบว่าเขาอยู่กับถังซู่ ข้าสันนิษฐานว่าที่เขาไปที่นั่นก็เพื่อร่วมมือกับคนอื่นหาวิธีกำจัดข้า!”

ซูหวานหว่านลุกขึ้นยืนเปิดประตูแล้ววิ่งออกไป เด็กสาวเปิดประตูลานบ้านก่อนคว้าปิ่นปักผมในมือของไป๋หยวนซูมาตรวจสอบ นางรู้สึกว่าปิ่นปักผมเรียบง่ายอันนี้มีความละเอียดอ่อนมาก

ไป๋หยวนซูตกตะลึงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของซูหวานหว่าน และมองดูมือที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้

ดูเหมือนเด็กสาวจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และเอ่ยถามว่า “ตอนนี้ฉีเฉิงเฟิงอยู่ที่ไหน? เหตุใดเขาไม่นำปิ่นปักผมนี้มาให้ข้าด้วยตัวเอง?”

“ตอนที่พวกเรากำลังจะเดินออกมาจากร้านได้เจอกับคนคนหนึ่ง จากนั้นคุณชายฉีก็รีบตามเขาออกไป” ไป๋หยวนซูพูดออกมาอย่างอย่างรวดเร็ว

“เขาคนนั้นพูดว่าอย่างไร?” ซูหวานหว่านถามออกมาด้วยความสงสัย

“เขาบอกว่า…” ไป๋หยวนซูตบหัวตัวเองพร้อมกับจ้องไปที่ซูหวานหว่านด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เขาบอกว่า ท่านรอฉีเฉิงเฟิงอยู่ที่เรือนสือของพวกเขา และเรียนเชิญเพียงคุณชายฉีเท่านั้น! แต่ตอนนี้ท่านอยู่ที่นี่แล้ว! เช่นนั้นแล้วคุณชายฉี…”

ฉีเฉิงเฟิงโดนหลอก?

ซูหวานหว่านตบตัวเองด้วยความรู้สึกสับสน หากนางมองออกตั้งแต่แรกว่าชายคนนั้นเป็นฉีเฉิงเฟิงตัวปลอม คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!

ครั้นได้ยินไป๋หยวนซูพูดเกี่ยวกับเรือนสือ เด็กสาวกลับไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย ไป๋หยวนซูจึงกล่าวว่า “ตระกูลสือเป็นครอบครัวที่ย้ายถิ่นฐานจากเมืองหลวง มาที่นี่เมื่อ 3 ปีก่อนเพื่อทำการค้า พวกเขามีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่สองร้าน ข้าได้ยินมาว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวอีกแห่งอยู่ที่เมืองอื่น”

เมื่อได้ยินแบบนี้ซูหวานหว่านจึงขอให้ไป๋หยวนซูนำทางไปยังเรือนสือ พอไปถึงนางจึงเคาะประตูเรือนสือทันที คนรับใช้ที่อยู่หน้าประตูหลังจากรับรู้ว่าทั้งสองคนมาที่นี่เพื่อตามหาใครบางคน จึงพูดออกมาว่า “วันนี้นายท่านของเราเดินทางไปยังโจวจง ไม่มีใครอยู่บ้าน แล้วจะเชิญแขกมาที่เรือนได้อย่างไร?”

เด็กสาวไม่อยากจะเชื่อคำพูดของคนรับใช้และเกือบบุกเข้าไปข้างใน

ไป๋หยวนซูก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่เขาคว้าตัวซูหวานหว่านเอาไว้ก่อนแล้วใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแอบอ้างเพื่อเข้าไปสำรวจด้านใน ทั้งสองสำรวจห้องหับทั้งหมดและก็ไม่พบฉีเฉิงเฟิงแต่อย่างใด

ทั้งสองคนตกตะลึง

ฉีเฉิงเฟิงอยู่ที่ไหนกัน?

ซูหวานหว่านตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เมื่อนางนึกไปถึงสิ่งที่นางได้ยินจากบ้านแถบชานเมืองก็พลันกลัวว่าถังฟู่จะทำอะไรร้ายแรงกับฉีเฉิงเฟิงขึ้นมา

นางปลีกตัวออกห่างจากไป๋หยวนซูครู่หนึ่ง จากนั้นซูหวานหว่านจึงใช้พลังวิเศษของตัวเองถามข่าวคราวกับฝูงนกที่บินผ่านไปผ่านมา ทว่านางไม่ได้ข้อมูลเพิ่มแต่อย่างใด

ในขณะเดียวกัน ฉีเฉิงเฟิงและชายคนนั้นเดินอยู่เป็นเวลานานแล้ว จนกระทั่งมาถึงบริเวณชานเมือง!

เมื่อเริ่มห่างออกจากเมืองเรื่อย ๆ ฉีเฉิงเฟิงเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ชายอีกคนเมื่อเห็นว่าฉีเฉิงเฟิงนิ่งไป จึงเอ่ยว่า “คุณชายฉีรีบเดินเร็วเถิด! อย่าปล่อยให้นายท่านของข้าและแม่นางซูรอเลย!”

ฉีเฉิงเฟิงยังคงนิ่งเงียบ ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชา “บอกมา… ใครเป็นคนส่งเจ้ามากันแน่!”

เขารู้ตัวแล้วอย่างงั้นหรือ? ชายผู้นั้นตกตะลึงและพูดออกมาอย่างร้อนรน “ข้าก็ถูกส่งมาโดยนายท่านของข้า! ท่านถามอะไรแปลก ๆ รีบไปกันเถอะ! ไม่นานเราก็จะถึงแล้ว เรือนตระกูลสือของพวกเราอยู่ข้างหน้านี่เอง ไม่ไกลแล้ว!”

“ข้างหน้า?” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวเยาะเย้ยและมองไปข้างหน้า “ข้าอยากจะถามเจ้าว่าเรือนสือที่เจ้าอาศัยนั้นไม่มีรูปร่างอย่างงั้นหรือ? เหตุใดข้าถึงมองไม่เห็น? เจ้าตาบอดหรือว่าข้าตาบอดกันแน่?”

เขาผงะนิ่งไป สองมือประสานกันแน่น

“เป็นอะไรไป? อดใจไม่ไหวจนอยากจะเปิดเผยความจริงออกมาแล้วอย่างงั้นหรือ?” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาพร้อมกับมองดูอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยาม “เจ้าบอกกับข้าว่าเจ้ามาจากเรือนสือ แต่เท่าที่ข้ารู้มาตระกูลสือมีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่หลายแห่ง แน่นอนว่าที่ตั้งมันต้องไม่ไกลเพียงนี้ รีบพูดออกมาเสียดีกว่า ว่าใครเป็นคนส่งเจ้ามา!”

ในเมื่อเขารับรู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรต่อไป!

อีกฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหาฉีเฉิงเฟิงช้า ๆ วางมือของเขาไว้ที่เอวของฉีเฉิงเฟิงแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอล “คุณชายฉี ท่านควรมองโลกในแง่ดีบ้าง มันเป็นแม่นางซูที่ส่งข้ามา ท่านต้องเชื่อข้า!”

พอพูดจบเขาก็หยิบมีดสีเงินออกมาแล้วเตรียมแทง… เข้าที่หัวใจของฉีเฉิงเฟิง!

“เฮอะ ลูกไม้ตื้น ๆ!” ฉีเฉิงเฟิงรู้อยู่แล้วจึงเตรียมตัวตั้งรับอย่างใจเย็น เมื่อมีดเล่มนั้นพุ่งตรงมาที่หัวใจของเขา ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาและปัดข้อมือของชายคนนั้นทิ้ง

ราวกับชายหนุ่มคนนั้นรู้สึกตัวว่าข้อมือของตนหัก ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนเขาต้องปล่อยมีดลงบนพื้น!

ฉีเฉิงเฟิงหยิบมีดขึ้นมาปาดคอของชายหนุ่มคนนั้นทันที เลือดสาดกระเด็นไปทั่วสารทิศ แต่เขาแค่บาดเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงตาย!

ดูเหมือนว่าฉีเฉิงเฟิงไม่ได้ต้องการเอาชีวิตของอีกฝ่าย!

ชายคนนั้นลนลาน ยกมือข้างหนึ่งของตัวเองปิดบาดแผลที่คอเอาไว้ และใช้มืออีกข้างหยิบมีดที่ฉีเฉิงเฟิงโยนไปแล้วขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งไปหาอีกฝ่าย แต่ก็ต้องตกใจกับสายตาที่ของฉีเฉิงเฟิงที่จ้องมองมา เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปและขว้างมีดทิ้งไปพร้อมทั้งเอ่ยว่า “ฉีเฉิงเฟิง! ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง ซูหวานหว่านอยู่ในมือของเราแล้ว หากเจ้าต้องการให้นางมีชีวิตรอด เจ้าจะต้องฆ่าตัวตาย!”

“เฮอะ” ฉีเฉิงเฟิงแสยะยิ้ม “อย่ามาใช้คำพูดหลอกลวงเกลี้ยกล่อมข้าเลย เจ้าคิดว่าการที่เจ้าหาข้ออ้างปลอม ๆ มาจะทำให้ข้าฆ่าตัวตายได้อย่างงั้นหรือ? ข้าจะเป็นคนใช้ชีวิตนี้สอนบทเรียนนี้ให้กับเจ้าเอง เพียงเสียแต่ว่าเห็นทีเจ้าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วก็เท่านั้น!”

เมื่อพูดจบฉีเฉิงเฟิงก้าวไปข้างหน้า ส่งผลให้ชายหนุ่มตื่นตระหนกและก้าวถอยหลังจนล้มลง! พร้อมกับพูดออกมาว่า “คุณชายฉี ยกโทษให้ข้าเถอะ! ข้ายังมีลูกเล็กและคนเฒ่าคนชราที่ต้องดูแล! ครอบครัวของข้านั้นกำลังรอให้ข้าหาเงินเลี้ยงดูพวกเขากันอยู่!”

“งั้นหรือ?” ฉีเฉิงเฟิงขยับเข้าไปหาอีกฝ่ายช้า ๆ ชายหนุ่มผู้นั้นถึงกับกลัวจนฉี่ราด แต่เมื่อเขาได้ยิน ‘เป๊ะ’ ดาบขนาด 3 ศอกที่ซ่อนอยู่ข้างหลังฉีเฉิงเฟิงก็หล่นลงมา ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความกลัวยิ่งขึ้นไปอีก

เขาเคยอ่านคดีความของท่านนายอำเภอมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงรู้ตัวตนของบุคคลผู้นี้ดี ว่ามักจะเป็นคนคอยจี้ปล้นคนอื่นเสมอ!

รอยยิ้มของฉีเฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความกระหายเลือด “ข้าอาจจะยังไม่รู้ว่าเป็นใครที่ส่งเจ้ามา แต่อีกฝ่ายนับว่าโง่มากที่หาพวกหัวขโมยมาฆ่าข้า!”

หลังจากนั้นเขาก็หยิบมีดขึ้นมา แล้วโยนมันกระแทกอกของผู้ชายคนนั้นเบา ๆ

“ข้าไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่นี่เป็นเรื่องที่สิ้นคิดมาก” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา ชายหนุ่มถ่มน้ำลาย แล้วเดินจากไป

เมื่อเดินทางมาถึงบ้านของฮวงเหล่า เขาก็มองหาซูหวานหว่านทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปในบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงที่มีความสุขของซูหวานหว่าน “ฉีเฉิงเฟิง! ข้าขอโทษเจ้าด้วยสำหรับความเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นมื้อนี้ข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินเป็นการไถ่โทษ เจ้าไม่ต้องเกรงใจ”

ฉีเฉิงเฟิงสอดส่องจากรอยแตกของประตูในลานบ้าน ก็พบซูหวานหว่านกับ ‘ฉีเฉิงเฟิง’ กำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกและเตรียมที่จะรับประทานอาหารกัน!