ภาคที่ 2 บทที่ 76 เรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 76 เรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม

จิตของซูเฉินล่องลอยเข้าสู่แดนฝัน

เมื่อเด็กหนุ่มเข้ามายังปราสาทแดนฝันอีกครั้ง เขาที่เพิ่งจะปรากฏตัว ก็ถูกภูติแดนฝันลู่ลู่ปรากฏออกมาต้อนรับข้างตัวเขาในพริบตา

นางกล่าว มือข้างหนึ่งยกเท้าเอว “พวกนี้คืองานของวันนี้”

ม่านแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าซูเฉิน

ซูเฉินรับมันมา ต่างเป็นคำถามที่เกี่ยวกับความรู้ทั้งสิ้น พวกมันไม่ได้ตอบยากมากนัก อีกทั้งรางวัลยังนับว่าสูง

ซูเฉินหัวเราะ ตอบคำถามทั้งหมดแล้วส่งคืนให้ลู่ลู่

ลู่ลู่หัวเราะคิกคัก “เรียบร้อย”

นางวาดมือคราหนึ่ง ลำแสงหนึ่งก็วาบผ่านร่างซูเฉิน

ที่แถวข้อมือปรากฏริ้วสีดำขึ้นสี่ริ้ว เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าตอนนี้เขาเป็นแขกแดนฝันระดับ 4

ระดับสิทธิ์ในแดนฝันนั้นตรงกันข้ามกับระดับเครื่องมือต้นกำเนิด ระดับเครื่องมือต้นกำเนิดเลียนแบบมาจากระดับชั้นยศของเผ่ามนุษย์ ยิ่งเลขน้อยยิ่งเป็นเครื่องมือชั้นดี หากแต่ระดับสิทธิ์แดนฝันนั้นยิ่งเลขมากยิ่งดี

เดิมทีซูเฉินเป็นแขกแดนฝันระดับ 1 แต่พอเวลาผ่านไปก็ยกระดับขึ้นเป็นระดับ 4

การเพิ่มระดับเช่นนี้ไม่อาจดูถูกได้

ภายในแดนฝัน การจะยกระดับขึ้นได้มีค่าใช้จ่ายสูงพอควร

ทว่าที่ซูเฉินเพิ่งถึงระดับ 4 ได้ภายในไม่กี่วัน ไม่ใช่เพราะความพยายามของตน แต่เป็นเพราะความช่วยเหลือจากเมิ่งหลาน

มันเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงของซูเฉินกับเมิ่งหลาน

เมิ่งหลานไม่พอใจนักที่มีคนใช้อำนาจซ่อนประกาศของซูเฉินไว้ เพราะอย่างไรการเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวงออกไปย่อมต้องได้รับผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำอย่างแน่นอน

หากแต่นางไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยได้เพราะต้องทำตามกฎ ดังนั้นนางจึงบอกให้ซูเฉินเพิ่มระดับสิทธิ์ ยิ่งซูเฉินมีระดับสิทธิ์สูงเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็จะต้องจ่ายค่าปิดบังประกาศของเขามากขึ้นเท่านั้น และหากซูเฉินถึงระดับราชันแห่งฝันได้ อีกฝ่ายก็จะไร้หนทางในการปิดบังประกาศของเขาอีกต่อไป

เป็นเพราะเช่นนี้ทั้งสองจึงเริ่มร่วมมือกัน

ทำให้ซูเฉินจำต้องเดินทางไปยังปราสาทแดนฝันทุกฝัน และเมื่อเขามาถึงก็จะมีงานว่าจ้างง่าย ๆ แต่รางวัลสูงรอให้ทำ

งานเหล่านี้เป็นเมิ่งหลานหามาให้ มีเพียงซูเฉินที่สามารถเห็นมันได้ และเพราะเช่นนี้ เขาจึงได้รับละอองฝันมาเป็นจำนวนมาก

หากแต่ละอองฝันเหล่านี้ไม่ได้เป็นของเขา เพราะเมิ่งหลานจะใช้มันเพิ่มระดับสิทธิ์ของเขาในทันใด

มองจากมุมนี้ เมิ่งหลานจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายสิ่งใด และซูเฉินก็ไม่สูญเสียสิ่งใดเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็สามารถเพิ่มระดับสิทธิ์ได้เรื่อย ๆ

โชคร้ายที่หากทั้งคู่ทำอย่างโจ่งแจ้งมากเกินไปก็จะถูกตรวจพบได้ง่าย อาจมีคนส่งคำร้องนางไปยังเจ้าแห่งแดนฝัน ดังนั้นเมิ่งหลานจึงไม่อาจกระทำการอุกอาจ ได้แต่ช่วยให้ซูเฉินยกระดับสิทธิ์ตนเองไปทีละนิดเท่านั้น

“เยี่ยม !” เมื่อเห็นว่าระดับสิทธิ์ของซูเฉินเพิ่มขึ้นอีกครา ลู่ลู่ก็หัวเราะ “จากนี้ไป คนที่ต้องการปิดบังประกาศของเจ้ายิ่งต้องจ่ายเงินมากขึ้น ฮี่ ๆ ข้าหวังว่าเขาจะรามือไปในเร็ว ๆ นี้นะ”

“ต้องมีระดับสิทธิ์ถึงขั้นไหนจึงจะสามารถบีบให้อีกฝ่ายยอมแพ้ไปได้ ?”

“พูดยาก” ลู่ลู่ลูบคางตน “นายหญิงแห่งปราสาทบอกว่ามันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย หากเขามีกำลังสูงส่งมาก ถึงเจ้ามีระดับเจ้าหน้าที่แห่งฝัน เขาก็ยังกดดันเจ้าต่อไปได้ ดังนั้นนางจึงจัดการให้เจ้ายกระดับได้ถึงระดับราชันแห่งฝันอย่างไรเล่า แม้ตอนนี้จะทำได้เพียงทำให้อีกฝ่ายต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เมิ่งหลานก็ยังได้ประโยชน์อยู่ดี”

ลู่ล่พูดไปก็ผงกหัวกลมโตของตนขึ้นลง

ซูเฉินไม่แปลกใจ หากนางไม่ได้ประโยชน์ ไยต้องช่วยเหลือเขา ?

“ถ้าหากข้าสามารถถึงระดับเจ้าหน้าที่แห่งฝันได้เร็วขึ้นเล่า ?” ซูเฉินถาม

ลู่ลู่ส่ายหัว “นายหญิงแห่งปราสาทไม่อาจช่วยเหลือเจ้าเกินขอบเขตอำนาจของนางได้”

“ข้าหมายถึงด้วยตัวของข้าเอง”

“ด้วยตัวเองหรือ ?” ลู่ลู่ยิ่งส่ายหน้า “แบบนั้นยากเกินไป”

“ก็ไม่แน่” ซูเฉินหัวเราะเคาะหน้าผากตน จากนั้นริ้วแสงก็พุ่งเข้าสู่ร่างของลู่ลู่

เมื่อริ้วแสงนั้นส่งเข้าร่างลู่ลู่ไป ร่างนางก็หยุดชะงักค้างไป

พริบตาต่อมา พื้นที่โดยรอบซูเฉินก็เริ่มหมุนวน เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของเมิ่งหลานแล้ว

เมิ่งหลานนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงเบื้องบน

“ซูเฉินทำความเคารพนายหญิงแห่งปราสาท” ซูเฉินป้องมือโค้งตัวทำความเคารพ

“ขอล่ะ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” เมิ่งหลานโบกมือ แผ่นแสงปรากฏขึ้นตรงหน้า จากนั้นตัวอักษรแสงมากมายก็ส่องแสงออกมาจากแผ่นแสงนั้น ข้อความสามอันดับบนสุดในคำว่าเกราะรบเหล็กกล้าระบุอยู่

เมิ่งหลานกล่าว “เจ้าเป็นคนคิดค้นทักษะต้นกำเนิดเกราะรบเหล็กกล้านี้หรือ ?”

“ถูกต้อง !” ซูเฉินตอบ เมื่อครู่เขาเพิ่งมอบวิชาเกราะรบเหล็กกล้าให้ลู่ลู่ไป

“ข้าลองดูเนื้อหาแล้ว นับเป็นทักษะต้นกำเนิดที่น่าประทับใจไม่น้อย สำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับต่ำอาจนับได้ว่าวิชาสัมบูรณ์ แต่เจ้าคิดจะเผยแพร่มันสู่สาธารณะหรือ ?” เมิ่งหลานเกาะลิ้นชื่นชม ดูประหลาดใจไม่น้อย

“ไม่ว่าวิชาสัมบูรณ์จะดีเลิศเพียงใด มันจะเทียบได้กับตำราเปิดพลังไคฮวงหรือ ?” ซูเฉินถาม

“ก็ถูกของเจ้า” เมิ่งหลานหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าเต็มใจจะขายของอย่างตำราเปิดพลังไคฮวงออกสู่สาธารณะ ทั้งยังตั้งราคาแค่ 100 ละอองฝัน ย่อมไม่แปลกที่เจ้าคิดจะขายวิชาเกราะรบเหล็กกล้า แล้วเจ้าคิดจะตั้งราคาเท่าไหร่ ?”

ซูเฉินคิดพักหนึ่งก่อนตอบ “1 พันละอองฝันเป็นอย่างไร ?”

เมิ่งหลานชะงักไป

“อะไร ? ไม่ใช่ราคาที่ดีงั้นหรือ ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม

“เปล่า” เมิ่งหลานหัวเราะ “ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าเจ้าขายตำราเปิดพลังไคฮวงเพียง 100 ละอองฝัน แต่กลับขายเกราะรบเหล็กกล้า 1 พัน”

แท้จริงแล้วการแลก 1 พันละอองฝันกับทักษะต้นกำเนิดเช่นวิชาเกราะรบเหล็กกล้านั้นไม่นับว่ามากมาย เมิ่งหลานเพียงแปลกใจที่ซูเฉินตั้งราคาตำราเปิดพลังไคฮวงไว้เสียต่ำมากกว่า

ยังมีคนที่ยอมจ่ายละอองฝันเป็นแสน ๆ เพื่อให้ได้ทักษะที่ทำให้คนไร้สายเลือดสามารถก้าวถึงด่านกลั่นโลหิตอยู่มาก

และเหตุที่ซูเฉินตั้งราคามันไว้ที่ 100 ละอองฝันย่อมเป็นเพราะเขาต้องการให้มันแพร่ออกไปโดยง่าย

หากต้องการให้มันเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วและไกล เขาจำเป็นต้องตั้งราคาให้ต่ำ เพราะเดิมทีซูเฉินก็ไม่คิดจะหาประโยชน์จากมันมากมายอยู่แล้ว

และด้วยเหตุนี้ เมิ่งหลานจึงมองซูเฉินเป็นคน ‘ยิ่งใหญ่’ และ ‘เสียสละ’ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าซูเฉินคิดจะตั้งราคาเกราะรบเหล็กกล้าที่ 1 พันละอองฝัน จึงทำให้นางชะงักไป

ซูเฉินหัวเราะ “ข้าเข้าใจความสับสนของท่านดี ในสายตาท่าน ผู้ที่แบกความฝันของเผ่ามนุษย์ไว้เพื่อให้ทั้งเผ่าเจริญถึงขีดสุดจำต้องเป็นคนที่เสียสละไร้ความเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ ?”

“แล้วไม่ใช่เช่นนั้นหรือ ?” เมิ่งหลานเอ่ยถาม

“ย่อมไม่ใช่ เพียงแต่คนส่วนมากคิดเห็นเช่นนั้น” ซูเฉินตอบ “ข้าไม่ปฏิเสธว่าข้ามีใจคิดอยากทำให้เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรือง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจำเป็นต้องเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก”

เขามองเมิ่งหลานและกล่าวอย่างจริงใจ “แท้จริงแล้วเรื่องบางอย่างก็ไม่ใช่ว่าต้องคู่กันเสมอไป เหตุใด ‘ข้า’ และ ‘ส่วนรวม’ จึงต้องขัดแย้งกัน ? เหตุใดคนที่มีความฝันยิ่งใหญ่ต้องเสียสละ ? ในฐานะที่ข้าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง อย่างไรก็ไม่อาจไร้เรื่องเห็นแก่ตัวได้ หากในใจไร้ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ ไม่คิดจะทำตามความปรารถนาตนเอง เช่นนั้นยังจะเป็นมนุษย์ได้อีกหรือ ?”

เมิ่งหลานมองเขาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่า……”

“ข้าเต็มใจทุ่มเทแรงกายเพื่อความเจริญของเผ่ามนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าไร้จุดหมายของตนเอง อีกทั้งไม่ใช่ว่าข้าไม่มีความคิดเห็นแก่ตัวใด ๆ ตำราเปิดพลังไคฮวงสามารถทำให้มนุษย์ไร้สายเลือดสามารถก้าวถึงด่านกลั่นโลหิต ทั้งยังสามารถยกระดับพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเผ่ามนุษย์ได้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก ข้าไม่อาจใช้ของเช่นนี้มาเติมเต็มความต้องการส่วนตัวได้ ข้าตั้งราคาไว้ที่ 100 ละอองฝันเพื่อไม่ให้ผู้อื่นมองหมิ่นมันเกินควร และเพื่อให้มีต้นทุนไปพัฒนาในขั้นต่อไป”

“ส่วนวิชาเกราะรบเหล็กกล้าเป็นทักษะต้นกำเนิดที่ข้าสร้างขึ้น ไม่ว่าจะมีมันอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญต่อเผ่ามนุษย์นัก แต่สำหรับข้ามันมีความสำคัญมาก ถึงกระนั้นข้าก็ยังไม่ไร้ความเห็นแก่ตัว เกราะรบเหล็กกล้าที่แท้จริงจำต้องมีทั้งยาและวิชาบ่มเพาะพลังจึงจะสามารถใช้ได้ถึงขั้นสุด แต่ข้านำออกมาขายเพียงตัววิชา ไม่ได้นำยาออกมาขายด้วย”

“หากเป็นเรื่องที่ทำเพื่อส่วนรวมแล้ว ข้าย่อมทุ่มเทให้ทั้งหมด”

“แต่หากเป็นเรื่องที่ข้ายังมีความเห็นแก่ตัว เช่นนั้นข้าก็จะเลือกทางที่ได้รับประโยชน์สูงสุด”

“ข้าไม่สนว่าคนอื่นคิดเช่นไร สำหรับข้า เรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน ข้าสามารถมีทั้งความคิดทะเยอทะยานให้เผ่ามนุษย์ และมีทั้งความคิดเห็นแก่ตัวได้ !”