ครู่ต่อมานางนั่งอยู่บนขาของสตรีนางหนึ่ง
สตรีนางนั้นสวมเสื้อขนจิ้งจอกหนาหนัก อุ้มเตาอุ่นมือไว้ กำลังออกคำสั่งบัญชาการข้างนอกว่า “เร็วหน่อย…” พลันรู้สึกว่าบนขาหนักหน่วงจึงพลันเอียงศีรษะ
กริชของจิ่งเหิงปัวยังไม่ได้โผล่ออกไปเลย นางกลอกตาเพียงครั้ง
หมดสติไปแล้ว
จิ่งเหิงปัวลูบหน้า บนใบหน้าเหนียวเหนอะหนะ น่าจะเป็นเพราะเปื้อนเลือดทั่วใบหน้า
มิน่าเล่า ภายในเกี้ยวดึกดื่นขนาดนี้ เมื่อครู่ยังมีคนถูกผีหลอก พอกะพริบตาบนขาก็มีคนนั่งอยู่ คราบเลือดทั่วหน้าท่าทางย่ำแย่ สาวสวยคนนี้ไม่ตกใจตายไปเลยก็นับว่าโชคดีแล้ว
ดีเลย ลดขั้นตอนไปได้
นางรีบใช้เสื้อขนจิ้งจอกล้ำค่าของสตรีนั่นมาเช็ดใบหน้า ซ้ำยังออกแรงกระทืบพื้นเกี้ยวบอกใบ้ให้ออกเดินทาง ทหารที่แบกเกี้ยวเข้าประจำตำแหน่งแล้ว ขณะเปลี่ยนคนสับสนวุ่นวายยากจะหลีกเลี่ยง และไม่มีใครสนใจว่าด้านข้างริมกำแพงแห่งนี้มีการเคลื่อนไหวอะไร
เกี้ยวถูกยกขึ้น จิ่งเหิงปัวได้ยินทหารข้างหน้าหัวเราะแผ่วเบากับทหารข้างกาย
“เล่ากันว่าฮูหยินเหยาเป็นโฉมสะคราญหายาก อรชรอ้อนแอ้น ร่ายระบำอ่อนช้อยได้ ข้าว่าข่าวลือเชื่อไม่ได้จริงแท้ นางน่าจะเป็นโฉมสะคราญอวบอ้วนเสียมากกว่า…”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ หันหน้ามองดูหญิงสาวที่สลบไสลคนนั้น นางเป็นสาวสวยจริงๆ ด้วย แค่สีหน้าซีดเผือดไปนิดหน่อย นางอาศัยแสงหิมะข้างนอกมองดูใบหน้าของหญิงสาวด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา
คิ้วของผู้หญิงคนนี้แนบกระจายเหมือนทากาว หางตาแดงเข้ม เมื่อครู่เพิ่งไปคบชู้กลับมา!
…
เกี้ยวแล่นไปข้างหน้าตลอดทางแต่ไม่ได้แล่นไปไกลนัก จิ่งเหิงปัวแย่งเสื้อขนจิ้งจอกของนางมาคลุมร่างตนเอง แล้วนอนลงอย่างสบายอกสบายใจ
นางไม่ห่วงเหยียลี่ว์ฉีเลย ข้างหลังไม่ได้เกิดการเคลื่อนไหวแสดงว่าไม่เป็นไร ซ้ำยังไม่ห่วงเหยียลี่ว์สวินหรูด้วย อยู่รอดท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้จนวันนี้ คงไม่ตายไปเพราะตาบอดเร่ร่อนกลางหิมะคนเดียวแน่นอน
นางเพียงต้องคิดว่าก้าวต่อไปจะทำอย่างไรก็พอแล้ว
“เจ้าตามใจตนเองแต่กำเนิด ไม่เหมาะที่จะวางแผนล่วงหน้าสอดส่องทุกย่างก้าว เช่นนั้นจะทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยสับสนจนพลาดพลั้ง เจ้าเพียงต้องวางเป้าหมายไกลโพ้นสักอย่างไว้ตรงนั้น จากนั้นกระทำทุกก้าวตรงหน้าตนเองให้ดี ฝ่าเท้าเหยียบย่ำมั่นคงบนเส้นทางทุกย่างก้าว ภายหลังย่อมไม่มีหลุมพรางหยุดยั้งเจ้าได้”
ใครเข้าใจนางมากที่สุดในโลกนี้?
บุรุษผู้ไกลห่างอยู่ตี้เกอคนนั้น อาศัยหิมะน้ำแข็งเป็นเทพเจ้า ยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อนชั่วนิรันดร์
ชั่วพริบตาแสนสั้นนี้ นางคล้ายหลับฝันครั้งหนึ่ง ในฝันยังคงเป็นวาจาดูคล้ายเย็นชาทว่าเจื้อยแจ้วเหล่านั้น ยามที่ตื่นจากฝันหางตานางเปียกชื้นเล็กน้อย นิ้วมือเช็ดเพียงครั้ง ปลายนิ้วแวววาว
หนึ่งความฝันดุจชั่วชีวิต ยามลืมตาอีกครั้งฟ้าดินยังคงเหน็บหนาวทั่วร่าง
มีเสียงแว่วมาจากข้างนอกว่า “ฮูหยิน ถึงแล้ว”
นางหยิกสตรีที่ยังสลบไสลนางนั้นให้ตื่นฟื้น สตรีนางนั้นร้อง “อ๊ะ” ก่อนฟื้นขึ้นมา กริชของจิ่งเหิงปัวค้ำยันตรงเอวนาง ก่อนกล่าวว่า “ข้าเป็นโจรหญิง! หากอยากรอดชีวิต ข้าเอ่ยแล้วเจ้ากระทำตาม!”
สตรีพยักหน้าดุจโขลกกระเทียม
“ให้ทุกคนแบกเกี้ยวเข้าระเบียงทางเดิน ประตูเกี้ยวหันเข้าหากำแพง จากนั้นให้พวกเขาทั้งหมดถอยไป อย่าให้เหลือแม้เพียงผู้เดียว”
สตรีร่างสั่นระริกและกระทำตาม โชคดีที่อากาศหนาว แม้เสียงของนางสั่นเทิ้มแต่ยังไม่มีคนรู้สึกแปลกใจ
ยามที่เหล่าทหารถอยออกไปนั้น พวกเขาก็บ่นพึมพำว่า “เอ่ยกันว่าฮูหยินเหยาใจกว้าง เหตุใดแบกนางมาตลอดทางเช่นนี้ถึงไม่มีแม้แต่เงินรางวัลเล่า…”
บางคนยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ได้ยินว่าสูญเสียความโปรดปรานแล้วล่ะ!”
…
ในลานบ้านไม่มีคน จิ่งเหิงปัวค้ำยันสตรีนางนั้นลงจากเกี้ยว หันหลังมองดูเกี้ยวสาวใช้นั่นไม่มีการเคลื่อนไหว
นางเข้าไปในห้อง เป่าปากครั้งหนึ่งเรียกเฟยเฟยออกมา ส่งสัญญาณมือว่าเชือก เฟยเฟยฉีกม่านผืนใหญ่ผืนหนึ่งออกเป็นเส้น จิ่งเหิงปัวเรียกเฟยเฟยขึ้นมาเฝ้าสตรีนางนั้นแทน ตนเองผูกแถบผ้าต่อกันเป็นเชือกมามัดนางไว้ก่อน ซ้ำยังอุดปากไว้ด้วย จากนั้นจึงออกไปดูเกี้ยวน้อยของสาวใช้หลังนั้น
ในเกี้ยวเต็มไปด้วยโลหิต คนสองคนสลบไสล สาวใช้คนหนึ่งเหยียลี่ว์ฉีคนหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวปลุกสาวใช้นางนั้น บังคับให้นางช่วยหามเหยียลี่ว์ฉีขึ้นไปส่งบนเตียงหอมหวนสะกดผู้คนภายในห้องของฮูหยินเหยา กำชับให้เฟยเฟยเฝ้าสาวใช้นางนี้ให้ดี
แผลทะลุบนไหล่ของเหยียลี่ว์ฉียังมีเลือดไหลออกมาอยู่ จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว หันมากล่าวกับฮูหยินเหยาที่มีสีหน้าตื่นตะลึงว่า “ตามหมอมา”
สตรีนางนั้นพยายามส่ายหน้าสุดชีวิต จิ่งเหิงปัวจึงยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ทำไมเล่า? หรือเจ้าตั้งครรภ์แล้ว?”
ฮูหยินเหยามีสีหน้าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น ส่ายหน้าจนศีรษะแทบร่วงลงมา
“เจ้าแท้งแล้ว?”
ส่ายหน้า
“เจ้าจะคลอดแล้ว?”
ส่ายหน้า
“ชายชู้ของเจ้าจะคลอดแล้ว?”
ฮูหยินเหยาส่ายหน้าได้ครึ่งหนึ่งก็พลันแข็งทื่อ ลำคอส่งเสียงกึกกักสองเสียง ดวงตาพลันน้ำตารื้นคลอเบ้า น้ำตาแห่งการอ้อนวอน
กล่าวได้เลยว่าท่าทางอ้อนวอนน่าสงสารของสาวสวยแลดูเจริญตาอย่างยิ่ง จิ่งเหิงปัวชอบมองสิ่งสวยงามมาโดยตลอด นางจึงอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน รู้ด้วยว่าตอนนี้นางคงไม่กล้าร้องแน่แล้ว หยิบผ้าออกจากปากนาง ยิ้มตาหยีเท้าแก้มกล่าวกับนางอยู่อีกฝั่งว่า “เช่นนั้นเจ้าว่ามาสิ อ้างว่าอะไรดีเล่า?”
“มีหมอท่านหนึ่ง…ค่อนข้างสนิทสนมกับข้า…” ฮูหยินเหยาเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ข้าอ้างว่าป่วยไข้รากสาดน้อย เรียกเขามา…”
“เจ้าเรียกหมอยามราตรี สามีเจ้าจะไม่ตกใจตื่นหรือ?”
“เขาสนใจความเป็นความตายของข้าเสียที่ใด!” โฉมสะคราญขลาดกลัวน่าสงสารพลันหน้านิ่วคิ้วขมวด ไอสังหารคุกรุ่นฉับพลัน เอ่ยว่า “เขามัวแต่โอบกอดนังสารเลวนั่น! ต่อให้ข้าสิ้นใจลงเบื้องหน้าเขา เขาก็คงไม่ว่างมามองข้าสักปราดเดียว!”
โอ้ เป็นพวกแค้นสามีอีกด้วย
“ผู้ใดจะไปเชิญหมอเล่า?”
“สัตว์น้อยตัวนั้นของเจ้า…” ฮูหยินเหยาเป็นคนฉลาดเช่นกัน เอ่ยโดยพลันว่า “ขอเพียงแอบส่งเศษกระดาษไว้บนโต๊ะของหมอท่านนั้นพอแล้ว หมอผู้ติดตามอาศัยอยู่ลานบ้านข้างจวน…เขาเห็นแล้วคงมา”
เฟยเฟยไปส่งจดหมายแล้ว จิ่งเหิงปัวเชิดคางของนางอย่างอารมณ์ดี มองซ้ายมองขวาแล้วจิ๊จ๊ะถอนใจ กล่าวว่า “เฮ้อ ที่เจ้าเอ่ยมาคงไม่ใช่ความจริงกระมัง? เฮ้อ! สาวงามเช่นเจ้านี้ไหนเลยจะถูกสามีเมินเฉยเสียได้? จิ๊จ๊ะ ผู้ใดหักใจเมินเฉยโฉมสะคราญปานนี้เช่นเจ้ากัน”
กลางแววตาของฮูหยินเหยาพลันท่วมท้นด้วยน้ำตาคลอ และไม่รู้ว่าเพื่อปลอบขวัญตนเองประจบนางหรือเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเหลือเกินสุดท้ายหาคนระบายความทุกข์ด้วยจนได้ นึกไม่ถึงว่าจะจูงนางไว้แล้วเริ่มร้องไห้พร้อมเอ่ยวาจา
โฉมงามทั้งครวญครางทั้งถอนใจให้ฟังจนจิ่งเหิงปัวหาวนอนไม่หยุดหย่อน ผ่านไปไม่นานจึงเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แค่สามียศถาบรรดาศักดิ์เป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้ เดิมทีฮูหยินเหยาเป็นเจ้าดวงใจของสามี มิฉะนั้นคงไม่พาออกเดินทางมาด้วย ใครจะไปรู้ว่าเดินทางมายังเมืองเล็กไกลโพ้นแห่งนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีลูกหลานตระกูลขุนนางของตี้เกอส่งสาวสวยเลิศล้ำทั่วหล้าจากตี้เกอมาให้สามี กล่าวกันว่ารักเก่าแพ้รักใหม่ ฮูหยินเหยาผู้บอบบางดั่งกิ่งหลิวต้องลมจึงถูกสาวงามตี้เกอผู้ผ่องอำไพทั่วทิศคนนั้นแย่งชิงความโปรดปรานอย่างรวดเร็ว สายตามองดูประตูลานบ้านเงียบเหงา ฮูหยินเหยาเฝ้าหอนอนว่างเปล่าเพียงผู้เดียว…
เสียงร้องไห้พร้อมเอ่ยวาจาของฮูหยินเหยามาถึงจุดสำคัญรอบสามแล้ว จิ่งเหิงปัวขัดจังหวะวาจาของนางกะทันหัน
“สามีเจ้าคือผู้นำเผ่าหวงจินหรือ”
ฮูหยินเหยาร้อง “อึ่ก” ออกมาเสียงหนึ่ง
“สามีเจ้าเมินเฉยเจ้า ฉะนั้นเจ้าจึงแอบออกไปพบคนรัก? แล้วคนรักของเจ้าเป็นผู้ใดกัน ในเมื่อเจ้าเพิ่งมาเมืองเล็กแห่งนี้เช่นกัน อีกทั้งด้วยฐานะเช่นนี้จะมีโอกาสรู้จักคนนอกได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวโยนคำถามที่สองออกไปด้วย กล่าวต่อไปว่า “คนรักของเจ้าคนนี้คงเป็นคนรักใหม่กระมัง? อืม ข้าขอเดาว่า…” นิ้วมือนางค้ำยันขากรรไกรล่าง ชม้ายชายตาทั้งน่ารักทั้งอ่อนช้อย กล่าวว่า “ลูกหลานตระกูลขุนนางของตี้เกอ?”
ฮูหยินเหยามองนางอย่างตื่นตะลึง
สีหน้าบนใบหน้าของนางอธิบายได้ทุกอย่าง จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ อย่างไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
ทหารจินหลินเป็นราชองรักษ์ของผู้นำเผ่าหวงจินแต่ถูกฮูหยินเหยาคนนี้สั่งการได้ ฐานะของนางเกินหน้าเกินตา แอบนัดพบฮูหยินเหยาคนนี้กลางดึกได้ เกรงว่าขุนนางเมืองเล็กแห่งนี้คงไม่กล้ากระทำ มีแต่ลูกหลานตระกูลขุนนางของตี้เกอถึงมีความเจ้าชู้ส่วนนี้
“เจ้า…” ทว่าสีหน้าบนใบหน้าของฮูหยินเหยาไม่เพียงประหลาดใจ พลันเกิดความชิงชังเพิ่มมาหลายส่วน นางพินิจจิ่งเหิงปัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เอ่ยว่า “เจ้าคงไม่ใช่คนที่นังสารเลวนั่นส่งมากระมัง?”
“นังสารเลวผู้ใดกัน” จิ่งเหิงปัวชะงัก จากนั้นจึงเข้าใจว่านางกำลังเอ่ยถึงสาวสวยคนใหม่ที่ได้รับความโปรดปรานคนนั้นแน่นอน
“เจ้าคล้ายนางยิ่งนัก!” ฮูหยินเหยาเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ไม่ใช่หน้าตา ทว่าท่วงท่าทรงเสน่ห์! นางทำท่าทางเฉกเช่นเจ้า นางมารน้อยประจบสอพลอแต่กำเนิด ประเดี๋ยวกะพริบตาประเดี๋ยวยักคิ้ว หวังเพียงกระชากวิญญาณบุรุษ!”
ผู้หญิงที่ลูกหลานตระกูลขุนนางของตี้เกอมอบให้ผู้นำเผ่าหวงจินเหมือนตนเองมาก?
จิ่งเหิงปัวคิดว่าทำไมความรู้สึกนี้มันถึงได้แปลกประหลาดขนาดนี้นะ?