ตอนที่ 50 ใจเต้นที่ราคาแสนถูก / ตอนที่ 51 เล่ห์เหลี่ยมของหลูจื้อ

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 50 ใจเต้นที่ราคาแสนถูก 

 

 

หลังจากกลับถึงหอพัก ชุยหังก็ไม่ได้นั่งกินขนมอยู่คนเดียวแต่แบ่งของกินให้กับทุกๆ คน 

 

 

จากนั้นเขาก็ขึ้นไปนอนบนเตียงพลางเลื่อนดูข้อความที่หลิวเฮ่อส่งมาให้ทีละข้อความ จากนั้นก็กดลบมันทิ้งทีละข้อความ 

 

 

กดเข้ามาดูในอัลบั้มภาพของตัวเอง ข้างในนั้นมีภาพที่ตัวเองกับหลิวเฮ่อพึ่งจะเริ่มรู้จักกัน เขาส่งรูปมาให้ชุยหัง แล้วยังมีรูปภาพที่ถ่ายตอนที่พวกเขาออกไปข้างนอกด้วยกันสองคนด้วย 

 

 

แต่ว่า ตอนนี้พอมองดูรูปภาพรอยยิ้มของหลิวเฮ่อแล้วมันช่างเป็นอะไรที่ขัดลูกหูลูกตามาก 

 

 

เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ก่อนจะเอาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลิวเฮ่อกดลบทิ้งทั้งหมดจนสะอาดหมดจด 

 

 

ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาและเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก ชุยหังลังเลนิดหน่อยก่อนจะกดรับมัน 

 

 

“ชุยหัง นายฟังฉันอธิบายก่อนนะ คนๆ นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยจริงๆ นะ” มันเป็นเสียงของหลิวเฮ่อ 

 

 

ชุยหังไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้กดวางสายโทรศัพท์ด้วย 

 

 

ที่ไม่พูดเพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ที่ไม่กดตัดสายเพราะเขาอยากจะฟังว่าเขาคนนั้นจะอธิบายกับตนว่ายังไง เขาจะสามารถเลวทรามได้ถึงขั้นไหน ตนถึงจะสามารถตัดใจทิ้งได้ 

 

 

ผลปรากฏว่าหลิวเฮ่อพูดวกไปวนมาจนสุดท้ายก็จบที่ประโยคนั้นที่ว่า คนๆ นั้นเป็นลูกชายของเพื่อนร่วมงาน 

 

 

“อืม ฉันรู้แล้ว” ชุยหังทนฟังอยู่นานจนเริ่มรู้สึกรำคาญใจแล้ว จึงพูดอย่างตรงไปตรงมากลับไปประโยคหนึ่ง 

 

 

“นายอย่าโกรธเลยนะ หรือไม่อย่างนั้นฉันจะยื่นคำร้องกับบริษัทให้ย้ายฉันไปอยู่ทางนั้นด้วยดีไหม” หลิวเฮ่อพูด 

 

 

วินาทีนั้นชุยหังแอบใจเต้นขึ้นมาหน่อยๆ 

 

 

“คนๆ นั้น อายุเท่าไหร่แล้ว” จู่ๆ ชุยหังก็ถามขึ้น 

 

 

“พึ่งจะสิบเก้า ฉันไม่ได้โกหกนายจริงๆ นะ” หลิวเฮ่อพูด 

 

 

“เพื่อนร่วมงานอายุเท่าไหร่” ชุยหังถาม 

 

 

“สี่สิบกว่าแล้ว ทำไมหรอ” 

 

 

ชุยหังพูดต่อ: “ไม่ทำไม ถามเฉยๆ ฉันจำได้ว่านายเคยบอกฉันว่าทั้งบริษัทของนายดูเหมือนจะมีแต่คนหนุ่มสาวใช่ไหม” 

 

 

หลิวเฮ่อแสดงท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพูดขึ้น: “ก็นี่เป็นเพื่อนที่ย้ายมาใหม่ พวกเราก็ควรจะช่วยดูแลสักหน่อยไม่ใช่หรอ” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นนายก็ดูแลต่อไปเถอะ แล้วนายก็ไม่ต้องมาหรอก คอยจัดการอยู่ที่นั่นต่อไปเถอะ มันดีแล้วล่ะ” ชุยหังพูด 

 

 

วินาทีนี้เองที่ในสายมีเสียงหนึ่งดังสะท้อนขึ้นมา: “เหล่ากง [1] โทรหาใครหรอ” 

 

 

ตอนนี้เองชุยหังแทบอยากจะกดตัดสายทิ้งในทันที เหล่ากง? 

 

 

เหอะๆ ลูกชายของเพื่อนร่วมงานอายุสิบเก้าเรียกเขาว่าเหล่ากง?  

 

 

คำหลอกลวงพวกนี้มันช่างน่าขำสิ้นดี 

 

 

เมื่อครู่นี้ตัวเองยังแอบมีใจเต้นเพียงเพราะคำพูดพวกนั้นของเขา 

 

 

หัวใจของตัวเองมันเต้นแรง มันราคาถูกขนาดนั้นเลยหรอ 

 

 

เขาไม่ได้ลังเลอะไรอีกต่อไปและกดตัดสายในทันที แล้วกดปิดเครื่องไปเลย 

 

 

“เหลาอู่ ใครหรอ” ถังเฉิงที่อยู่เตียงด้านล่างเหมือนจะฟังออกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป 

 

 

ชุยหังรีบจัดการกับความคิดของตัวเองอย่างเร็วไวแล้วพูดตอบ: “ไม่มีอะไร เป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยก่อนอยากจะมาเที่ยวที่นี่สักสองสามวัน” 

 

 

“อยากจะมาเที่ยวที่นี่สองสามวันในช่วงนี้เนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า” ถังเฉิงบ่นพึมพำ 

 

 

“เขาสอบไม่ติดแล้วได้ยินว่าฉันมาอยู่ที่นี่ ดูเหมือนเขาจะอยู่ห่างจากที่นี่ไม่มากเลยอยากจะมาหาฉัน แต่ฉันบอกเขาไปแล้วนะว่าไม่มีเวลา เขาก็ยังไม่เชื่อ” ชุยหังอธิบาย 

 

 

ตอนที่เขากำลังพูดโกหก ภายในใจก็รู้สึกลำบากใจ เพราะกำลังคิดอยู่ว่าเมื่อครู่นี้ทำไมตัวเองถึงไม่ด่าหลิวเฮ่อออกไปตรงๆ เลยว่า ต่อจากนี้ให้เขาไสหัวไปซะ ไปยิ่งไกลยิ่งดี แต่ว่าปากเขายังคงพูดมันออกมาอย่างดีเลิศ 

 

 

“คนแบบนี้ส่วนใหญ่สมองมักจะมีปัญหา นายไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เดี๋ยวเขาก็คงหยุดไปเอง” ถังเฉิงพูด 

 

 

“อืม ฉันก็รู้สึกว่าเขามักจะคิดว่าชีวิตของคนอื่นเป็นเหมือนกันกับเขา ถ้าเขาว่างคนอื่นๆ ก็ต้องว่างเหมือนกัน” ชุยหังก็ไม่รู้ว่าไปขุดเอาคำพูดพวกนี้มาจากไหน 

 

 

ฝนข้างนอกหยุดตกแล้ว แต่ความรู้สึกของชุยหังเหมือนจะยิ่งจมลงไปในก้นเหวลึกแล้ว 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 51 เล่ห์เหลี่ยมของหลูจื้อ 

 

 

เมื่อคืนวานฝนตกตลอดทั้งคืน คิดไม่ถึงว่าเช้าวันรุ่งคืนบนพื้นกลับแห้งสนิท ดูเหมือนว่าเจ้าเตาไฟอันนี้ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ  

 

 

ชุยหังสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว จากนั้นก็จัดการพับผ้าห่มให้เรียบร้อยอย่างยากลำบาก รอยพับที่หลูจื้อพับไว้เมื่อวานนี้ยังอยู่ดังนั้นจึงนับว่าค่อนข้างราบรื่นทีเดียว 

 

 

เพียงแต่ว่าพอทำเสร็จแล้วมันดูไม่ค่อยเหมือนก้อนเต้าหู้ เหมือนเต้าหู้ทอดมากกว่า 

 

 

แต่เขารู้สึกว่านี่นับว่าสุดความสามารถของเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว 

 

 

เมื่อไปถึงสนามกีฬา เหล่าบรรดาครูฝึกทั้งหลายก็ยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยหน้าตาสดชื่นกระปรี้กระเปร่า 

 

 

ชุยหังตั้งใจที่จะหลบจากสายตาของหลูจื้อ โดยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขา 

 

 

หลูจื้อก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว ช่วงเริ่มต้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรเขา แต่ว่าต่อมาเขายิ่งรู้สึกว่ามันไม่ค่อยปกติแล้ว 

 

 

เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าอะไรไปอีกเนี่ย ตนเองก็เหมือนไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจสักหน่อย 

 

 

ตอนยืนระเบียบทหาร ชุยหังแทบอยากจะหลับตาลงเพราะแสงแดดในวันนี้ รุนแรงมากเสียยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีก 

 

 

ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจหลูจื้อ หลูจื้อก็ไม่ได้มาก่อกวนเขา แบบนี้นับว่ายังดีรู้สึกสงบที่สุด 

 

 

แต่ทว่าครึ่งชั่วโมงต่อมา ชุยหังก็สังเกตเห็นอย่างประหลาดใจว่าหลูจื้อเริ่มจะกลับมาแวบไปแวบมาอยู่ตรงหน้าเขาใหม่อีกครั้งแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การหยอกล้อด้วยคำพูดและการสัมผัสมือเท้าแล้ว แต่เป็นการทำโทษทางร่างกายเลยต่างหาก 

 

 

“การยืนท่าระเบียบของชุยหังนับว่าพัฒนาขึ้นมาก อย่าขยับนะ อย่าขยับเด็ดขาด” 

 

 

เขาพูดจากนั้นก็โน้มตัวลงต่ำ 

 

 

ชุยหังไม่รู้ว่าเขาอยากจะทำอะไร แต่รู้สึกว่าจู่ๆ เอวของตัวเองก็ถูกรัดแน่นขึ้น จากนั้นสองเท้าของเขาก็ลอยขึ้นแล้ว 

 

 

“บอกแล้วไงว่าอย่าขยับไม่ได้ยินหรอ” หลูจื้อพูดตักเตือนชุยหังที่คิดอยากจะดิ้นรนต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจัง 

 

 

ชุยหังแอบคิดในใจ หัวไหล่ของนายมันอยู่ตรงหน้าท้องของฉันแล้วเนี่ย ฉันจะขยับจัดท่าสักหน่อยไม่ได้เลยหรอ 

 

 

แต่ว่าสุดท้ายเขาก็อดกลั้นเอาไว้ ใครจะกล้าลอยหน้าลอยตาภายใต้ชายคาที่ต่ำต้อยกันเล่า 

 

 

เพื่อนทั้งห้องได้แต่ยืนมองหลูจื้อยกตัวชุยหังแบกไว้บนบ่า แถมชุยหังยังไม่ขยับเลยสักนิดจริงๆ เหมือนกับหุ่นขี้ผึ้งที่รักษาท่าทีให้แข็งตรงอยู่อย่างนั้น 

 

 

เดิมชุยหังคิดว่าเขาคงจะแค่แบกตัวเองออกไปวางไว้ด้านหน้ากองขบวนแถวเท่านั้น แล้วให้ทุกคนดูเขาอย่างไม่มีทางเลือก คิดไม่ถึงว่าเขาจะแบกชุยหังเดินไปทางห้องอื่นๆ เสียอย่างนั้น 

 

 

“ดูทหารคนนี้ในแถวของพวกเราสิเป็นยังไง” หลูจื้อเดินไปด้วยพลางหันไปพูดกับครูฝึกประจำแถวนั้นๆ ด้วย 

 

 

พวกเขาเรียกห้องที่ตัวเองประจำการดูแลอยู่ว่าแถว แล้วทั่วทั้งคณะของพวกเขาทุกห้องเรียนรวมกันจะเรียกว่ากองทัพ 

 

 

ครูฝึกคนนั้นที่กำลังชี้แนะท่ายืนระเบียบให้คนอื่นอยู่ พอเห็นหลูจื้อเดินไปหาแน่นอนกว่าต้องรีบเข้ามาต้อนรับทันที 

 

 

หลูจื้อวางตัวชุยหังลงบนพื้นและยังคงคำเดิมคือ อย่าขยับ 

 

 

ชุยหังแอบคิดในใจว่านายให้ฉันหันหลังให้คนอื่นก็ได้ นี่ให้ฉันหันหน้าใส่คนอื่นๆ แบบนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?  

 

 

ต้องยืนจ้องตาเล็กตาใหญ่กับเหล่าคนแปลกหน้าแบบนี้ มันเป็นอะไรที่อึดอัดที่สุด 

 

 

หลังจากที่หลูจื้อวางชุยหังลง เขาก็หันไปพูดกับครูฝึกของห้องนั้นว่า: “เป็นไงบ้าง ยืนท่าระเบียบคนนี้ มีพอจะสู้กับนายเมื่อตอนแรกเริ่มได้ไหม” 

 

 

“มีแล้ว มีแล้ว” ครูฝึกคนนั้นก็เดินวนดูรอบตัวชุยหังรอบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น 

 

 

ชุยหังแอบคิดในใจว่านี่พวกนายเอาฉันไปเป็นตัวอย่างแล้วหรอ 

 

 

ไม่ทันรอให้เขาคิดเสร็จ หลูจื้อก็แบกเขาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เดินอุ้มเขาไป ‘แสดง’ ต่อหน้าแถวห้องอื่นๆ ด้วย 

 

 

ชุยหังถึงกับเหงื่อไหลทะลักออกมา หลูจื้อ ได้ ถือว่านายแน่มาก นับว่าฉันอยู่ในกำมือนายแล้ว เล่ห์เหลี่ยมนี้ของนายโผล่ออกมาไม่ขาดสายเลยจริงๆ  

 

 

แต่ที่น่าโกรธที่สุดคือตอนที่เดินไปถึงหน้าคณะการจัดการทางทะเลทั้งสองห้องนั้น เพราะข้างในห้องพวกนั้นมีบางส่วนที่เป็นผู้หญิง พวกเขามองมาที่ชุยหังแล้วก็อยากหัวเราะ พอชุยหังเห็นพวกเขาหัวเราะตนก็เหมือนจะทนไม่ไหว แต่ก็ทำได้แค่อดทนอดกลั้นไว้ให้ถึงที่สุด 

 

 

ในใจเขาตอนนี้กำลังร้องโวยวาย หลูจื้อ ถ้านายเป็นพวกเบี่ยงเบนเมื่อไหร่นะ ฉันจะต้องทำให้นายตกหลุมรักฉัน แล้วก็ทำให้นายไม่มีทางเอื้อมถึงฉันคอยดู 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] เหล่ากง (老公)แปลว่า สามี