ตอนที่ 110 อย่ามายุ่งกับฉัน

ยัยจอมกวนป่วนหัวใจนายไอดอล

เหอจยาอวี๋อุ้มซูเสี่ยวมั่วไปห้องพยาบาล  

 

 

เธอฟื้นขึ้นหลังจากหมดสติไปไม่นานและพบว่ากำลังนอนในอยู่อ้อมแขนของเหอจยาอวี๋ แก้มแนบอยู่แทบอกเขา 

 

 

เขาเดินอย่างมั่นคงทั้งๆ ที่มีเธออยู่ในอ้อมแขน สายลมเย็นๆ พัดผ่านกายเขา หญิงสาวแอบสูดลมหายใจ เธอได้กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นจากตัวเขา 

 

 

ซูเสี่ยวมั่วตัดสินใจโดยพลัน หลับตาแล้วแกล้งตายต่อไป!  

 

 

พระเจ้า! เธออยู่ในอ้อมแขนเขา! หัวใจกร้าวแกร่งของเธออ่อนโยนลงก่อนจะเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง!  

 

 

เมื่ออุ้มเธอมาที่ห้องพยาบาลแล้ว เหอจยาอวี๋ก็เล่าอาการให้หมอประจำโรงเรียนฟังพร้อมใบหน้าเคร่งเครียด แพทย์สาวจึงตรวจดูซูเสี่ยวมั่ว แต่ในใจก็นึกสงสัย วันนี้มันเกิดอะไรกันขึ้นนะ ป่วยการเมืองกำลังติดเทรนด์หรือยังไงกัน เด็กพวกนี้คิดว่าเธอไม่มีงานให้ทำเหรอ!  

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม พอเห็นความสุภาพอ่อนโยนของเหอจยาอวี๋แล้ว การบ่นทั้งหมดของเธอก็มลายหายไปทันที เธอยิ้มให้เขาอย่างหยาดเยิ้ม “เอาเป็นว่าหมอจะให้น้ำเกลือกับเธอดีไหม” 

 

 

เหอจยาอวี๋ประหลาดใจหนัก—ทำไมหมอถึงมาถามความเห็นเขาล่ะ 

 

 

ซูเสี่ยวมั่วเลิกแกล้งสลบพลางกระเด้งตัวลุกขึ้นทันทีก่อนจะตะโกน “หนูสบายดีค่ะ! หนูฟื้นแล้ว! หนูฟื้นแล้วจริงๆ!” 

 

 

“ว้าย” คุณหมอสาวตกใจแทบสิ้นสติ จากนั้นก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก “หมอตกใจจริงๆ นะเนี่ย!” 

 

 

เหอจยาอวี๋หรี่ตา เขามองซูเสี่ยวมั่วอย่างค้นหา 

 

 

ซูเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าตาเขาจับจ้องอยู่ที่เธอ จึงฝืนยิ้มระหว่างที่มือก็ลูบกับไปมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ 

 

 

เขาคงจับไม่ได้หรอก ใช่ไหมนะ… แต่การทิ่มเข็มและเสียบสายน้ำเกลือเป็นเพียงอย่างเดียวที่เธอกลัวที่สุดในโลกนี้! 

 

 

เหอจยาอวี๋เลื่อนสายตาที่จับจ้องอยู่นั้นในครู่ต่อมาพลางถอนหายใจ “ดีแล้วที่เธอไม่เป็นอะไร นอนพักที่นี่เถอะ อยากกินอะไรไหม ฉันจะไปซื้อมาให้” 

 

 

ซูเสี่ยวมั่วส่ายหน้าไปมา “ไม่ๆ ไม่เป็นไร เอ้อ และก็ขอโทษด้วย…” 

 

 

เธอเป็นคนฉลาด จึงรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเหอจยาอวี๋เดาเหตุการณ์ทุกอย่างออกแล้ว 

 

 

ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เธอ “ไม่เป็นไร” 

 

 

ถึงแม้จะยิ้ม แต่ซูเสี่ยวมันก็ยังรู้สึกสะท้าน 

 

 

ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าไม่เป็นไรหรอก แต่เขาแค่ไม่ใส่ใจ 

 

 

นั่นทำให้เธอห่อเ**่ยวในทันที คนที่ใจดีที่สุดและอ่อนโยนที่สุดก็สามารถสวมหน้ากากได้ หน้ากากแบบที่ทำให้เขาดูเป็นมิตรกับทุกคน ทว่าจะกันไม่ให้ใครก็ตามก้าวเข้าไปในโลกของเขา 

 

 

– 

 

 

วันต่อมา 

 

 

อันซย่าซย่าฮัมเพลงเบาๆ สะพายกระเป๋าหลังขณะมาถึงโรงเรียนพร้อมกับซูเสี่ยวมั่วและคังเจี้ยน 

 

 

เมื่อเดินเข้าไปในห้องเรียน ทั้งสามก็พบว่าทุกคนกำลังพูดคุยกันเรื่องงานกีฬาสี อันซย่าซย่าถามคนนั้นทีคนนี้ทีจึงรู้ว่างานกีฬาสีในฤดูใบไม้ร่วงของฉีซย่ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว 

 

 

คังเจี้ยนเป็นตัวแทนของชั้นที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องกีฬา เขาเดินแจกแบบฟอร์มไปทั่วห้องเพื่อให้เพื่อนๆ กรอกข้อมูล เมื่อมาถึงตาของอันซย่าซย่า เขาก็ทำหน้าย่น “ซย่าซย่า เธอจะเข้าแข่งอะไรได้บ้างเนี่ย” 

 

 

กับคนอื่นๆ คำถามของเขาคือต้องการจะลงแข่งกีฬาอะไร แต่สำหรับอันซย่าซย่าแล้ว… 

 

 

เนื่องจากพวกเขาเติบโตมาด้วยกัน เขารู้ดีแก่ใจทีเดียวว่าอันซย่าซย่ากับกีฬามันน่าสิ้นหวังขนาดไหน… 

 

 

แต่กลายเป็นว่าอันซย่าซย่าดันมั่นอกมั่นใจอย่างประหลาดเกี่ยวกับความสามารถด้านกีฬาของเธอ หลังจากไล่อ่านแบบฟอร์มแล้ว เธอก็ตบโต๊ะ “ฉันจะลงแข่งทุ่มน้ำหนัก!” 

 

 

เซิ่งอี่เจ๋อมองเธออย่างประหลาดใจขณะที่ฉีเหยียนซีหัวเราะใส่เธออย่างไร้ความปรานี 

 

 

“ด้วยเรี่ยวแรงจิ๋วๆ ของเธอเนี่ยนะ เธอจะทำอะไรเป็นนอกจากกัดคน ทุ่มน้ำหนักเหรอ ชั่งน้ำหนักจะดีกว่ามั้ง!” 

 

 

อันซย่าซย่าเสียใจจึงถลึงตาใส่เขา “คนขี้แพ้! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!” 

 

 

ฉีเหยียนซีพูดไม่ออก ก็เตะโต๊ะเธอเสียงดัง แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรเลย 

 

 

ทุกคนแทบอยากจะชูป้ายรูปอันซย่าซย่าและจุดธูปบูชาให้เลย! 

 

 

ทำไมเธอถึงไม่กลัวเจ้าปีศาจตนนี้นะ 

 

 

“ฮึ! อย่างกับฉันอยากจะคุยกับเธอนักแหละ!” ฉีเหยียนซีเบะปาก 

 

 

อันซย่าซย่าโมโหจนแทบอยากจะทุ่มโต๊ะ “ฉันท้าให้นายลงแข่งทุ่มน้ำหนัก!”