บังเอิญหรือ
นี่เป็นเรื่องบังเอิญอะไรกัน
เขามาหาถึงบ้าน พวกนางกำลังออกไป หากมาช้าอีกเพียงก้าวเดียวก็ไม่เจอกันแล้ว จะบังเอิญได้อย่างไร อ๋อ ก็จริง ถือว่าบังเอิญเช่นกัน หากมาช้าอีกก้าวเดียวก็ไม่เจอแล้ว
“เช่นนั้นท่านชายรอสักครู่…” ปั้นฉินยิ้มเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า มองหน้านางหันหลังเดินเข้าประตูไป
“ปั้นฉิน บอกนายหญิงว่าหากเอารถสองคันนั้นออก พวกเราจะไปได้ไวกว่าหน่อย…”
พ่อบ้านเฉาเอ่ยพลางเดินเข้ามา ทันใดนั้นก็มองเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะชะงักผีเท้า เมื่อถามอย่างชัดเจนแล้วจึงยิ่งตกใจมากกว่าเดิม
“เฮ้ย จะ จะ เจ้าคือคนผู้นั้นนี่…”
ยามวิกาลในหุบเขา หมาป่าเห่าหอน ชายหนุ่มซุกซนภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่…
“เจ้าเด็กที่เรียกฝูงหมาป่าคนนั้นใช่ไหม” พ่อบ้านเฉาชี้นิ้วพลางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มให้เขาทีหนึ่ง
“ใช่น่ะสิ ข้าเอง” เขาเอ่ย และพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเย้ยหยันตัวเอง “ข้าก็คือเด็กที่เรียกฝูงหมาป่าคนนั้น เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้ก็ใช่”
ว่าอย่างไรนะ
พ่อบ้านเฉาขมวดคิ้ว เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้ก็ใช่คืออะไร ใช่ในที่นี้หมายถึงอะไร คือเรียกฝูงหมาป่ามาใช่ไหม
เขายังไม่ได้ถามอีกครั้ง ปั้นฉินก็เดินออกมาจากในประตู
“เชิญท่านชาย” นายเอ่ยพลางยิ้ม พร้อมกับหลีกทางให้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้เดินเข้าไปทันที ทว่าราวกับลังเลครู่หนึ่ง เขาเงยหน้ามองเข้าไปในประตู เรือนหลังนี้มีขนาดเล็กมากจนเขาสามารถเดินเข้าไปในห้องได้หลังจากเดินผ่านประตู ดังนั้นประตูเมื่อเปิดออก เขาก็เห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่ระเบียงในชั่วพริบตา
ยังคงสวมกระโปรงสีเรียบ สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีดำผืนใหญ่ ใบหน้าขาวนวลงดงาม ดวงตาสีเข้มมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ราวกับว่าเมื่อไรก็ตามที่พบนางต่างก็เป็นเช่นนี้ ลมหนาวพัดผ่าน สั่นไหวเสื้อคลุมของนาง และดูเหมือนว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะหวนคิดถึงวันนั้น
ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้ากองไฟที่ลุกโชนท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน ร่างกายดูผอมบางอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับเหมือนดั่งเข็มที่ยึดสมุทรไว้ ต่อให้คนรอบข้างจะตะโกน ม้าจะร้องและหมาป่าจะเห่าหอนเพียงใดต่างก็ไม่สำคัญ
“เผา จมูกของพวกมัน” นางหยิบแท่งไฟขึ้นมาแล้วพูดอย่างมุ่งมั่น ไม่แยแสและไม่เกรงกลัวใดๆ
เผาจมูกของพวกมัน!
เผาจมูกของพวกมัน!
เผาจุดอ่อนของพวกมัน!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยกเท้าขึ้น
ปั้นฉินเดินตามเข้าไป ก่อนจะถูกพ่อบ้านเฉารั้งไว้
“เด็กคนนั้นมาทำอะไรที่นี่” เขาถาม
ปั้นฉินส่ายหัว
“อย่าให้การเดินทางของเราล่าช้าล่ะ” พ่อบ้านเฉาเอ่ย มองเข้าไปในประตู เผยความสงสัยผ่านคิ้วและดวงตา รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยอยู่ในใจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งลง ปั้นฉินก้มศีรษะและยกชามาให้ ก่อนจะก้าวออกไป
“ไม่ได้รบกวนการเดินทางของพวกเจ้าใช่ไหม” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยเป็นประโยคแรก
ปั้นฉินอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขา
เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับ ไม่ได้ตอบอะไร
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มรับ ยกชาขึ้นมาดื่มแล้วส่งให้ปั้นฉิน
“ขออีกแก้ว” เขายิ้มเอ่ย “หากมีขนม ก็เอามาให้ที”
นี่…ไม่ได้กินข้าวมาหรือ
ปั้นฉินมองชายหนุ่มและเพิ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาของเขาแดงก่ำ ใบหน้าดูเหนื่อยล้า
เดินทางมาตลอดทั้งคืนเลยหรือ
นางรีบขานรับ ลุกขึ้นแล้วออกไป
พ่อบ้านเฉายืนอยู่กลางลานบ้าน มองดูปั้นฉินยุ่งอยู่ในครัว ผ่านไปครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมชา ขนมและเครื่องเคียง
“เหตุใดถึงกินอีกแล้วล่ะ” เขาอดไม่ได้ที่จะกระซิบถาม พร้อมกับแหงนหน้ามองท้องฟ้า “สายมากแล้วนะ”
ปั้นฉินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ลุงเฉา เป็นอะไรไป เหตุใดถึงรีบร้อนเช่นนี้” นางถาม
พ่อบ้านเฉาตกตะลึงเมื่อถูกถาม เขายิ้มเจื่อนอีกครั้งแล้วมองเข้าไปในห้อง
“ข้ากลัวว่า ถ้ายังไม่ไปอีก จะไม่ทันกาล…” เขาพึมพำ
เอื้อมมือออกไปหยิบขนมและรับประทาน
“ลวก ลวก” ปั้นฉินรีบตะโกน
แต่ก็สายไปแล้ว จิ้นอันจวิ้นอ๋องปิดปากแล้วพ่นลมออกมา ก่อนจะรีบหยิบชาขึ้นมาดื่ม
“ขอโทษที่เสียมารยาท” เขายกแขนเสื้อขึ้นปิดปากแล้วลอบยิ้มบาง
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร นางหยิบน้ำขึ้นมาดื่มช้าๆ
หลังจากกินขนมสองชิ้นและดื่มชาไปหนึ่งแก้ว ใบหน้าของชายหนุ่มก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เขามองภายในห้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เมื่อวานเพิ่งทำความสะอาดห้องไป จึงดูว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด
“ขอโทษจริง ขอโทษจริ” เขายิ้ม เอื้อมมือไปแตะเข่าแล้วพูดว่า “เกรงว่าจะทำให้แม่นางไม่สะดวก”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม
“ไม่มีใครและไม่มีอะไรสามารถทำให้ข้าไม่สะดวกได้” นางพูด
ไม่มีใครและไม่มีอะไรสามารถทำให้ข้าไม่สะดวกได้
หญิงสาวร่างเล็ก สีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงแหบพร่า มองลงมาจากเก้าอี้ ทั้งตัวเล็กทั้งผอมบาง
เหมือนเดิมไม่มีผิด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรู้สึกแสบจมูกทันที
อันที่จริง พวกเขาได้เจอและพูดคุยกันนั้นนับครั้งได้ ทั้งยังพูดกันน้อยมาก ดังนั้นจิ้นอันจวิ้นอ๋องต่างจำได้ทั้งหมด
“เช่นนั้นคราวนี้ ไม่ทราบว่าแม่นางยังช่วยข้าได้ไหม” เขาค่อยๆ พูด
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว
“เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร” นางยิ้ม
ปั้นฉินคุกเข่าที่ประตูพลางเหม่อลอย ราวกับมีเสียงของปั้นฉินอีกคนลอยเข้ามาในหู
“ตายจริง สองคนนี้คุยอะไรกัน”
นางก้มหน้าลงแล้วยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“ข้าชื่อฟางป๋อฉง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม เงยหน้าขึ้นหุบยิ้มก่อนจะพูดว่า “นี่คือชื่อที่เสด็จพ่อของข้าตั้งให้…”
เสด็จพ่อ…
ปั้นฉินเงยหน้าขึ้นมองเนื่องจากฉุกคิดอะไรได้
อะไรนะ
พ่อบ้านเฉาที่ยืนอยู่กลางลานบ้านอดรนทนไม่ได้แล้ว เดินไปที่ระเบียงทางเดินแล้วโบกมือให้ปั้นฉิน จากนั้นก็ยื่นมือออกไป ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวในตระกูลของชายหนุ่ม
“…ข้ายังมีอีกชื่อ ฮ่องเต้ตั้งให้ข้าซึ่งก็เป็นชื่อปัจจุบัน ข้าชื่อ ฟางเหว่ยและพระราชทินนามคือจิ้นอัน”
พ่อบ้านเฉาหายใจไม่ทัน เกือบจะล้มลง มือที่เหยียดออกไม่ได้ทำท่าทาง แต่ชี้ไปในห้อง
ฟางอย่างนั้นหรือ! พระราชทินนามจิ้นอัน!
ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่มีแซ่ฟาง แต่มีเพียงตระกูลเดียวที่จะได้รับพระราชทินนามคือสกุลฟางที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์
จิ้นอันจวิ้นอ๋อง…จิ้นอันจวิ้นอ๋อง!
คือเขาหรือนี่!
เมืองหลวง! เมืองหลวง! หัวใจของพ่อบ้านเฉาสั่นไหว ข่าวจากเมืองหลวงคงไม่หมายถึงเขากระมัง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้สนใจความประหลาดใจของพ่อบ้านเฉาและปั้นฉิน เขามองหญิงสาวตรงหน้าและเห็นว่านางไม่ตกใจ
“ข้าคิดว่าคงมีคนมาบอกเจ้าแล้วใช่ไหม” เขายิ้มพลางพูด
“เจ้าหมายถึงตัวตนของเจ้าใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนาง
“เจ้าบอกข้าเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ข้าหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตกตะลึง
“ชา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ชา…
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตกตะลึงเล็กน้อย เขาเคยส่งชาในวังให้นาง แต่ไม่ได้บอกนางว่าเป็นชาในวัง…เว้นแต่นางจะดื่มในบางโอกาสและมีคนพูดถึง… ในบางโอกาส… ไม่ใช่ทุกคนที่ดื่มชาในวังได้…
“เทศกาลชมโคมไฟบนถนน!” เขาพูดพร้อมกับเลิกคิ้ว นัยน์ตาพลันสว่างวาบ พลางยื่นมือออกมา
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มด้วยความสุขจากการเดาออก แต่ความสุขนั้นแสนสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเขาในวันนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะมีความสุขแล้วกระมัง
“ดังนั้นที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อมาขอให้เจ้าช่วยรักษา” เขาพูด
ปั้นฉินอยู่ตรงระเบียงทางเดินด้านนอกประตู รู้สึกว่าสมองของปั่นป่วนติดขัดไปหมด แม้แต่นางจะฟังไม่เข้าใจ เรื่องราวในวันนี้ทำให้นานเวียนหัวมากกว่าเดิม
จวิ้นอ๋อง! พระบรมวงศานุวงศ์! มาขอให้ช่วยรักษา!
ทั้งสามเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เฉิงเจียวเหนียงร้องอ๋อ
“ไม่ใช่ข้า ข้ามาก่อน คนป่วยจะตามมาทีหลัง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยว่า “ข้ารู้กฎของเจ้าดังนั้นข้าจึงพาผู้ป่วยมาหาถึงที่เพื่อขอการรักษา”
ปั้นฉินที่อยู่นอกประตูเลิกคิดตาม ปล่อยให้คำพูดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ทว่าพ่อบ้านเฉายังคงครุ่นคิด กฎเกณฑ์ พระบรมวงศานุวงศ์ยังทำตามกฎเกณฑ์ของนายหญิง แต่ในใจเขาไม่ได้ภูมิใจและตื่นเต้นเลย บนโลกนี้สิ่งที่ใดมาเปล่าๆ นั้นล้วนไม่มีข้อดี
มิฉะนั้น ยามที่อู๋ฉีรักษาหนองให้ทหาร แม่ของทหารคนนั้นคงไม่ร่ำไห้ออกมา[1]
“ตกลง” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพลางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนางพลางยิ้ม ก่อนจะทำความเคารพ และลุกขึ้น
“พวกเขาเดินช้า ตามมาอยู่ข้างหลัง ข้ามาหาเจ้าก่อน ได้พบเจ้าช่างดีเสียจริง เช่นนั้นข้าจะไปรับพวกเขา” เขาพูด
เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นไปส่ง ชายหนุ่มก้าวออกไปด้วยความยินดี ปั้นฉินและพ่อบ้านเฉาก้มหัวคำนับเพื่อส่งเขา
เมื่อถึงหน้าประตู ชายหนุ่มก็หยุดเท้าทันที
“อ๋อ จริงสิ” เขาหันกลับมามอง เฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่ระเบียงทางเดิน ราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ “เจ้ากำลังจะออกเดินทางหรือ”
เขาชี้นอกประตูพลางยิ้ม
“ข้าไม่ได้รบกวนเจ้าใช่ไหม”
ประโยคนี้ไม่ได้ถามไปแล้วหรือ
ปั้นฉินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา จะถามอีกทำไม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่หยุดถามหากยังไม่ได้คำตอบ
เฉิงเจียวเหนียงมองมาที่เขาและยิ้ม
“ไม่ถือว่ารบกวน” นางเอ่ย “ก่อนหน้านี้ที่ข้ายังไม่ไปก็เพราะต้องเตรียมตัว เนื่องจากสถานที่ที่จะไปนั้นห่างไกล จึงเตรียมตัวนานหน่อย สองสามวันนี้เตรียมพร้อมแล้ว ส่วนจะออกเร็วกว่าเดิมหนึ่งวันหรือช้ากว่าเดิมหนึ่งวันนั้นมีค่าเท่ากัน”
“ดังนั้น นี่ช่างบังเอิญจริงๆ ใช่ไหม” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนางและถามด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ใช่” นางพูด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองดูใบหน้าแย้มยิ้มของนาง เปล่งประกายในแสงยามเช้า เขาไม่พูดอะไรต่อแล้วหันหลังเดินจากไป
“เขาถามเรื่องทำไมหรือ ถามหลายครั้งด้วย” ปั้นฉินกระซิบ
“ข้าไม่อยากรู้ว่าเขาถามเรื่องนี้ทำไม” พ่อบ้านเฉาพึมพำ “ข้ารู้แค่ว่าเราไปไม่ทันแล้ว”
………………
[1] “บันทึกประวัติศาสตร์ ชีวประวัติซุนจื่ออู๋ฉี” อู๋ฉีก็คืออู๋กงคนที่ฆ่าภรรยาแลกตำแหน่งแม่ทัพ