“เจ้าไม่ไปแสดงระบำได้หรือไม่”
“ไม่ได้ ข้าคันเท้า”
“พิษของเจ้าอาจกำเริบได้ทุกเวลา หากกำเริบขึ้นมาจะทำอย่างไร? ทั่วห้องโถงเป็นศัตรูทั้งนั้น เจ้าหนีไม่พ้นด้วยซ้ำ เด็กดี เจ้าอยู่นิ่งไว้ก่อน ข้ารับปากเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเซวียนหยวนใหญ่หรือเซวียนหยวนรอง ไอ้เด็กเวรของตระกูลเซวียนหยวน ช้าเร็วข้าจะช่วยเจ้าสังหารทิ้งจนสิ้นตกลงหรือไม่?”
“ประเดี๋ยวข้าย่อมสังหารด้วยตนเองได้ เซวียนหยวนใหญ่หรือเซวียนหยวนรอง ทุกคนจงมาเป็นเหยื่อของข้า”
“เฮ้อ…หิวหรือยัง ข้าจะต้มก๋วยเตี๋ยวให้เจ้ากิน?”
“อืม”
หลังจากวาจาสนทนาไร้สาระคือความเงียบสงบหนึ่งระลอก น้ำมันกับหม้อกระทบกันดังฉ่า กลิ่นหอมเผ็ดร้อนสดชื่นอบอวลทั่วห้อง
ฮูหยินเหยานั่งอึ้งเอ่ยไม่ออกอยู่ด้านข้าง มองโจรหนุ่มสาวแปลกประหลาดคู่นั้น นึกไม่ถึงว่าจะต้มก๋วยเตี๋ยวกินกันในห้องนาง
หลังจากเหยียลี่ว์ฉีฟื้นขึ้นมาแล้ว พยายามโน้มน้าวจิ่งเหิงปัวไม่เป็นผล พลันเรียกร้องให้ฮูหยินเหยาจัดหาวัตถุดิบมาชุดหนึ่ง เอ่ยว่าวันนี้ฉลองปีใหม่แล้ว เขาจะทำอาหารค่ำก่อนปีใหม่ให้จิ่งเหิงปัวกิน
ฮูหยินเหยารู้สึกประหลาดใจยิ่งนักที่ยามนี้เขายังนึกถึงอาหารค่ำก่อนปีใหม่ได้ น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือจิ่งเหิงปัวปรบมือเห็นด้วย โวยวายให้เขาเข้าครัว
จิตใจของคนเหล่านี้ทำจากเหล็กหรืออย่างไร? ถกเถียงเรื่องทำร้ายผู้อื่นไปพลางทำอาหารไปพลางน่ะหรือ?
ฮูหยินเหยายิ่งรู้สึกว่าชายหญิงคู่นี้ล่วงเกินไม่ได้ พวกเขามันวิปริตทั้งนั้น
แน่นอนว่านางไม่กล้าล่วงเกินอยู่แล้ว ด้วยเพราะหลังจากเหยียลี่ว์ฉีฟื้นขึ้นมา เขาบังคับให้นางกินยาเม็ดหนึ่งเข้าไป ยามนี้ชีวิตของนางกับสาวใช้อยู่ในเงื้อมมือของสองคนนี้
น้ำแกงกระดูกวัวท่วมท้นด้วยเงาน้ำมันขาวราวหิมะ ฟองน้ำมันพริกเข้มข้นหนึ่งชั้นเดือดพล่าน เส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียวนุ่มขาวราวหิมะพลิ้วสยายกลางน้ำแกงปานเส้นไหม หลังลวกน้ำเดือดแล้ว เทลงน้ำแกงเย็นที่ตักขึ้นพักไว้ทางหนึ่งยามก่อนหน้าเพื่อลดอุณหภูมิ ทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวหดตัวเหนียวนุ่มยิ่งขึ้น หลังลวกเช่นนี้สามรอบก็ช้อนเส้นก๋วยเตี๋ยวลงชามลายครามใบใหญ่ ราดด้วยน้ำแกงร้อนผ่าวเข้มข้น โรยต้นหอมซอยราดน้ำมันพริก วางเนื้อเติงอิ่ง[1]ที่แล่จนบางโปร่งซ้อนกันเป็นระเบียบ กลิ่นหอมพุ่งสู่ปลายจมูกด้วยพลังแทรกซึมขั้นสูง ดวงตาของหลายคนในห้องพลันเปล่งประกาย
ชามแรกย่อมให้จิ่งเหิงปัวอยู่แล้ว นางหิวโหยมานาน ก้มหน้าก้มตาตั้งใจกินเสียงดังจ๊อบแจ๊บ
“หอม! ฝีมือดี! เหยียลี่ว์ฉีหากเจ้าสิ้นหวังท้อแท้แล้ว ขายก๋วยเตี๋ยวย่อมเลี้ยงชีพตนเองได้!” ชามใหญ่เท่าใบหน้านั้น เพียงแวบเดียวจิ่งเหิงปัวก็จัดการไปเสียครึ่งชาม กล่าวขึ้นว่า “เป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่โต ฝีมือการทําอาหารล้ำเลิศเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?”
“ท่านพี่สอนข้า นางเคยเอ่ยวาจาเหล่านั้นเฉกเช่นเจ้าด้วย” เหยียลี่ว์ฉีไม่ยอมต้มก๋วยเตี๋ยวให้ฮูหยินเหยา โบกมือบอกใบ้ให้นางต้มกินด้วยตนเอง เขาบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายเป็นปกติ ไม่กินอาหารเจือเนื้อสัตว์ เพียงนั่งพิงบนเครื่องนอน มองดูจิ่งเหิงปัวกินก๋วยเตี๋ยวอย่างอ่อนเพลียเล็กน้อย เห็นบนหน้าผากจิ่งเหิงปัวมีเหงื่อร้อนแวววาวซึมออกมาจึงใช้ผ้าเช็ดเหงื่อให้นางอย่างแผ่วเบา
“ไม่รู้สึกว่าขายก๋วยเตี๋ยวน่าอายหรือ?” จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างยิ้มแย้มปรีดา
“หากทำงานลำบากได้ ย่อมกระทำเรื่องทุกอย่างได้” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มอย่างเกียจคร้าน เอ่ยสืบต่อไปว่า “อีกทั้งข้าเองก็ไม่นับว่าเป็นคุณชายตระกูลใหญ่โตที่แท้จริง”
“โอ้?”
“ข้าเป็นบุตรบุญธรรม” เหยียลี่ว์ฉีโบกมือให้ฮูหยินเหยาถอยไป จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “มีเพียงท่านพี่สวินหรูถึงจะเป็นคนตระกูลเหยียลี่ว์ที่แท้จริง”
จิ่งเหิงปัวรู้แจ้งในทันที เข้าใจจนได้ว่าเหตุใดตระกูลเหยียลี่ว์ถึงได้โหดร้ายกับเหยียลี่ว์ฉีเพียงนี้ แต่ในทางกลับกัน ตระกูลเหยียลี่ว์ก็ไม่ได้ใจดีกับเหยียลี่ว์สวินหรูมากเท่าไรเช่นกัน
“คนที่ตระกูลเหยียลี่ว์บ่มเพาะอย่างแท้จริงคือคุณชายใหญ่เหยียลี่ว์หยาง คนที่ตระกูลเหยียลี่ว์มุ่งหวังอย่างแท้จริงคือคุณชายสามเหยียลี่ว์ถาน” เหยียลี่ว์ฉียิ้มบางครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เหยียลี่ว์หยางเป็นบุตรชายของภรรยาเอกที่มีฐานะสูงส่งที่สุดของตระกูลเหยียลี่ว์ เอ่ยกันตามจริงแล้วตำแหน่งราชครูจะต้องเป็นของเขา ทว่ายามที่อายุสิบขวบเขาป่วยเป็นโรคประหลาด จนถึงบัดนี้ยังรักษาไม่หาย ฉะนั้นต้องรอให้คุณชายสามสำเร็จวิชาจากนิกายสวรรค์จิ่วฉงแล้วค้นพบวิธีรักษาเขา รักษาโรคจนหายก่อนค่อยเข้าสู่สนามการเมือง ด้วยเหตุนี้เองยามตระกูลเหยียลี่ว์ถกเถียงกันว่าผู้ใดจะเป็นราชครูฝ่ายซ้ายนั้น ยามแรกเริ่มทุกคนแย่งชิงกันดุเดือดนัก แทบจะกลายเป็นเหตุการณ์นองเลือด ภายหลังเหล่าผู้อาวุโสถึงเอ่ยว่าเพียงเป็นราชครูแทนคุณชายใหญ่ชั่วคราว รอให้คุณชายใหญ่หายดีแล้วค่อยคืนให้คุณชายใหญ่ จากนั้นจึงไร้คนแย่งชิงโดยพลัน เจ้าคงรู้ว่าการที่ต้องมุ่งมั่นรักษาตำแหน่งของตระกูล ต้องรับมือกับอำนาจทุกชนิดในตี้เกอ ต้องเป็นคู่ต่อสู้กับศัตรูแข็งแกร่งเฉกเช่นกงอิ้น คงเป็นเรื่องยากลำบากที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมาย เมื่อจ่ายค่าตอบแทนมากขนาดนั้นแล้ว หลังจากนั้นก็สร้างผลงานแล้วค่อยมอบให้เหยียลี่ว์หยาง แล้วผู้ใดจะยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานแทนผู้อื่น?”
จิ่งเหิงปัวพยักหน้า ในใจคิดว่าเป็นความจริง ดำรงตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้ายไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งระดับความยากยังมากกว่าตำแหน่งของกงอิ้น ต้องควบคุมความสมดุลมากมาย ซ้ำยังต้องปกป้องตนเอง มิน่าเล่าตอนอยู่ตี้เกอเหยียลี่ว์ฉีถึงลงมือเหลือทางหนีทีไล่ไว้สามส่วนเสมอ ท่าทางเหมือนไม่ได้ทุ่มเทสุดกำลัง เห็นได้ชัดว่าหากทุ่มเทช่วงชิงอำนาจทางการเมืองสุดกำลัง อีกเดี๋ยวจะต้องถอยให้เหยียลี่ว์หยาง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นการเสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพล เขาได้แต่ลงมือเพียงครึ่งเดียว รักษาสภาพการณ์ให้สมดุลตั้งแต่เริ่มต้นจนจบถึงจะรับรองได้ว่าตนเองจะอยู่รอดนานขึ้นอีกหน่อย
รักษาความสมดุลแบบนี้ภายใต้มหาอำนาจทางการเมืองแบบกงอิ้นนั้น ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ คนธรรมดาย่อมทำไม่ได้
แต่ก่อนนางยังรู้สึกว่าเหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกงอิ้นแน่นอน เขาเป็นรองทุกเรื่อง ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกว่าเขาอาจเป็นคู่ต่อสู้ได้ เจ้าคนนี้ซ่อนความสามารถอยู่ตลอดเวลา ตั้งใจยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?
“แม้เอ่ยว่าไร้คนแย่งชิงแล้ว แต่ยังคงยากจะกำหนด” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยสืบต่อว่า “เหล่าผู้อาวุโสยังกังวลว่าหากเลือกลูกหลานสายแขนงที่มีรากฐานมั่นคงคนใดไปเป็นราชครู เขาจะแอบหล่อเลี้ยงอำนาจ ภายภาคหน้าไม่ยอมคืนตำแหน่ง ซ้ำยังยากต่อการควบคุมจะทำอย่างไร? เลือกไปเลือกมา สุดท้ายแล้วเรื่องดีงามเช่นนี้ก็ร่วงหล่นลงบนศีรษะข้า”
จิ่งเหิงปัวเห็นด้วยอย่างยิ่ง…ไม่เลือกเขาแล้วจะเลือกใคร? เหยียลี่ว์ฉีเป็นลูกบุญธรรม พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว เหลือญาติสายตรงของตระกูลเหยียลี่ว์แค่คนเดียว ซ้ำยังเป็นพี่สาวตาบอด อำนาจอ่อนแอ ไร้คนประคับประคอง ซ้ำยังไร้คนให้มุ่งหน้าพึ่งพาอาศัย แม้เป็นราชครูสักร้อยปี ยามเรื่องราวเร่งด่วนยังต้องส่งมอบตำแหน่งอย่างเชื่อฟัง เขาเป็นลูกบุญธรรม มอบอำนาจทางการเมืองคืนให้ญาติสายตรงนั้นก็สอดคล้องหลักทำนองคลองธรรม ย่อมไม่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และการถกเถียงแม้เพียงน้อย อีกทั้งพี่สาวตาบอดเพียงคนเดียวนั่นจะกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมเขาไว้ ไม่มีแผนการไหนที่ยอดเยี่ยมไปมากกว่านี้อีกแล้วจริงๆ
พอคิดแบบนี้แล้ว ในใจก็เกิดความปวดร้าวขึ้นบางส่วนอย่างกะทันหัน ขณะนั้นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนนั้นเข้ารับตำแหน่งราชครูซึ่งเป็นตำแหน่งสูงส่งทรงเกียรติท่ามกลางแววตาอิจฉาด้วยเพราะไม่เข้าใจเหตุผลของคนนอก ในใจน่าจะซุกซ่อนความโศกเศร้าและความจำใจอย่างไรไว้?
นางซ่อนใบหน้าด้วยชามก๋วยเตี๋ยวร้อนผะผ่าว กลบกลืนกระแสน้ำกลางแววตากับเสียงถอนหายใจนั้น
เหยียลี่ว์ฉีกลับนึกว่านางกินไม่อิ่ม ชะโงกหน้ามามองชามของนาง เอ่ยว่า “ไม่พอหรือ? ข้าทำให้เจ้าอีกชามดีหรือไม่”
จิ่งเหิงปัวเอื้อมมือผลักเขา ร้องว่า “พอแล้วๆ”
เขาเพิ่งพันแผลเสร็จ คอเสื้อหลุดลุ่ยเล็กน้อย มือของนางแนบตรงหน้าอกใต้ลำคอเขาพอดี ชั่วพริบตาหนึ่งเขารู้สึกเพียงว่าฝ่ามือนางอ่อนนุ่มเกลี้ยงเกลา นวลเนียนดุจปุยเมฆ ยั่วเย้าตรงดวงใจ ทว่านางรู้สึกว่าผิวกายเขาร้อนผ่าว เนื้อแน่นเกลี้ยงเกลาดั่งแพรต่วนที่ผิงเตาไฟจนอบอุ่น ลื่นไถลผ่านใต้ฝ่ามือ
นางรีบชักมือกลับแล้วหันหน้าไปอีกทาง กระถางไฟสะท้อนบนแก้มนาง แดงซ่านเล็กน้อย แวววาวดุจปะการัง
เขาเศร้าสร้อยดุจหลงลืมบางสิ่ง สามส่วนใต้ลำคอคล้ายยังเวียนวนด้วยไออุ่นหอมหวน
ภายในห้องพลันเงียบสงบยิ่งนัก เงียบสงบจนเกิดความอึดอัดอยู่หลายส่วน นางรีบคิดหาหัวข้อบางอย่างมาสนทนา แต่พอกล่าวออกมารู้สึกวังเวง เสียงกระทบบนกำแพงคล้ายสะท้อนก้อง
“เซวียนหยวนจิ้งส่งคุณชายใหญ่เซวียนหยวนเหว่ยที่เขาแสนรักใคร่มาติดต่อเรื่องนี้กับผู้นำเผ่าหวงจิน เซวียนหยวนเหว่ยมอบสาวงามให้ผู้นำเผ่า ถูกผู้นำเผ่ายกย่องเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ทว่ายังมีเรื่องบังเอิญ เจ้าจะทายสักหน่อยหรือไม่?”
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างแข็งกระด้างเล็กน้อย ทว่าเหยียลี่ว์ฉีขานรับอย่างเป็นธรรมชาตินัก
“คนรักที่ฮูหยินเหยานัดพบเมื่อคืนนี้เป็นคุณชายตระกูลเซวียนหยวนคนหนึ่งด้วยใช่หรือไม่”
“เรื่องนี้เจ้าก็เดาออกด้วย?” จิ่งเหิงปัวเบิกตาโตอย่างตกใจ กล่าวว่า “สติปัญญาน่าเกลียดชัง!”
เขายิ้มแย้มไม่เอ่ยวาจา ผมสีดำสยายบนหัวไหล่อย่างนุ่มนวล สายตาแพรวพราว
“เรื่องธรรมดา” เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เหล่าคุณชายตระกูลเซวียนหยวนแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์จนแทบเสียสติเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วตี้เกอ ทว่าหากเป็นเรื่องที่พี่ใหญ่เซวียนหยวนเหว่ยเข้าร่วม น้องรองเซวียนหยวนฉี่ต้องเอาด้วยเป็นแน่ ในเมื่อพี่ใหญ่ถูกส่งมาติดต่อเรื่องสำคัญขนาดนี้กับผู้นำเผ่าหวงจิน หากสำเร็จเสร็จสิ้นตำแหน่งในตระกูลย่อมสูงขึ้น ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจเป็นการตั้งใจจัดเตรียมให้บุตรชายคนโตรับตำแหน่งผู้นำตระกูลได้สะดวกของเซวียนหยวนจิ้ง เซวียนหยวนฉี่จะยอมได้อย่างไร? อีกทั้งเจ้าผู้นี้เป็นพวกเจ้าชู้เลื่องลือทั่วตี้เกอ เกิดมาหน้าตาหล่อเหลา เขาเริ่มลงมือจากทางอนุภรรยาของผู้นำเผ่า ลักลอบเป็นชายชู้ ฉวยโอกาสลอบเข้ากองทัพหุบเขาเทียนฮุยด้วย…ถูกต้องหรือไม่?”
“บางครั้งข้าก็นึกอิจฉาริษยาและรังเกียจสติปัญญาของพวกเจ้าโดยแท้…” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ
พอประโยคนี้ออกจากปาก เรือนร่างของนางก็แข็งทื่อ แววตาเหยียลี่ว์ฉีกะพริบวูบ
พวกเจ้า
ภายในจิตใต้สำนึก คนคนนั้นที่ลืมไม่ได้ตลอดกาล ไม่ว่าคิดจะหลีกเลี่ยงอย่างไรก็มักจะพลั้งปากโดยธรรมชาติเสมอ
ความทรงจำบางอย่างฝังรากลึก แม้แต่มีดยังขุดคุ้ยออกมาไม่ได้
เป็นความอึดอัดอีกพริบตาหนึ่ง จากนั้นเขาก็รับชามของนางมาอย่างสุขุมนัก ซ้ำยังฉวยมือเช็ดน้ำแกงข้างริมฝีปากให้นาง ลากรถเข็นน้อยที่มีล้อคันหนึ่งมาจากอีกฝั่งหนึ่ง ข้างบนนั้นคืออ่างเงินปิดฝาหลายใบ
นี่คือวัตถุดิบที่เหยียลี่ว์ฉีมอบหมายให้ฮูหยินเหยาหามาจากห้องครัว เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออาหารส่งท้ายปีเก่าล่วงหน้า นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นของจำพวกไส้เกี๊ยวหลายชนิด แป้งเกี๊ยวสำเร็จรูป ต้นหอมซอยและเครื่องเคียง
เขาจะห่อเกี๊ยวเหรอ?
นี่มันปล่อยอารมณ์ตามสบายเกินไปแล้วมั้ง?
จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าแปลกใจหรือดีใจไปชั่วขณะ
นางถึงขนาดเหม่อลอยเล็กน้อย
พอมองเห็นเกี๊ยวถึงค้นพบความรู้สึกของปีใหม่อย่างลึกซึ้ง แม้ขณะนี้จะมีโคมไฟสีแดงสดที่ห้อยใต้ชายคาระเบียง ประดับอักษรสิริมงคลทั่วเส้นทาง แต่สำหรับนางแล้ว ที่นี่เป็นบ้านของคนอื่น ปีใหม่ของคนอื่น นางยืมจมูกคนอื่นหายใจ ซ้ำยังต้องพเนจรดิ้นรน
จนกระทั่งตอนนี้เอง มีคนคนหนึ่งก็ตั้งใจห่อเกี๊ยวให้นาง
สำหรับนางแล้ว เกี๊ยวเท่ากับปีใหม่เลยนะ…วันเวลาตอนอยู่สถาบันวิจัยเหล่านั้น ปกติแล้วจะกินข้าวโรงอาหารทุกมื้อ ช่วงฉลองปีใหม่ เค้กน้อยจะใจดีเป็นพิเศษ ยกอาหารส่งท้ายปีเก่ามาให้เต็มโต๊ะ ทุกครั้งพวกนางกินกันไม่ยอมเลิกรา ทุกครั้งที่ฉลองปีใหม่นางกับไท่สื่อหลันต้องทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงอาหาร แต่ทุกครั้งพอได้กินเกี๊ยวพวกนางจะเงียบสงบ ภายในหม้อใหญ่ไอร้อนผ่าวมีเกี๊ยวแวววาวขาวราวหิมะลอยล่อง แต่ละตัวไส้แน่นแทบทะลัก เกี๊ยวที่เห็นเป็นสีมรกตสีเหลืองอ่อนคือไส้กุยช่ายไข่ไก่ เกี๊ยวที่เห็นเป็นสีชมพูสีเขียวอ่อนคือไส้กุ้งสามเซียน เกี๊ยวที่เห็นเป็นสีเหลืองสว่างคือไส้ไข่ปูเนื้อหมู ซ้ำยังมีเกี๊ยวไส้ปลาซาวาระขาวบริสุทธิ์และเกี๊ยวไส้ทะเลหลากสีสัน…แต่ละคนมีถ้วยน้ำจิ้มหนึ่งใบ ซอสเปรี้ยวโรยต้นหอมซอย ทั้งสี่คนรวมหัวช้อนเกี๊ยวในหม้อใหญ่ ต่างคนต่างควานหารสชาติที่ตัวเองชอบ…ปีใหม่ที่ผ่านพ้นไปแล้วเหล่านั้น ไอร้อนที่ผนึกแน่นในปีใหม่นั้น ภายในไอร้อนนั่น รสชาติแห่งการอยู่พร้อมหน้ากันที่อิ่มเอิบที่สุดในชีวิต…
[1] เนื้อเติงอิ่ง (灯影牛肉) ทำจากเอ็นขาหลังวัวแล่เป็นแผ่นบางจนมองทะลุวัตถุอื่นเมื่อส่องแสงได้ เนื้อแดงรสเผ็ดกรุบกรอบ