ตระกูลเฉิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉิงเจียวเหนียงบ้าง เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ยินดีหรือไม่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

ฮูหยินรองเฉิงเอื้อมมือไปปิดปากก่อนจะไอโขลกออกมา นางยื่นมือออกจากแขนเสื้อที่อบอุ่น ทำให้รู้สึกหนาวเย็นอยู่ไม่น้อย

“เกิดอะไรขึ้น ตายกันหมดแล้วหรือ” นางเลิกคิ้วขึ้นพลางตะโกน

สาวใช้สองคนรีบเข้ามา

“เหตุใดถึงหนาวเช่นนี้ เตาดับแล้วก็ไม่สนใจอะไรแล้วใช่ไหม” ฮูหยินรองเฉิงตะโกน

สาวใช้ทั้งสองก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว

“ฮูหยิน ยังไม่ดับเจ้าค่ะ” นางพูด

“ยังไม่ดับแล้วเหตุใดหนาวเช่นนี้เล่า” ฮูหยินรองเฉิงตะโกน

“ฮูหยิน เป็นเพราะถ่านที่ซื้อมารอบนี้ไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ…” สาวใช้ก้มหน้าพลางพูด

ฮูหยินเฉิงตกตะลึง ก่อนจะหัวเราะลั่น

“หากไม่อยากมีชีวิตต่อไป ก็อย่ามีอีกเลย” นางพูด ลุกขึ้น “กินนอนอยู่ที่นี่ ใช้พวกข้าเป็นที่ระบายอารมณ์ ยังอยากสะสมบุญกุศลอยู่ไหม!”

ประโยคสุดท้ายของนางเปล่งออกมาด้วยเสียงแหลมสูง

“บาปที่ตนทำไว้ ทำให้เหนื่อยทั้งตระกูล ยังมีหน้ามากินเจสวดมนต์อยู่อีก”

การก่นด่าเช่นนี้เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว สาวใช้ในเรือนต่างก้มหน้าราวกับว่าไม่ได้ยิน

“ท่านแม่!”

แม่นางเฉิงเจ็ดรีบออกจากห้องและร้องออกมา

เสียงของฮูหยินรองเฉิงหยุดลง

“แม่นางเจ็ด หลังปีใหม่เจ้าไปบ้านย่าของเจ้าสองสามวัน…” นางเอ่ยเสริม

“ข้าไม่ไป” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกนขัดจังหวะนาง “ข้ามีบ้าน ข้าจะไม่ไปบ้านคนอื่น”

“ช่วงนี้บ้านไม่ค่อยสงบ เจ้าออกไปอยู่เงียบๆ ดีกว่า” ฮูหยินรองเฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย

แม่นางเฉิงเจ็ดมองนาง ทำหน้าบูดบึ้งครู่หนึ่ง

“ที่นี่คือบ้านของข้า ที่อื่นต่างไม่ใช่บ้านของข้า ดีแค่ไหนก็ไม่ใช่บ้านข้า!” นางตะโกนแล้วหันหลังวิ่งออกไป

ฮูหยินรองเฉิงตะโกนสองสามครั้งแต่รั้งไว้ไม่ได้

แม่นางเฉิงเจ็ดเดินตึงตังมาจนถึงลานบ้านของฮูหยินใหญ่เฉิง ก่อนจะหยุดยืนอยู่นอกเรือน

ในช่วงเวลานี้ของปีก่อนๆ ที่นี่เป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในบ้าน สาวใช้รอรับคำสั่งในการเตรียมวันขึ้นปีใหม่มากมาย เช่นเดียวกับผู้ที่ส่งของขวัญ ตลอดจนพี่น้องของพวกนางต่างมารวมกันที่นี่ แม้จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ยินดีที่จะมาร่วมครึกครื้น

แต่ดูตอนนี้สิ เงียบสงัดราวกับไรผู้คน ไม่ต้องพูดถึงกลิ่นอายของวันปีใหม่

แม่นางเฉิงเจ็ดเดินเข้าไปช้าๆ

ลานบ้านมีกลิ่นของยา สาวใช้สองคนกำลังซักผ้า ประตูห้องเปิดออก เห็นฮูหยินใหญ่เฉิงคุกเข่า กำลังมองอะไรบางอย่าง

“….เงินก้อนนี้ แตะต้องไม่ได้…” นางพูด

“แต่ว่าฮูหยิน ร้านค้าขาดทุนมากเกินไป…พ่อค้ารายย่อยต่างกำลังบีบบังคับขูดรีดพวกเรานะขอรับ…” พ่อบ้านกระซิบ

“จะเอาอะไร”

ก่อนที่ฮูหยินใหญ่เฉิงจะพูด นายใหญ่เฉิงก็ตะโกนออกมาจากในห้อง

ฮูหยินเฉิงรีบโบกมือให้พ่อบ้าน พร้อมกับเอ่ยปาก

“ต้องไปรับท่านแม่และเฉิงหกจากบ้านท่านป้า ดังนั้นจึงจัดห้องนั่นอีกสักครั้งหน่อย” นางพูด

นายใหญ่เฉิงที่อยู่ภายในห้องไม่ได้พูดอะไรต่อ

ฮูหยินใหญ่เฉิงโบกมือให้พ่อบ้าน พ่อบ้านลำบากใจไม่น้อย แต่ก็ถือสมุดบัญชีออกไปอย่างไม่เต็มใจ

ฮูหยินใหญ่เฉิงเงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่นางเฉิงเจ็ดยืนอยู่ในเรือน สีหน้าดูประหลาดใจเล็กน้อยนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยในทันที

ถ้าเป็นเมื่อก่อนตนเองคงวิ่งเข้าไปในห้อง นั่งลงข้างฮูหยินใหญ่เฉิงตะโกนดังๆ ว่าท่านป้า ข้าอยากกินผลไม้ ฮูหยินใหญ่เฉิงก็จะยิ้มและเอื้อมมือไปลูบหัวนาง

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางไม่เคยเห็นรอยยิ้มแห่งความรักใคร่บนใบหน้าของท่านป้าอีกเลย

“เฉิงเจ็ดมาเฉิงหกหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงพูดเสียงเรียบ “นางยังไม่กลับมา เจ้าไปเล่นที่อื่นก่อนเถิด”

แม่นางเฉิงเจ็ดก้าวไปข้างหน้าแล้วเรียกว่าท่านป้า แต่ดูเหมือนฮูหยินใหญ่เฉิงจะไม่ได้ยิน

“ถึงเวลาที่นายใหญ่ต้องกินยาแล้ว ได้ยาหรือยัง” นางพูดกับคนข้างนอก

สาวใช้คนหนึ่งตอบรับ เห็นคนเข้าไปข้างใน แม่นางเฉิงเจ็ดยืนอยู่ที่เดิม นางรู้สึกอ้างว้างยิ่งนัก นางเบ้ปากดวงตารื้นน้ำตา หันหลังกลับและวิ่งหนีไปอีกครั้ง

“แม่นางเจ็ด ท่านจะไปไหน”

สาวใช้ร้องเรียก เห็นแม่นางเฉิงเจ็ดราวกับกำลังบิน

แม่นางเฉิงเจ็ดทำเป็นไม่ได้ยิน เดินตรงไปข้างนอกประตู

“ออกมาได้อย่างไร!” พวกนางตะโกนและรีบตามไป

นอกประตูบ้านมีแต่เสียงเอะอะโวยวาย

ในตรอกที่ทรุดโทรมมีเสียงประทัด เสียงหัวเราะของเด็กๆ และเสียงตะโกนพูดคุยของผู้ใหญ่ แต่เสียงนี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกรำคาญใจ กลับรู้สึก…สดชื่น

แม้แต่แม่นางเฉิงเจ็ดเองก็รู้สึกเหมือนปลาได้น้ำ

แต่ความรู้สึกนี้ช่างหดหู่นัก นางไม่รู้สึกอย่างนั้นในบ้านของนางเอง แต่กลับได้รับจากข้างนอก จากที่ฝั่งเฉิงใต้!

ช่างน่าขันเสียจริง!

เด็กหลายคนหยุดหัวเราะ มองไปที่แม่นางเฉิงเจ็ด

แม่นางเฉิงเจ็ดก็มองไปที่พวกเขาเช่นกัน เด็กใบหน้ามอมแมมมือเปรอะเปื้อนกำลังส่งยิ้มให้ พวกเขาหัวเราะอะไร หัวเราะเยาะตัวเองหรือ

“ไปให้พ้น!” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกน ยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า วิ่งไปทางประตูบ้านของเฉิงเจียวเหนียงจนกระทั่งถูกรั้งเอาไว้

ประตูถนนก็เปิดกว้าง แม่นางเฉิงเจ็ดเห็นคนมากมายนั่งอยู่ในนั้น หญิงผู้นั้นนั่งอยู่ตรงกลาง ทุกคนมองนางด้วยความเคารพ เหมือนกับท่านลุงใหญ่และท่านป้า เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเอะอะวยวายที่หน้าประตู จึงหันไปมอง

“แม่นาง เช่นนั้นพวกเราไปก่อนนะ” เฉิงจี้เอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า มองดูคนเหล่านี้ออกไป พ่อบ้านเฉาโบกมือและห้ามปรามผู้ติดตามที่รั้งแม่นางเฉิงเจ็ดไว้ให้ถอยออก

“เฉิงเจียวเหนียง” แม่นางเฉิงเจ็ดกัดฟันก้าวเข้ามา ก่อนจะตะโกนขึ้น

ยามนี้สาวใช้ของนางต่างก็พยายามจะเข้ามา เป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่อง

“แม่นางเฉิงเจ็ด อย่าหยาบคาย ต้องเรียกว่าท่านพี่สิ” พวกนางกระซิบ พร้อมกับยิ้มขอโทษเฉิงเจียวเหนียง

“เรียกพี่อะไรเล่า” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกน สะบัดมือจากสาวใช้ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า มองเฉิงเจียวเหนียง “ไม่มีใครมองนางเป็นพี่สาว หากการเรียกเจ้าว่าพี่สาวก็คือการมองว่าเจ้าเป็นพี่สาว ถ้าเชื่อก็โง่แล้ว!”

สีหน้าของสาวใช้ซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว

แต่เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ในห้องยังคงยิ้ม

“พูดถูก” นางบอก “เด็กๆ มักไม่พูดโกหก”

“แม่นางใหญ่ อย่าถือสาหาความเด็กๆ เลยนะเจ้าคะ” สาวใช้พูดอย่างลุกลี้ลุกลน อยากจะจับตัวแม่นางเฉิงเจ็ดกลับไปเสียเดี๋ยวนั้น

“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าเป็นคนบ้า พวกเราไม่มีใครชอบเจ้า เพราะไม่มีใครชอบเจ้า เจ้าจึงมาทำร้ายพวกเราหรือ ที่ไม่มีใครชอบเจ้านั้นเป็นความผิดของเจ้า ใครใช้ให้เจ้าน่ารังเกียจ นั่นเป็นความผิดของเจ้า เจ้ามาทำร้ายพวกเราทำไม!” แม่นางเฉิงเจ็ดกระฟัดกระเฟียดพลางตะโกน

คนใช้รีบเอามือปิดปากแม่นางเฉิงเจ็ดทันที

“รอสักครู่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพร้อมกับยืนขึ้น

จะยิงธนูแล้ว!

จะฆ่าคนแล้ว!

ขาของสาวใช้อ่อนยวบลงด้วยความกลัว

“แม่นางใหญ่…” พวกนางตะโกน ก่อนกำลังจะคุกเข่าลง

“เจ้ามานี่สิ” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางโบกมือให้แม่นางเฉิงเจ็ด

สาวใช้ร้องขอความเมตตา แม่นางเฉิงเจ็ดผละตัวออกจากพวกนาง เดินไปพร้อมกับเงยหน้าอย่างท้าทาย

“ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก” นางร้องตะโกน

“เจ้าจะกลัวข้าหรือไม่ เป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แล้วข้าก็ไม่สนด้วย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่ว่าพวกเจ้าจะชอบข้าหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แล้วข้าก็ไม่สนใจ”

แม่นางเฉิงเจ็ดกัดริมฝีปากและจ้องมองนางเขม็ง

“พวกเจ้าไม่ชอบข้า ไม่ใช่ความผิดของข้า แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้าด้วย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ

แม่นางเฉิงเจ็ดมองนางหน้าตึง ไม่พูดอะไร

“หากไม่ชอบคนหรือแม้แต่รังแกคนอื่นก็ไม่ใช่ความผิด โลกก็เป็นเช่นนี้ คนมักชอบเรื่องดีๆ ไม่ชอบเรื่องไม่ดี เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่อาจถกเถียงได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยิ้ม

กำลังพูดอะไรกันแน่

“หากจะโทษ ก็อาจจะเป็นเพราะไม่รู้จักคนคนนั้นจริงๆ” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มพลางพูดพร้อมกับก้าวออกไป “ผู้คนไม่อาจกลั่นแกล้งคนผิดได้”

แม่นางเฉิงเจ็ดจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างตกตะลึง ลืมความโกรธของตนเองไปแล้ว

เหตุใดถึงไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด ใครกันแน่ที่เป็นคนสติไม่สมประกอบ

“นางพูดอะไรอีก”

นายใหญ่เฉิงวางมือลงบนเตียงเพื่อลุกขึ้น ก่อนจะนอนลงอย่างไร้เรี่ยวแรง จึงทำให้ไออย่างรุนแรง

“เจ้าหยุดพูดสักที เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่รู้ความเช่นนี้” ฮูหยินใหญ่เฉิงตะโกนอย่างดุเดือด เอื้อมมือออกไปผลักแม่นางเฉิงเจ็ด

แม่นางเฉิงเจ็ดล้มลงกับพื้น มองฮูหยินใหญ่เฉิง

ป้าใหญ่ผลักตัวเอง ตามหลักแล้วน่าเศร้ากว่าตัวนางทำสีหน้าเย็นชาใส่ตัวเองเสียอีก แต่น่าแปลกที่ตอนนี้นางไม่รู้สึกเศร้าเสียเท่าไร

ไม่ชอบไม่ผิด คนมักชอบเรื่องดีๆ แต่ไม่ชอบเรื่องไม่ดี…

“ให้นางพูด” นายใหญ่เฉิงเอ่ย เร่งแม่นางเฉิงเจ็ด “นางพูดอะไรอีก”

“นางบอกว่า ต่อไปเวลาเจอคนที่ไม่ชอบ ต้องดูก่อนว่าเขาเก่งกว่าเจ้าหรือเปล่า หากเทียบเจ้าไม่ได้ เจ้าทำสิ่งที่อยากทำได้เลย ถ้าเขาเก่งกว่าเจ้า เจ้าควรซ่อนความไม่ชอบของเจ้าไว้ อย่าปล่อยให้เขารู้ อย่าว่าแต่รังแกเขาเลย เช่นนั้นจะมีสิ่งที่ต้องแลก” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ย

นายใหญ่เฉิงยิ้ม

“ดังนั้น การแลกเช่นนี้เป็นการทำร้ายตัวเอง อย่าเกลียดคนอื่น หากจะเกลียดก็ต้องเกลียดตัวเองอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย

คำถามเช่นนี้แม่นางเฉิงเจ็ดย่อมตอบไม่ได้อยู่แล้ว เพราะตอนนั้นนางสับสน ดีแค่ไหนที่จำคำพูดพวกนี้และเอามาเล่าต่อได้ อย่าพูดถึงเรื่องอื่นเลย

ฮูหยินใหญ่เฉิงร้องไห้และขอให้เขาหยุดพูด

“ลองแกล้งทำเป็นว่านางไม่เคยอยู่ในตระกูลของเราเถิด นายใหญ่ พวกเราไม่โกรธแล้วนะ” นางเกลี้ยกล่อม

“นายใหญ่” ข้างนอกประตูมีเสียงร้องของสาวใช้ที่เข้ามาโดยไม่รับอนุญาต “คนของทางการมาแล้วเจ้าค่ะ!”

ทางการมาอีกแล้ว!

“ไม่ให้ฉลองปีใหม่แล้วหรือ จะบีบบังคับให้ข้าเอาหัวไปชนประตูศาลาว่าการให้ตายถึงจะหยุดใช่ไหม” ฮูหยินใหญ่เฉิงตะโกน

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฮูหยินเจ้าคะ คำตัดสินออกมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบบอก

คำตัดสินออกมาแล้วหรือ

นายใหญ่เฉิงก็ลุกขึ้นนั่งทันที ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่สนใจที่จะดูแลนายใหญ่เฉิงอีก นางเองก็รีบเดินไปข้างหน้าเช่นกัน

“จริงหรือ” นางถาม

ทางการตัดสินคดีเปิดโปงเร็วเพียงนี้จริงหรือ แทนที่จะพยายามทำลายตระกูลเฉิงน่ะหรือ

“ใช่เจ้าค่ะ สินเดิมมอบให้แม่นางเฉิง” สาวใช้พูดอย่างดีใจ

สินเดิมมอบให้แม่นางเฉิง

นายใหญ่เฉิงมองสาวใช่ เมื่อสองเดือนก่อนเขาคงไม่เชื่อข่าวดังกล่าว สักวันจะกลายเป็นข่าวดีในใจพวกเขา

ในเวลานี้ เห็นรอยยิ้มของพ่อบ้าน มองดูฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน

ดี ดี ดี

ข้ารู้จักเจ้าไม่ดีพอ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเก่งกาจเพียงใด ความมั่งคั่งของตระกูลพังทลาย ญาติพี่น้องหนีหาย เป็นเรื่องตลกของคนทั้งเมือง

ดี ดี ดี

สิ่งที่ต้องแลกนี้ ข้ายอมรับแล้ว!

นายใหญ่เฉิงถอนหายใจอย่างหนัก ก่อนจะเอนหลังลงบนเตียง ดูเหมือนว่าเขาไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา เขาทำได้เพียงยกมือและส่งสัญญาณให้ฮูหยินใหญ่เฉิงอย่ากรีดร้อง

“ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะพักผ่อนสักหน่อย” เขาพึมพำ

ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ดีใจที่ทราบข่าวเช่นกัน

“ในที่สุดก็ตัดสินแล้วหรือ” นางถาม

อันที่จริงสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คาดหวังทั้งหมด ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับจะให้สินเดิมหรือไม่แล้ว แต่เป็นเรื่องที่เขาจะเอาไปเมื่อใด ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม่นางเฉิงจะยอมปล่อยพวกเขาไปแล้ว

สาวใช้เองก็ยิ้มอย่างสดใส

“ดีเลย ก่อนปีใหม่เช่นนี้ ข้าก็สามารถฉลองปีใหม่ได้อย่างสบายใจแล้ว” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยอย่างมีความสุขพลางลุกขึ้นยืน “ไป ไป ไปหาเจียวเหนียงกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างขนาดนี้ ต้องส่งมอบและตรวจสอบบัญชีอีกหลายร้าน นางคนเดียวจะจัดการเองได้อย่างไร”

ดังนั้น ในฐานะแม่เลี้ยง นางจึงต้องช่วยรับช่วงต่อและดูแลสินเดิมเหล่านี้อย่างสุดหัวใจ ทั้งหมดเป็นของพวกเขา บ้านใหญ่ไม่อาจแบ่งปันผลประโยชน์ได้อีกแล้ว

ฮูหยินรองเฉิงพาคนมาที่หนานเฉิงอย่างมีสุขใจ ทว่าสิ่งที่นางเห็นคือบ้านอันว่างเปล่า

“ไปแล้วหรือ” นางตะโกนอย่างไม่อาจเชื่อ “ไปไหน”

“นายหญิงบอกว่ามีธุระ เปลี่ยนที่อยู่” คนเฝ้าประตูพูดอย่างไม่แยแส พร้อมกับกวาดไม้กวาดปัดฝุ่นไปมา ฝุ่นตลบอบอวล ทำให้ฮูหยินรองเฉิงและคนอื่นๆ หายใจไม่ออก

“เปลี่ยนเป็นที่ไหน” ฮูหยินรองเฉิงถามสะกดความโกรธเคือง

“เรื่องนั้นพวกเราจะรู้ได้อย่างไร” สาวใช้พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

ฮูหยินรองเฉิงคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงคนนั้นอีก นางรู้ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ จึงได้แต่หันกลับมาอย่างจำใจ

“จะปีใหม่แล้วยังไปไหนอีก…” นางพูด พร้อมหันกลับไปพบว่าไม่รู้เมื่อใดที่มีชายแปลกหน้าสามคนยืนอยู่ข้างหลัง นางร้องตกใจอย่างอดไม่ได้

ที่แห่งนี้สกปรกไร้ระเบียบ ชายหญิงวิ่งวุ่นไปทั่ว นางรีบเบี่ยงตัวแล้วเดินจากไป

ไปแล้ว…

คำพูดของสาวใช้ก้องอยู่ในหูของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง เขาเอื้อมมือออกไปและเลิกหมวกขึ้น มองประตูที่ปิดลง รู้สึกได้เพียงความอ่อนแรงและตัวสั่น

“องค์…ท่านชาย” ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังกระซิบอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนนั้นข้าน่าจะให้คนมาเฝ้าไว้…”

เฝ้าไว้หรือ เฝ้าแล้วดูนางจากไป กับไม่ได้แต่นางก็ไปจะต่างกันอย่างไร

จิ้นอันจวิ้นอ๋องกำหมัด

“ไม่ทราบ” เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า หนักราวหนึ่งพันชั่ง ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แม่นางเฉิง ไปแล้วหรือ”

“ไปแล้ว ไปแล้ว บอกไปแล้วยังจะถาม…” สาวใช้พูดอย่างเกียจคร้าน นางเงยหน้าขึ้นและเห็นชายตรงหน้า นางโยนไม้กวาดลงพื้นแล้วยิ้ม “ท่านเป็นท่านชายมาจากเมืองหลวงที่ตกลงกับนายหญิงแล้วใช่หรือไม่”

ประโยคนี้ทำให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนตรง มองผู้หญิงคนนั้น

“ใช่” เขาพูด ราวกับตื่นเต้นเกินไป น้ำเสียงสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ “เจ้าจำข้าได้หรือ”

“นายหญิงบอกว่าเป็นท่านชายรูปงามนี่นา” สาวใช้ยิ้มและหยิบจดหมายจากแขนเสื้อ “นายหญิงบอกว่าที่นี่ไม่สะดวก นางไปหาที่อยู่อาศัยอื่นรอท่านชาย”

ท่านชายรูปงาม!

จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอื้อมมือออกไปและรับมา เขายิ้มกว้าง ใบหน้า ดวงตายิ้มแย้มเป็นเปล่งประกาย

เขารู้ว่านางจะไม่โกหก นางจะไม่โกหก! นางจะไม่โกหกเขา! ไม่ทำแน่!