ตอนที่ 20 - 4 คนที่เจ้าคลำคือข้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

นางกำลังจะถาม แต่ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าแว่วมา หมอมาแล้ว จิ่งเหิงปัวสะบัดมือเพียงครั้ง ถ้วยชาบนโต๊ะลอยขึ้นกะทันหัน ค้างอยู่บนศีรษะของฮูหยินเหยาท่ามกลางแววตาหวาดผวาของนาง 

 

 

“ประเดี๋ยวถ้าหากเจ้าเอ่ยอะไรผิดหรือทำอะไรผิด สิ่งที่ลอยอยู่บนศีรษะเจ้าจะเป็นมีดนะ!” 

 

 

กล่าวจบนางก็หัวเราะฮิๆ ตัดเชือกให้ฮูหยินเหยาแล้วผลักนางไปข้างนอก เรือนร่างหันหลังซ่อนอยู่หลังม่านกั้น 

 

 

แววตาของฮูหยินเหยาจ้องมองเรือนร่างนางเขม็ง หลงลืมแม้กระทั่งภัยคุกคาม ลอกเลียนท่วงท่าอรชรอ้อนแอ้นของนางโดยสำนึก และเยื้องกรายยืนขึ้นต้อนรับหมอท่านนั้น 

 

 

จิ่งเหิงปัวซ่อนอยู่หลังม่านกั้น คอยฟังการเคลื่อนไหวของทางนั้น ตัวฮูหยินเหยาเองมีจุดอ่อนอยู่แล้ว ดูเหมือนไม่อยากให้เรื่องราวแพร่งพราย นางเอ่ยกับหมอท่านนั้นว่าตนเองมาต่างถิ่นบังเอิญพบลูกพี่ลูกน้องผู้เป็นญาติห่างๆ ลูกพี่ลูกน้องได้รับบาดเจ็บจึงเชิญหมอมารักษาบาดแผล 

 

 

หมอท่านนั้นไม่ได้เอ่ยอะไรเช่นกัน เขาพันแผลทายาให้เหยียลี่ว์ฉี ยามที่จากไปยังเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ฮูหยินควรทะนุถนอมเรือนร่างเสียหน่อย คบค้าสมาคมเช่นนี้มากเกินไปจะไม่เอื้อต่อการบำรุงรักษาความงามของท่านนะ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวแทบจะหลุดหัวเราะอยู่หลังม่านกั้นนั้น…หึงหวงอย่างแรง! 

 

 

ดูท่าทางฮูหยินเหยาคนนี้ไม่ยอมอ้างว้างเหลือเกิน สามีอยู่ข้างหน้าโอบกอดโฉมสะคราญ นางอยู่ข้างหลังเที่ยวคบชู้สู่ชาย คนรู้จักคนแปลกหน้าเป็นแขกหลังม่านได้ทั้งนั้น 

 

 

หลังจากหมอจากไปแล้ว เมื่อนางออกมาก็เห็นว่าสีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีคล้ายดีขึ้นเล็กน้อย จึงรู้สึกโล่งใจ คิดอยู่ว่ารอให้เขาฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยออกเดินทาง ซ้ำยังต้องรีบไปหุบเขาเทียนฮุยหายาถอนพิษให้เขา คราวนี้ต้องติดต่อพวกเจ็ดสังหาร 

 

 

นางกังวลเรื่องลูกหลานตระกูลขุนนางของตี้เกอก่อนหน้านี้ จึงโพล่งปากถามว่า “ลูกหลานตระกูลขุนนางที่ส่งสาวงามให้ผู้นำเผ่าของพวกเจ้าคือผู้ใดกัน” 

 

 

สีหน้าของฮูหยินเหยาทั้งโกรธแค้นทั้งตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “เซวียนหยวนเหว่ยบุตรชายคนโตของเซวียนหยวนจิ้ง” 

 

 

จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาทันที 

 

 

… 

 

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา จิ่งเหิงปัวอยู่ในห้องลับของฮูหยินเหยา พลิกอ่านเอกสารหนาหนักปึกหนึ่ง 

 

 

เอกสารเป็นเอกสารลับเฉพาะของเผ่าหวงจิน จัดเรียงแผนการหุบเขาเทียนฮุยนั่นเอง ประกอบด้วยเผ่าหวงจิน ตระกูลขุนนางเซวียนหยวน ตระกูลขุนนางเหยียลี่ว์และเฟยหลัวที่มีความสามารถในการควบคุมสัตว์ วางแผนดำเนินการสำรวจหุบเขาเทียนฮุยระดับลึกครั้งหนึ่ง เอกสารเป็นสัญญาของหลายตระกูล กล่าวถึงการตระเตรียมก่อนสำรวจและการแบ่งส่วนหลังเสร็จสิ้น รวมทั้งแผนการปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม 

 

 

เอกสารนี้เป็นสิ่งที่จิ่งเหิงปัวใช้การแสดงและการแลกเปลี่ยนทักษะการแต่งหน้าชุดหนึ่ง รวมทั้งการคุกคามพอเหมาะแลกมาได้ 

 

 

ฮูหยินเหยานั่งอยู่ตรงหน้านาง เอ่ยอย่างลำพองใจไม่สิ้นสุดว่า “ตาเฒ่าให้ข้าเก็บรักษาของทุกสิ่ง พอหลงรักนังสารเลวนั่นจึงเอาคืนไปอีกครั้ง ทว่าข้าได้คัดลอกทุกสิ่งไว้ฉบับหนึ่ง เหอะๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้ารู้หนังสือ มิฉะนั้นจะยอมมอบสิ่งของให้ข้าได้อย่างไร” 

 

 

นางมีสีหน้าลำพองใจ ทว่าในแววตาอ้างว้างลึกล้ำ บุรุษผู้กุมอำนาจสำคัญส่วนใหญ่ใจจืดใจดำ ร่วมเรียงเคียงหมอนมานานหลายปีขนาดนั้น พร่ำเอ่ยว่ารักใคร่มอบรางวัลให้จนสิ้น ทว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางรู้หนังสือ 

 

 

สิ่งที่รักคือบุคคลหรือกายเนื้องดงามนั่นกันแน่ วัยเยาว์แสนสั้น นางเข้าใจถึงเพียงนี้ ฉะนั้นนางยอมใช้ข่าวสารที่แสนล้ำค่านี้แลกมาซึ่งทักษะการประทินโฉมใหม่เอี่ยมชุดหนึ่งของจิ่งเหิงปัว 

 

 

คงไว้ซึ่งความงดงามเท่ากับคงไว้ซึ่งความรักใคร่ คงไว้ซึ่งความรักใคร่เท่ากับคงไว้ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง นางเข้าใจแจ่มแจ้ง 

 

 

คัดลอกข่าวสารไว้เพื่อของหายากควรสะสมอยู่แล้ว ขายในราคาเหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม 

 

 

นางมองดูสตรีที่ตั้งใจอ่านเอกสารเบื้องหน้าด้วยความอิจฉา อย่าเพิ่งเอ่ยถึงความงดงามที่พบเห็นได้น้อย สิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่าคือลักษณะท่าทางเยือกเย็นเลือนราง สีหน้าเงียบสงบยามที่นางหลุบตาอ่านเอกสารภายใต้แสงไฟพาให้นึกถึงความสง่างามเคร่งขรึมของผู้สูงศักดิ์ ส่วนนิ้วมือเรียวยาวที่คลี่เอกสารอย่างแผ่วเบาของนางนั้นถูกแสงหิมะส่องสะท้อนผุดเผยท่วงท่าสุขุม 

 

 

สตรีเช่นนี้ให้สตรีที่ผ่านประสบการณ์โชกโชนเฉกเช่นนางมองเพียงปราดเดียวย่อมรู้ว่านางกับพวกนางแตกต่างกัน 

 

 

จิ่งเหิงปัวเปิดออกหนึ่งหน้า สายตาพลันจ้องเขม็ง 

 

 

รายชื่อบนแผนการฉบับนั้นมีรายชื่อของทหารคั่งหลงปรากฏอยู่ด้วย! 

 

 

ทหารระดับหัวกะทิของค่ายเจ็ดสีแห่งคั่งหลงจะเข้าร่วมปฏิบัติการหุบเขาเทียนฮุย! พร้อมทั้งโยกย้ายนายกองบรรดาศักดิ์กลุ่มหนึ่งเป็นความลับ! 

 

 

นายกองบรรดาศักดิ์คือตำแหน่งพิเศษทางทหารชนิดหนึ่งของทหารคั่งหลง ตำแหน่งกึ่งแท้จริงกึ่งเกียรติยศ โดยทั่วไปเป็นการตกรางวัลนักรบที่แสดงความสามารถโดดเด่นเป็นพิเศษในสงคราม สังหารศัตรูมากกว่าร้อยคนในการสู้รบครั้งหนึ่งหรือสังหารหัวหน้าศัตรู บรรดาศักดิ์ เช่น ห้าวหาญเด็ดเดี่ยว องอาจหาญกล้า เผด็จศึกราบคาบ ซื่อสัตย์อาจหาญ เป็นต้น คนพวกนี้คือทหารระดับหัวกะทิและพละกำลังส่วนสำคัญของคั่งหลง แต่ละคนองอาจห้าวหาญ เป็นแบบอย่างของทหารทุกหมู่เหล่า ขอแค่ไม่สิ้นชีพกลางสนามรบเสียก่อน อนาคตแทบจะได้เป็นขุนพลทุกคน 

 

 

ทหารคั่งหลงเข้าร่วมแผนการครั้งนี้ด้วยเหรอ? ซ้ำยังส่งระดับหัวกะทิออกมามากขนาดนั้น? กงอิ้นรู้เรื่องนี้หรือเปล่า? แล้วเฉิงกูมั่วคิดอย่างไร? อ้างตามเอกสารแผนการแล้ว ทหารระดับหัวกะทิกลุ่มนี้ของคั่งหลงรับหน้าที่แสนอันตรายในการเข้าหุบเขาค้นหาเส้นทางปลอดภัยเป็นกลุ่มแรก เฉิงกูมั่วจะใช้พละกำลังระดับหัวกะทิของทหารคั่งหลงบุกเบิกเส้นทางให้คนอื่นได้อย่างไร? 

 

 

ใช้นิ้วมือคิดยังเดาได้ว่าข้างในต้องมีอะไรซ่อนอยู่! 

 

 

ค่ายเจ็ดสีอีกด้วย! 

 

 

สายตาของจิ่งเหิงปัวเย็นเยียบ 

 

 

ทหารที่เคลื่อนพลประชิดประตูวัง ห้าคนนั้นที่ฆ่าตัวตายทัดทานเรียกร้องให้กงอิ้นจัดการนาง ทหารที่ผลักดันความขัดแย้งสู่จุดสูงสุดตอนนั้นคือค่ายเจ็ดสีนั่นเอง 

 

 

คืนนั้นค่ายคั่งหลงล่มสลายเพราะว่าค่ายเจ็ดสีคอยส่งเสริมแต่แรกเช่นกัน 

 

 

เหอะๆ ได้พบหน้ากันจนได้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวอาศัยแสงไฟอ่านสัญญาที่ลงนามประทับตราหลายฉบับนั้นโดยละเอียด มองไม่เห็นรายชื่ออะไร ได้ยินบนเตียงเกิดการเคลื่อนไหวเล็กน้อยกะทันหัน พอหันหน้ามองเห็นเหยียลี่ว์ฉีฟื้นแล้ว เห็นเขากำลังจ้องมองนางอย่างเงียบเชียบ 

 

 

ท่าทางเขาดูอ่อนเพลียเล็กน้อย ทว่าสายตายังคงสดใส เจือด้วยความปีติยินดีเลือนราง 

 

 

เมื่อพลิกฟื้นขึ้นมาจากการสลบไสลระหว่างความเป็นความตาย ได้มองเห็นนางผู้สุขุมเงียบสงบใต้แสงตะเกียงเป็นปราดแรก นับเป็นเรื่องที่พาให้อบอุ่นชื่นใจเรื่องหนึ่งโดยแท้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มให้เขา ชูสัญญาในมือขึ้น 

 

 

นางไม่คิดจะปิดบังเขา แค่วางแผนจะไปหุบเขาเทียนฮุยด้วยกันคงไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้ว ไม่ซื่อสัตย์ต่อเพื่อนร่วมกลุ่มบนเส้นทางแห่งความเป็นความตาย สุดท้ายรังแต่จะทำร้ายตนเอง 

 

 

“ดูสิว่ามีอะไรซ่อนอยู่?” 

 

 

พอเหยียลี่ว์ฉีได้เห็นสัญญาพลันยิ้มแย้ม 

 

 

“ฉบับนี้ของเฉิงกูมั่ว สีหมึกแตกต่างเล็กน้อย” เขาเอ่ยว่า “มีผงปะการังทะเลหรือไม่ หากไม่มีใช้ผงปะการังธรรมดาได้เช่นกัน” 

 

 

ได้ผงปะการังมาแล้ว เหยียลี่ว์ฉีอ่านสัญญารอบหนึ่ง โรยผงบนพื้นที่ว่างเปล่าหลายแห่งแล้วนำไปลนไฟ พลันปรากฏอักษรขึ้นมา 

 

 

พออักษรเหล่านี้ปรากฏแล้วแทบจะกำจัดความกำกวมของสัญญาทั้งฉบับ เพิ่มหน้าที่ของทหารคั่งหลงให้มากขึ้นและอันตรายขึ้น ทว่าผลประโยชน์ลดลง พออ่านแล้วกลายเป็นสัญญาที่ไม่เสมอภาคโดยสิ้นเชิงจนแทบเรียกได้ว่าทรยศกันฉบับหนึ่ง 

 

 

“ผงปะการังทะเลซ่อนรอยอักษร ทว่าน้ำมันฉลามจากบึงโคลนแดนตะวันตกทำให้รอยอักษรหายไปหลังจากผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ยามทุกคนลงนามในสัญญาคนละหนึ่งฉบับ เฉิงกูมั่วคงขออ่านทุกฉบับเป็นแน่ ฉะนั้นสัญญาของคนที่เหลือจึงใช้ผงปะการังซ่อนสาระสำคัญไว้ ส่วนฉบับนั้นในมือเฉิงกูมั่วคงผสมน้ำมันฉลามไว้เป็นแน่ พอถึงยามหยิบออกมาเป็นหลักฐานย่อมเป็นเพียงกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง” 

 

 

“ทหารคั่งหลงถูกลอบทำร้ายแล้ว” มุมปากของจิ่งเหิงปัวเชิดขึ้น 

 

 

“ดีใจนักหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีหยอกล้อนาง 

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่โต้ตอบ สายตาวูบไหว มองแล้วรู้เลยว่าหวังใช้วิธีการสกปรก เหยียลี่ว์ฉีชื่นชอบมองท่าทางเจ้าเล่ห์ของนางเหลือเกิน ยิ้มแย้มเก็บสัญญาไว้ 

 

 

จากนั้นรอยยิ้มของเขาพลันเยือกแข็งแล้ว 

 

 

ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวเอ่ยกับฮูหยินเหยาว่า “เจ้าเอ่ยว่าคุณชายใหญ่ของเซวียนหยวนจิ้งเป็นผู้เสนอคนรักใหม่ให้ผู้นำเผ่า? เจ้าเอ่ยว่าพรุ่งนี้ผู้นำเผ่าจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายใหญ่เซวียนหยวน? เจ้าเอ่ยว่าเซวียนหยวนจิ้งอาจจะมาร่วมด้วย? เช่นนั้นดีเลย เจ้าจัดการสักหน่อย ข้าจะร่ายรำแด่คุณชายเซวียนหยวน”