พรึ่บ……

กู้ชูหน่วนหันหลังลงจากหลังม้าโดยที่การเคลื่อนไหวนั้นคล่องแคล่ว เท้านางเกี่ยวครั้งหนึ่งก็ได้เกี่ยวดาบยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาจากนั้นยกดาบขึ้นด้วยมือแล้วเข้าร่วมวงต่อสู้

ผู้ที่มีจุดเส้นวรยุทธ์ขั้นที่สี่เช่นเดียวกันทว่าแม้แต่มุมเสื้อของกู้ชูหน่วนก็ไม่ทันได้แตะก็ถูกกู้ชูหน่วนจี้ตรงคอเสียแล้ว

เยี่ยจิ่งหานหรี่ตาลงเล็กน้อย

กระบวนท่าการต่อสู้ของกู้ชูหน่วนนั้นช่างพิเศษนัก เขามองดูเป็นเวลานานแต่ก็ดูไม่ออกว่านางอยู่สำนักใดกันแน่

แต่ว่าการเคลื่อนไหวของนางรวดเร็ว การจู่โจมและการป้องกันดี การรุกและรับดีเยี่ยม มักจะไม่ทันคาดคิดก็จู่โจมฝ่ายตรงข้ามอย่างหมายเอาชีวิต ไม่เหมือนผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนวิทยายุทธมาก่อน

นางมีเพียงแค่จุดเส้นวรยุทธ์ขั้นที่สี่แต่นางสามารถเอาชนะยอดฝีมือระดับหนึ่งได้อย่างเท่าเทียมกันไม่สามารถแยกแยะแพ้ชนะได้

เยี่ยจิ่งหานอดไม่ได้ที่จะมองนางเก่งกาจขึ้นอยู่บ้าง

การเดินทางไปเมืองอู๋ซวงในครั้งนี้ของเขาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บนั้นเป็นความลับสุดยอด

ในตอนนี้ฐานะของเขาได้ถูกเปิดเผย แววตาของเยี่ยจิ่งหานเปล่งประกายกลิ่นไอของการสังหารแว๊บขึ้น

เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อเท่านั้นยอดฝีมือนับสิบก็ได้กลายเป็นหมอกโลหิตไปในทันที เหลือเพียงยอดฝีมือระดับสามเพียงคนเดียวเท่านั้น

เพียงแต่ว่ายอดฝีมือระดับสามผู้นั้นแค่หนีรอดไปได้เพียงสามก้าวก็ถูกเยี่ยจิ่งหานสังหารไปเช่นเดียวกัน

กู้ชูหน่วนรู้สึกแน่นหน้าอกยิ่งนัก

นี่ก็คือความแตกต่างของความสามารถ นางจำต้องเพิ่มพูนความสามารถให้เร็ว

“ฮูหยิน ฮูหยิน…… ”

ที่ไม่ไกลนักองครักษ์หลายนายตะโกนเรียกด้วยความวิตก “เร็ว รีบไปเรียกหมอมา”

กู้ชูหน่วนหันข้างมองไปกลับเห็นอัครมเหสีรัฐฉู่ในชุดลำลองได้หมดสติไป สาวใช้และเหล่าคนรับใช้ทั้งหลายตกใจกันถ้วนหน้า

“คุณหนูกู้ ท่านนั่นเอง ท่านรีบดูว่าฮูหยนว่าเป็นอย่างไรบ้าง” สาวใช้ซิ่งเอ๋อร์เหลือบมองก็จำกู้ชูหน่วนได้แล้วจากนั้นคุกเข่าลงในทันที ก้มศีรษะลงโขกคำนับเสียงดังทีละครั้งทีละครั้งติดต่อกัน

กู้ชูหน่วนประคองซิ่งเอ๋อร์ลุกขึ้น ตรวจชีพจรของอัครมเหสีฉู่จากนั้นก็หยิบเข็มออกมาฝังให้กับนาง “วางใจเถอะ นางเพียงแค่หดหู่ใจมากเกินไปและเหน็ดเหนื่อยเกินไปถึงได้สลบไป พักผ่อนครู่หนึ่งก็จะดีขึ้น”

ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ขอบคุณคุณหนูกู้”

ทุกคนในรัฐฉู่ต่างก็รู้สึกขอบคุณ

หากว่าไม่ได้นางและคนในรถม้าช่วย เกรงว่าพวกเขาทั้งหมดคงต้องตายอยู่ที่นี่ในวันนี้แล้ว

ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดอยู่ในรถม้ากันแน่ วรยุทธ์นั้นช่างสูงส่งยิ่งนัก

“คนเหล่านั้นเป็นใครกัน เหตุใดพวกเขาถึงต้องสังหารพวกเจ้า?” กู้ชูหน่วนชี้ไปยังศพบนพื้นแล้วถาม

“พวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ ตั้งแต่มาถึงรัฐเยี่ยก็มีมือสังหารจู่โจมพวกเราเป็นครั้งคราว ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ก็ไม่รู้ว่ามีกี่ครั้งแล้ว”

กลิ่นไอของการสังหารปรากฏขึ้นอยู่ในรถม้า กู้ชูหน่วนตกใจเล็กน้อยและไม่สามารถสนใจผู้คนรัฐฉู่เหล่านั้นจากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนรถม้าเองก่อน

“เยี่ยจิ่งหาน ท่านคงไม่ได้ต้องการสังหารกระทั่งพวกเขาหรอกนะ”

“พวกเขารู้ร่องรอยของข้าแล้ว”

“อัครมเหสีฉู่เป็นคนดีพระองค์จะไม่แพร่ข่าวของท่าน ลูกน้องทั้งหลายของพระองค์ก็ไม่ได้เลวทราม”

“ข้าจะไม่นำชีวิตมาล้อเล่น”

กู้ชูหน่วนขวางเขาไว้แล้วกล่าวด้วยใบหน้าหม่นหมองว่า “หากท่านสังหารพวกเขางั้นข้าก็จะไม่รักษาให้กับท่าน”

“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า”

“ข้าไม่ได้ข่มขู่ท่าน ข้าเพียงแค่ไม่อยากเห็นชีวิตของผู้บริสุทธิ์มากมายเช่นนั้นต้องอยู่ที่นี่”

อัครมเหสีฉู่ทรงฟื้นขึ้นมาก็วิ่งโซเซไปโดยไม่ได้สนใจร่างกายอันอ่อนแอของตนเองพร้อมกับตรัสด้วยพระทัยที่ร้อนรนดังไฟเผาว่า “คุณหนูกู้เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยี่ยเฟิงอยู่ที่ใด? ขอร้องเจ้าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่?”

อัครมเหสีฉู่ดูงดงามสูงส่งและสง่างามสุภาพ ปกติไม่เคยเสียมารยาทเช่นนี้มาก่อน

แต่ในเวลานี้พระองค์ได้ละทิ้งศักดิ์ศรีอัครมเหสีออกนอกสวรรค์ชั้นเก้าไปหมดแล้ว พระเนตรคู่วิตกกังวลนั้นสะท้อนเงาของกู้ชูหน่วนซึ่งสามารถสังเกตได้จากพระวรกายอันสั่นเทาของพระองค์ว่าพระองค์ทรงหวาดกลัวว่ากู้ชูหน่วนจะกล่าวคำว่าไม่รู้

กู้ชูหน่วนเปิดปากต้องการบอกว่าเยี่ยเฟิงอยู่ในนิกายเทพอสูร

เมื่อพิจารณาถึงอดีตอันน่าเศร้าที่ผ่านมาของเยี่ยเฟิง กู้ชูหน่วนทำได้เพียงแค่เปลี่ยนคำพูดว่า “ข้าขอโทษ ข้ากับเยี่ยเฟิงแยกจากกันตั้งนานแล้ว ตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด”