“หนาวเหลือเกิน!”
ยามลมหนาวพัดผ่าน แม่ทัพผู้หนึ่งเอ่ย พลางถูมือแรง
ใกล้สิ้นปีใหม่ ทางตะวันตกเฉียงเหนืออากาศหนาวจัด จนน้ำกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว ห่มผ้าห่มผืนหนา ยังไม่อาจต้านทานลมหนาวที่พัดผ่านสะท้านถึงกระดูกได้
ในฐานะทหารผ่านศึก เขายังรู้สึกหนาวเพียงนี้ ไม่รู้ว่าคนหนุ่มสาวจะทนได้หรือเปล่า
“ชายโจว เป็นอย่างไรบ้าง หนาวไหม” เขาพูดพลางมองท่านชายโจวหกที่อยู่บนหลังม้า
ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเดือนกว่าชายหนุ่มที่มาจากเมืองหลวงผู้มีชีวิตอันมีเกียรติมั่งคั่งและร่ำรวย ก็เปลี่ยนไปตามลมของตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว
แม้ว่าเขาจะสวมด้วยเสื้อคลุมหนาและหมวกสักหลาดผืนใหญ่ ใบหน้าก็ยังคงแดงและแห้งแตก ติ่งหูที่เผยออกมาเต็มไปด้วยแผลเปื่อยจากอากาศหนาว
“หนาว” ท่านชายโจวหกเอ่ยยิ้ม “แต่ทนได้”
แม่ทัพหัวเราะและเอ่ยว่าดี
“ใกล้จะปีใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นมาดูความคึกคักในเทศกาลปีใหม่ของตะวันตกเฉียงเหนือนะ” เขาพูด ก่อนจะหันหัวม้า “ไปก่อนล่ะ”
คนกลุ่มหนึ่งเข้าสู่ค่าย เดินข้ามประทัดที่เด็กๆ เล่นทิ้งไว้บนถนน ก่อนจะตรงเข้าไปในโถงรับแขก
ท่านชายโจวหกเข้าไปในห้องของตนเอง แม้องครักษ์จะเพิ่มความร้อนของเตาอั้งโล่ไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ภายในห้องก็ยังเย็นอยู่ ท่านชายโจวหกถอดหมวกถูมือก่อนจะเอามาอุ่นหู
“ก่วนโกว[1]” องครักษ์เดินเข้ามาจากด้านนอกพลางมอบห่อผ้าใบใหญ่ให้ “ครอบครัวท่านส่งของมาให้ขอรับ”
ท่านชายโจวหกขอให้เขาวางไว้แล้วออกไปก่อน รอให้ร่างกายอุ่นขึ้นก่อนถึงจะเดินไปเปิดดู ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้าที่ส่งมาจากครอบครัวของเขา และจดหมายจากครอบครัวอีกกองหนึ่ง
ท่านชายโจวหกหยิบขึ้นมา เขาเปิดไปทีละหน้าจดหมายของท่านพ่อ ท่านแม่และบรรดาน้องชายน้องสาว รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนปากของเขา ไม่ว่าเวลาใดๆ ความห่วงใยและการถามสารทุกข์สุขดิบจากครอบครัวนั้นยังคงทำให้รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
ยังไม่ทันได้เริ่มอ่าน องครักษ์ก็เข้ามาอีกแล้ว
“ก่วนโกว ยังมีจดหมายของท่านอีก”
ยังมีอีกหรือ ไม่ได้มาพร้อมกับของครอบครัว หรือว่า…
ท่านชายโจวหกลุกขึ้นยืน หัวใจเต้นเร็วขึ้น เอื้อมมือออกไป ในชั่วพริบตา เขาก็จำได้ว่าเป็นลายมือของท่านชายฉินสิบสาม ก็ใช่น่ะสินะ ยังมีเขาอีก
ท่านชายโจวหกยิ้มแล้วนั่งลง พลางสะบัดจดหมายก่อนจะเปิด จากนั้นเขาก็ได้ยินว่ามีเสียงฝีเท้าจากด้านนอก ทั้งยังมีเสียงขององครักษ์และคนคุยกัน
“ก่วนโกว ชายจากค่ายซานอิน นามว่าสวีเม่าซิวมาขอพบขอรับ” องครักษ์ยกม่านขึ้นก่อนจะพูด
สวีเม่าซิวหรือ
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วตั้งแต่เขามาที่ตะวันตกเฉียงเหนือ อย่างแรกนายทหารนั้นแตกต่างกัน และอย่างที่สองเขาไม่ได้อยู่ในค่าย ดังนั้นจึงขาดการติดต่อกับผู้คน
“ให้เขาเข้ามา” เขาพูดพร้อมกับวางจดหมายในมือลง
สวีเม่าซิวก้าวเข้าไปข้างในก่อนจะทักทายท่านชายโจวหก
พวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศอึดอัดอยู่เล็กน้อย
“ให้ใต้เท้าขอรับ…” สวีเม่าซิวพูดก่อนจะยื่นไหลายครามไปให้
“นี่คืออะไร” ท่านชายโจวหกถามโดยมองเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“ยาสำหรับป้องกันและรักษาแผลเปื่อยจากอากาศหนาว แค่ทาบนผิวหนังก็พอแล้วขอรับ” สวีเม่าซิวเอ่ย “น้องสาว…เอ่อ ไม่ใช่ แม่นางเฉิงให้ข้าเอามาให้ขอรับ”
แม่นางเฉิง…
ท่านชายโจวหกรู้สึกเหมือนมีแมลงสองสามตัวไต่อยู่บนหลัง ก่อนจะยืนตัวตรงอย่างช่วยไม่ได้
“ขะ ข้าไม่ต้องการสิ่งนี้” เขาพูด
สวีเม่าซิววางไหลายครามลงบนโต๊ะแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไร
“นี่” ท่านชายโจวหกตะโกน “เอาของของเจ้าไป ใครต้องการสิ่งนี้กันเล่า”
เขาตะโกนแต่ร่างกายกลับไม่ขยับ หยิบไหลายครามขึ้นแล้วโยนทิ้ง แม้ไม่ได้โกรธเคือง ทว่าแฝงไปด้วยความหยิ่งยโส
เมื่อฟังเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปจากข้างนอก ดวงตาของท่านชายโจวหกถึงจะจ้องไปที่ไหลายคราม
ยารักษาแผลเปื่อย..
เขายิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะหยุดยิ้มทันที
อะไรกันเนี่ย มีอะไรน่าน่าดีใจกัน!
ท่านชายโจวหกดูเหมือนกลัวที่จะถูกคนอื่นเห็นเข้า เขาหลบสายตาไปครู่หนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็เดินออกไป เขาอยากจะเอื้อมมือออกไปแต่ไม่กล้า เขายืดคอไปดูไหลายคราม ราวกับนี่เป็นสิ่งที่แปลกและน่ากลัว
ป้องกันและรักษาแผลเปื่อย…ฮึ มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละที่จะคิดเรื่องนี้
ท่านชายโจวหกอ้าปากแล้วยิ้ม อดไม่ได้ที่จะหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
บนถนนนอกค่ายของท่านชายโจวหก สวีเม่าซิวกำลังเดินด้วยรอยยิ้ม
“พี่สาม ให้ไหกับเจ้าเด็กนั่นทำไม น้องไม่ได้บอกจะให้เขาสักหน่อย” สวีปั้งฉุยดึงหน้าและพูดอย่างไม่พอใจ
“มนุษย์ยามมีชีวิตอยู่ การได้รู้จักกันก็คือโชคชะตา” สวีเม่าซิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ เจ้าเด็กนี่ก็ไม่เลว ใกล้ปีใหม่แล้ว ทุกคนมามีความสุขด้วยกันเถิด ชีวิตไม่ง่าย เรามามีความสุขกันดีกว่า”
อะไรกับอะไรนะ ไม่เห็นเข้าใจสักคำ สวีปั้งฉุยขมวดคิ้ว
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่สนหรอกว่าจะมีความสุขหรือไม่ อย่างไรก็เถอะ ท่านพี่เอายาของท่านไปให้คนอื่น ก็อย่ามาใช้ของข้านะ” เขาคร่ำครวญ
สวีเม่าซิวหัวเราะและเตะเขาทีหนึ่ง
“รีบไปกันเถอะ รีบกลับไปจัดงานปีใหม่เถิด” เขายิ้มเอ่ย
……
ไม่มีร่องรอยของบรรยากาศของการเฉลิมฉลองปีใหม่ในพระราชวัง ลมพัดผ่านเข้ามา ยิ่งแลดูหนาวเย็นมากขึ้นกว่าเดิม
เจ้ากรมกิจการเการีบร้อนเดินเข้าไปในตำหนักกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน
“มีเรื่องอะไรอีก ยิ่งเป็นช่วงเวลานี้ เหตุใดกุ้ยเฟยถึงคิดการเหลวไหลเช่นนี้” เขาเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
กุ้ยเฟยไม่ได้สนใจความไม่สบอารมณ์ของเขา ก่อนจะรีบมองซ้ายมองขวา แล้วก้าวเข้าไปใกล้
“ช่วงเวลานี้นี่แหละที่สำคัญ” นางเอ่ยอย่างร้อนใจ
“เป็นอะไรไปอีก” เจ้ากรมกิจการเกาถาม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องไปหาหมอคนใดมา” กุ้ยเฟยเอ่ย
เจ้ากรมกิจการเกาถอนหายใน ว่าแล้วว่าอย่าคาดหวังให้สตรีเหล่านี้คิดการณ์ใหญ่อะไร…
“ข้าไม่สนใจว่าเขาไปหาหมอคนไหน หากเขาไปหาเทพเซียนมาถึงคุ้มค่าพอที่จะพูดถึงหน่อย” เขาเอ่ย
“ก็ไปหาเทพเซียนมาน่ะสิ” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างร้อนใจ
เจ้ากรมกิจการเกาเอามือทาบหน้าผาก
“กุ้ยเฟย ท่านอยากจะพูดอะไร” เขาถามอย่างตรงไปตรงมา
“หากเขารักษาชิ่งอ๋องหายได้จริงๆ เล่า” กุ้ยเฟยกดเสียงต่ำพลางเอ่ย
เจ้ากรมกิจการเกาหลุดหัวเราะ
“เจ้าอย่าหัวเราะเยาะไป” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างร้อนใจ “หมอเทวดาคนนั้นอาจจะรักษาหายก็เป็นได้! ดูพ่อของเฉินเซ่านั่นสิ ไหนจะบัณฑิตที่กินของแข็งนั่นอีก…”
เจ้ากรมกิจการเกาย่อมเคยได้ข่าวลือตามท้องถนนพวกนี้อยู่แล้ว
“หมอเทวดาที่ซื้อชีวิตคืนมาในราคาหมื่นก้วนนั่นหรือ” เขาเอ่ยอย่างตกตะลึง
“ใช่น่ะสิ หาก…” นางเอ่ยด้วยความร้อนใจ
ไม่รู้ว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องผู้นี้ตั้งใจหรือไม่ ตอนแรกไม่ได้บอกว่าจะไปหาหมอคนไหน ถามไปทั่วราวกับไม่มีต้นสายปลายเหตุ แล้วจู่ๆ ก็หายไป ตอนที่นางจะถามว่าไปหาหมอที่ไหน เขาก็หายไปหลายวันแล้ว
แม้แต่ผียังเชื่อเลยหากจะบอกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ได้มีความคิดอยากจะเตรียมตัวป้องกันอะไร!
“ไหนบอกว่าคนคนนั้นคือร่างทรงอย่างไรเล่า ทุกคนต่างบอกว่าคนผู้นั้นไม่ใช่หมอ มีเคล็ดวิชารักษาโรคอยู่ในมือ อันที่จริงก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร มิฉะนั้นจะรักษาคนสองสามคนแล้ว จู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร” เจ้ากรมกิจการเกาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน แต่กลัวเหตุไม่คาดฝันต่างหาก ถ้าหากคราวนี้รักษาหายเล่า” กุ้ยเฟยเอ่ย
“เหตุไม่คาดฝันหรือ ถ้ารักษาหายจริงๆ แต่ก็เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน เทียบกับองค์ชายใหญ่ไม่ได้หรอก…” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ย
“เขาจะรักษาหายไม่ได้!” กุ้ยเฟยเอ่ยขัดจังหวะขึ้น
เจ้ากรมกิจการเกาจ้องเขม็งไปที่นาง สีหน้าเรียบนิ่ง
“เท่ากับว่า ข่าวลือทั้งหลายล้วนไม่มีมูลเหตุความจริง มีคนตั้งใจปั้นเรื่องหรือ” เขาค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ
กุ้ยเฟยมองเขาตาเป็นประกาย
“ไม่ใช่ อ๋อ ใช่ ใช่ ใช่ แหม เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร…” นางเอ่ย
“ข้ากลัวว่าเมื่อเด็กตื่นแล้ว จะถูกคนอื่นสอนพูดอะไรเหลวไหลโดยเจตนา ท่านต้องรู้ว่า นี่เป็นโอกาสดีที่หาได้ยาก…แม้แต่ท่านยังสงสัย ฮองเฮาจะต้องไม่ปล่อยไว้แน่…”
เจ้ากรมกิจการเกามองนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะถอยหายใจอย่างแรง
“หมอคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ใด” เขาจับโต๊ะพลางหรี่ตา ก่อนจะเอื้อนเอ่ยถามออกมา
………………
[1] 管勾 ก่วนโกว หมายถึง ผู้ดูแลหรือผู้จัดการ