“เจ้าบอกว่าจะทำอะไรนะ”

อาลักษณ์หลวงฉินถามอย่างตกตะลึง มองท่านชายฉินสิบสามที่นั่งอยู่ตรงหน้า แม้จะเป็นภายในบ้านตนเองก็กดเสียงต่ำลง

“ห้ามปรามไม่ให้จวิ้นอ๋องพาชิ่งอ๋องไปหาหมอหรือ เจ้าบ้าไปแล้วใช่ไหม”

ตอนนี้ภายในวังคนที่ควรรู้ต่างก็รู้เรื่องของชิ่งอ๋องแล้ว ส่วนเรื่องที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องพาชิ่งอ๋องออกไปหาหมอข้างนอก คนที่ไม่ควรรู้ต่างก็รู้แล้วเช่นกัน

การที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องทำเช่นนี้ไม่มีอะไรพอที่จะวิจารณ์ได้ ฮ่องเต้ก็เห็นด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องที่คนร่วมสายเลือดพึงจะทำ

ในเวลานี้มีคนกระโดดออกมาห้ามปรามซึ่งขัดกับหลักศีลธรรม กฎและหลักธรรมชาติ อย่าว่าแต่จะถูกคนทั้งโลกก่นด่าเลย แม้แต่ร่างกายและครอบครัวอาจจะหายไปได้ในพริบตา

“กว่าแม่นางเฉิงจะสยบชื่อหมอเทวดาของตนเองได้ ข้ากลัวว่าครั้งนี้จะนำพาสิ่งไม่เป็นมงคลมาให้นาง…” ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ

อาลักษณ์หลวงฉินกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่น่าขำ สีหน้าเรียบนิ่งเข้าไปทุกที

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

“ข้าย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่” ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ “ข้าเพียงแค่คิดว่าทุกเรื่องต่างมีสองด้าน มีด้านดีและด้านร้าย มีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบ มีคนอยากทำก็ต้องมีคนไม่อยาก…”

เสียงตบโต๊ะดังปัง ขัดจังหวะคำพูดของเขา

อาลักษณ์หลวงฉินตบโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ชายสิบสาม เจ้าคิดมากไปแล้ว” เขาเอ่ย

ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม

“ข้าทราบ ข้าทราบ นี่เป็นความคิดแวบแรกของข้า” เขาเอ่ย “ความคิดแวบแรกของคนมักจะเป็นเรื่องที่มุทะลุและเกินจริง”

อาลักษณ์หลวงฉินมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดดังเดิม

“ชายสิบสาม เจ้าก็รู้ว่าในวันหน้าตนเองจะต้องทำสิ่งใด” เขาเอ่ย “เจ้าต้องรู้ว่า เรื่องบางเรื่องแม้แต่จะคิดยังไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องทรยศไร้เหตุผลเช่นนี้ที่เจ้าคิดว่าตนเองสามารถมองทะลุผ่านหัวใจของผู้คนและเดาสุ่มสี่สุ่มห้า!”

เขาเอ่ย และขึ้นเสียงในประโยคสุดท้าย

“บุรุษเปิดเผยตรงไปตรงมา คนต่ำต้อยมักมีลับลมคมใน คนฉลาดแกมโกงที่คิดเองเออเองพวกนั้นต่างไร้ธรรมะ!”

ท่านชายฉินสิบสามก้มหัวโค้งคำนับ

“ขอบคุณท่านท่านพ่อที่ชี้แนะ”

อาลักษณ์หลวงฉินมองเขานิ่งครู่หนึ่ง

“เช่นนั้นความคิดต่อมาของเจ้าอยากจะทำสิ่งใด” เขาถาม

“ข้าอยากเขียนจดหมายให้นาง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงช่วงนี้” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย

อาลักษณ์หลวงฉินมองเขาครู่หนึ่ง

“แม้ว่าข้าจะไม่เคยเจอแม่นางเฉิง” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น “แต่จากหลายเรื่องนี้ นางไม่เหมือนเจ้า”

ท่านชายฉินสิบสามมองท่านพ่อด้วยความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด

เขารู้ว่าหลายๆ เรื่องที่เขาทำในตอนนั้นสามารถปิดบังท่านท่านพ่อได้ แต่ก็ไม่อาจปิดได้ตลอดไป ท่านท่านพ่อรู้จักเฉิงเจียวเหนียงเขาไม่ตกใจ ที่ตกใจก็คือคำวิจารณ์ของท่านพ่อ

นางไม่เหมือนกับเขาหรือ

เหตุใดนางถึงไม่เหมือนเขา… ทั้งๆ ที่นางกับเขาเหมือนกัน…เคยเป็นคนพิการเช่นเดียวกัน…ต่างเป็นคนที่เข้าใจกัน…

ท่านชายฉินสิบสามกำหมัดบนเข่าอย่างอดไม่ได้ อันที่จริงประโยคนี้ไม่มีอะไร ผู้คนล้วนแตกต่างกัน แต่ในใจเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ

บอกว่านางแตกต่างไปจากเขา ก็เหมือนคลองโกวหงที่ไร้สะพาน ไม่อาจข้ามไปได้ตลอดกาล…

“ท่านพ่อ…” เขาเอ่ยปากอย่างรีบร้อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่ก็แค่อยากจะเปิดปากพูด ดูเหมือนว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะขัดจังหวะได้

“เหตุใดนางถึงเกลี้ยกล่อมจางเจียงโจวได้” อาลักษณ์หลวงฉินไม่ตอบเขาแล้วพูดต่อ “เพราะนางใช้วิธีที่ถูกต้อง ไม่ว่าเจ้ากรมกิจการเกาหรืออำมาตย์เฉินจะมีความคิดลับลมคมในเช่นไร และไม่ว่าจางเจียงโจวจะวางแผนกับฝ่ายไหนก็ตาม นางล้วนแสดงตัวตนออกไปอย่างเปิดเผย นี้เรียกว่าอะไร เรียกว่าความดีชนะความชั่ว ใช้ความถูกต้องเอาชนะความพิสดาร นี่คือหลักธรรมของโลก”

ท่านชายฉินสิบสามหน้าแดงเล็กน้อยพลางนั่งตัวตรง

ใช่ ถูกต้อง นางเป็นแบบนี้ นางไม่ซ่อนไม่ปิดบัง ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับและกระทำการอย่างตรงไปตรงมา

“แม่นางผู้นี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ข้าก็ชื่นชมนางมาก” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย สีหน้าดูผ่อนคลายพลางปัดแขนเสื้อ

ท่านชายฉินสิบสาม มองท่านพ่อของเขาด้วยความสงสัย เรื่องใดอีกอย่างนั้นหรือ

“วิชาเทวดาเข็มทองทำให้นายใหญ่เฉินที่เป็นอัมพาตลุกขึ้นนั่งในเวลาสามวัน ปิดประตูตอนกลางคืนใช้เหล้าและอาหารเป็นยา ทำให้บัณฑิตถงที่หมดลมหายใจไปแล้วฟื้นคืนชีพ ตอนที่เจ้าได้ยินครั้งแรกเจ้าคิดอย่างไร” อาลักษณ์หลวงฉินถาม

ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม

“พูดตามตรง ข้าก็คิดไปถึงพวกเรื่องลี้ลับเช่นกัน” เขาพูด

“แม้แต่เจ้ายังคิดอย่างนั้น ก็ไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มหญิงสาวธรรมดาธรรมดาตามท้องตลาดพวกนั้น” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย “ด้วยวิชาอาคม นางจะต้องมีชื่อเสียงและมีความมั่งคั่งมากมายทางโลกเป็นแน่ แต่นางกลับหยุดและแขวนชื่อเสียงของนางไว้ได้อย่างกล้าหาญ”

“ท่านพ่อ ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว มิฉะนั้นจะตกอยู่ในลัทธิผีปีศาจ เช่นเดียวกับสำนักเมตไตรย์แห่งนิกายไท่ผิงเต้า ต่อให้มีผู้ศรัทธาไปทั่วโลก ก็จะเป็นเพียงผีภายใต้ดาบของราชสำนัก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย

“เรื่องบนโลกนี้ ยามที่มองดูจากข้างนอกนั้นก็จะรู้สึกว่าง่ายดาย ทว่ายามที่ตัวเราไปอยู่ในเรื่องนั้นกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ดอกไม้อันงดงามและสดใสนั้นมีเสน่ห์และดึงดูดผู้คนเหลือเกิน” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย

เขาพูดถึงตรงนี้ก็มองท่านชายฉินสิบสาม

“ชายสิบสาม เจ้าคิดว่าคนที่มองโลกออกและปล่อยวางได้เช่นนี้ ยังจะต้องให้เจ้าเตือนอีกหรือ”

ท่านชายฉินสิบสามตกตะลึงเล็กน้อย

“ลูกเอ๋ย ดูเหมือนเจ้าจะกังวลจนฟุ้งซ่านแล้วจริงๆ” อาลักษณ์หลวงฉินยิ้มทันที

กังวลจนฟุ้งซ่าน…

นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อล้อเล่นกับเขาเช่นนี้ ใบหน้าของท่านชายฉินสิบสามแดงขึ้นเล็กน้อย

“ดูเหมือนเจ้าจะลืมจริงๆ” อาลักษณ์หลวงฉินพูดพลางส่ายหัวแล้วมองดูเขา พร้อมกับเหยียดสามนิ้ว “นางมีกฎไม่รักษาสามข้อ”

ไม่รักษาถึงบ้าน หากไม่ถึงตายจะไม่รักษา และจะไม่แต่งงานกับผู้ที่ได้รับการรักษา

ท่านชายฉินสิบสามท่องในใจ ก่อนจะชะงัก

หากไม่ถึงตายจะไม่รักษา!

“ดังนั้นกฎเกณฑ์นี้จึงเป็นสิ่งที่ดี”

อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย พร้อมกับหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง

ท่านชายฉินสิบสามเงียบไปครู่หนึ่ง

“ท่านพ่อ ท่านก็ไม่อยากให้ชิ่งอ๋องหายขาดใช่ไหม…” เขากระซิบ

อาลักษณ์หลวงฉินถือหนังสือและเงยหน้าขึ้น

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องการหรือไม่ต้องการ” เขาเอ่ย “ทุกคนควรตระหนักถึงความเป็นจริง”

ท่านชายฉินสิบสามขานรับ ลุกขึ้นแล้วจากไป เดินไปจนถึงประตูก่อนจะหยุดลง

“หาก กฎเป็นเพียงแค่กฎ แล้วนางรักษาได้เล่า” เขาถามเสียงต่ำ

ท้ายที่สุดแล้ว ตัวอย่างของคนสติไม่สมประกอบที่ได้รับการรักษาให้หายขาดก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว บอกว่านางจะไม่รักษา เชื่อได้อย่างนั้นหรือ

เขากับท่านพ่อก็ไม่เชื่อไม่ใช่หรือ พวกเขาแค่เชื่อว่ากฎของนางเป็นกฎที่ดี

“นั่นเป็นทางเลือกของนาง” อาลักษณ์หลวงฉินพูดพลางมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง “เจ้าจะไปเตือนนางหรือไม่ นั่นไม่สำคัญ”

ท่านชายฉินสิบสามขานรับและหันหลังเดินออกไป

ลมหนาวพัดผ่านมา ท่านชายฉินสิบสามที่กำลังเดินอยู่ใต้ทางเดินก็หยุดลง

“นั่นเป็นทางเลือกของนาง” เขายิ้มอีกครั้งและพูดกับตัวเอง “เช่นนั้นให้นางเลือกทางเลือกของตัวเอง ส่วนเรื่องอื่น ไม่สำคัญ”

เขาพูดจบก็เร่งฝีเท้ารีบเดินออกไป

ในเวลาเดียวกัน ม้าเร็วมากกว่าหนึ่งตัวควบออกจากเมืองหลวง แม้จะมาจากคนละประตูเมือง แต่ในที่สุดก็มาบรรจบกันในทิศทางเดียว

……

ยามราตรีอันเงียบสงบ ไฟในห้องด้านข้างยังคงสว่างอยู่

ปั้นฉินนั่งพลางนำเสื้อมาคลุม มองดูจดหมายในมือ ทั้งยังมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับวางอยู่บนโต๊ะ

แสงไฟสลัวบนโต๊ะส่องบนใบหน้าของนาง ที่ดูเหมือนจะซีดขาวเล็กน้อย

ในระยะไกลมีเสียงสุนัขเห่า เสียงก็เข้าใกล้มาทุกที ปั้นฉินลุกขึ้นนั่งตัวตรง รู้สึกประหม่าเล็กน้อย กำเสื้อแน่นและตั้งใจฟัง มีฝีเท้าและกีบม้าอยู่รำไร

“ใคร”

ข้างนอกประตูก็มีเสียงต่ำของผู้ติดตามที่เฝ้าเวรยามกลางคืนตะโกนขึ้น

มาอีกแล้ว!

ปั้นฉินยืนขึ้น ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยกันข้างนอกประตูแล้ว แต่ไม่นานก็มีคนมาพ่อบ้านเคาะประตู

“พ่อบ้านเฉา”

ปั้นฉินเปิดประตูและเห็นเฉากุ้ยยืนอยู่ใต้ตะเกียง

ใบหน้าของเฉากุ้ยเคร่งเครียดและโบกมือให้กับนาง ปั้นฉินเปิดประตูและเดินตามเขาออกไปที่สวนด้านข้าง

“อีกฉบับแล้ว…”

ปั้นฉินบ่นและมองจดหมายที่พ่อบ้านเฉาส่งมาให้

“คราวนี้ตระกูลไหนล่ะ” นางถาม

“ยังคงเป็นตระกูลโจว” พ่อบ้านเฉาพูดแล้วแค่นยิ้ม

คืนหนึ่งตระกูลโจวส่งจดหมายมาสี่ฉบับ เรื่องที่ตระกูลโจวก่อนี้ใหญ่มากจริงๆ…

อย่างไรก็ตามก็ไม่มีทางเลือกอื่น ดังที่นายใหญ่บอกยามออกจากเมืองหลวง ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ตระกูลโจวก็ถูกผูกไว้กับนายหญิงด้วยเชือกเส้นเดียวกันไปตลอดชีวิต ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีหรือไม่ก็ตาม ตัวคนและครอบครัวไม่อาจแยกจากกันได้ ถ้าคนคนนี้มีเรื่องอะไร ครอบครัวย่อมหนีไม่พ้น

ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่นางเฉิง ตระกูลโจวจึงไม่อาจหลุดพ้นได้ พวกเขาเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดกับการรับมือเป็นกองหน้า

“ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองหลวงเป็นแน่” พ่อบ้านเฉาเอ่ย

“ให้ปลุกนายหญิงไหม” ปั้นฉินถาม

พ่อบ้านเฉาถอนหายใจ พลางมองดูจดหมายในมือ พลันรู้สึกหนักอึ้ง

“เรียกนางเถิด” เขาพูด

เตาผิงในห้องให้ความอบอุ่น เทียนอันสว่างไสว ส่องไปยังหญิงสาวที่กำลังอ่านจดหมาย

“…พอฟ้ามืดก็มีคนมา…ข้าคิดว่านายใหญ่ส่งมาจริงๆ…แต่นายใหญ่ไม่สามารถส่งจดหมายสี่ฉบับติดต่อกันได้…” พ่อบ้านเฉาคุกเข่าที่ระเบียงพลางเล่าเรื่องราวที่ผ่านมา

เฉิงเจียวเหนียงอ่านจดหมายสี่ฉบับจบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยขานรับ

“ข้าเข้าใจแล้ว” นางพูดพร้อมลุกขึ้น

พ่อบ้านเฉาและปั้นฉินมองนางรอคำสั่ง แต่ดูเหมือนว่านางจะไปเข้านอนต่อ

“นายหญิง มีเรื่องอะไรหรือ สำคัญไหมเจ้าคะ” ปั้นฉินจำต้องเอ่ยปากถาม

เฉิงเจียวเหนียง หันไปมองนางและยิ้ม

“จดหมายเหล่านี้พูดถึงข่าวจากเมืองหลวงในช่วงนี้ แล้วถามไถ่สารทุกข์ข้า ไม่มีอะไรหรอก” นางพูด

ข่าวจากเมืองหลวง…

พ่อบ้านเฉาเข้าใจแล้ว มีเรื่องที่ต้องเตือนดังคาด และน่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดี ตามคำโบราณที่เคยกล่าวว่า ไม่มีข่าวถึงจะเป็นข่าวดี มีผู้คนไม่ซ้ำหน้าส่งจดหมายมาวันละสามสี่ฉบับ ภายใต้การปกป้องจากตระกูลโจว จะเห็นได้ว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาแน่นอน

คิ้วของพ่อบ้านเฉาค้างนิ่ง แต่ในเมื่อเขาได้เตือนนายหญิงแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ปั้นฉินไม่ได้คิดมากเท่ากับพ่อบ้านเฉา นายหญิงบอกว่าไม่เป็นอะไรก็ต้องไม่เป็นอะไร นางก็โล่งใจ…

“เช่นนั้นนายหญิง พรุ่งนี้เรายังจะไปกันอยู่ไหมเจ้าคะ” นางถาม

“แน่นอน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

เมื่อใกล้ถึงวันปีใหม่ เฉิงเจียวเหนียงเคยเอ่ยไว้ว่านางจะไปที่เหลียงโจว และในที่สุดก็ไปเสียที

เงินปันผลของร้าน ของขวัญปีใหม่จากเมืองหลวงทำให้พวกเขามีเงินและอาหารเพียงพอสำหรับการเดินทางไกล ปั้นฉินยังหวังที่จะหลบหลีกจากตระกูลเฉิงเพื่อสงบจิตใจ อย่างไรก็ตามบ้านของทุกคนไม่อยู่ที่นี่ และพวกเขาไม่ต้องยุ่งกับการถวายเครื่องเซ่นไหว้แก่บรรพบุรุษ ดังนั้นตอนที่คนอื่นยุ่งอยู่กับการเตรียมงานปีใหม่ พวกเขากลับต้องเตรียมตัวเดินทางไกล

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้เตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้ว และเลือกวันพรุ่งนี้เพื่อออกเดินทาง

“นายหญิง รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านแล้ว”

ปั้นฉินและพ่อบ้านเฉาทำคำนับแล้วจากไป ดับเทียน ปิดประตู บรรยากาศยามราตรีก็คืนสู่ความสงบอีกครั้ง

ปั้นฉินไม่ได้นอนอีกเลย ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและมึนงงอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทิศตะวันออกแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว จึงลุกขึ้นเตรียมทำอาหาร แสงจากท้องนภาค่อยๆ สว่างขึ้น เสียงฝีเท้าจากนอกประตู พร้อมกับเสียงรถม้า เสียงพูดคุยแผ่วเบาที่ค่อยๆ คึกคักมากขึ้น

“ช้าก่อน เจ้ามาหาใคร”

ท่ามกลางความพลุกพล่านนี้ เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“ข้ามาจากเมืองหลวง ต้องการพบแม่นางเฉิง”

จากเมืองหลวงอีกแล้วหรือ มีจดหมายอีกแล้วใช่ไหม ปั้นฉินชะงักมือและลังเลที่จะเปิดประตูอยู่ครู่หนึ่ง

ห่างออกจากหน้าประตูออกไปไม่กี่ก้าวมีชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมและหมวกใบใหญ่ พอคนคนตระกูลโจวถามไถ่ เขาจึงเปิดหมวกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์

เขาได้ยินเสียงเปิดประตูและหันไปมอง เขายิ้มให้กับปั้นฉินที่มีแสงแดดยามเช้าส่องสะท้อนใบหน้า

“อ๊ะ ทะ ท่านเองหรือ!” ปั้นฉินเอ่ยเสียงหลงด้วยความประหลาดใจ

“ดีจริงๆ ที่แม่นางยังจำข้าได้” ชายหนุ่มยิ้ม เผยความปรีดายากที่ปิดบังจากดวงตา

ต้องจำได้อยู่แล้ว ตอนนั้นที่นายหญิงเป็นลม ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เกรงว่าอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาเลยก็ได้

ปั้นฉินก้าวออกไป

“ท่านชายมาที่นี่ได้อย่างไร” นางถาม

หลังจากครั้งนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย บางครั้งนึกถึงก็รู้สึกไม่แน่ใจ ราวกับว่าคนคนนี้ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง และทุกอย่างคือจินตนาการของนางเอง

นึกไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้

ชายหนุ่มไม่ตอบนาง แต่มองไปรอบๆ แล้วค่อยๆ กวาดสายตาไปยังผู้ติดตามของตระกูลโจวที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมรถและม้า

“พวกเจ้า กำลังจะออกเดินทางหรือ” เขาถามพลางยิ้มมุมปาก

ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ ปั้นฉินรู้สึกว่ารอยยิ้มของชายหนุ่มท่ามกลางแสงแดดยามเช้าเริ่มเย็นเยือกลง นางตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

“ใช่ พวกเรากำลังจะเดินทาง” นางพูด

ชายหนุ่มขานรับ และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขากว้างขึ้น ทว่านัยน์ตากลับลึกล้ำ

“เช่นนี้นี่เอง ช่างบังเอิญเสียจริง” เขาพูดอย่างช้าๆ