ยามใกล้ปลายปี ผู้คนที่มาจุดธูปไหว้พระในวัดเสวี่ยนเมี่ยวบางตาไปมาก ทว่าภายในวัดนั้นยังคึกคักดังเดิม
“ไฟยังสว่างไม่พอ พวกเจ้าสองคนไปก่อไฟเพิ่ม…” เจ้าอาวาสซุนเร่งเร้าเด็กน้อย
เด็กน้อยทั้งสองรับคำในทันที่แล้วเดินออกไป
“ยังมีเรื่องอะไรอีก ยังมีอะไรต้องเพิ่มเติมอีกหรือไม่” เจ้าอาวาสซุนเดินวนไปมาอย่างร้อนรน ปากก็บ่นพึมพำกับตัวเอง รู้สึกว่าหลงลืมทำอะไรไปบางอย่าง
ปั้นฉินที่เดินเข้ามาจากด้านนอกเห็นนางเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านอย่าได้วุ่นวายไปเลย” นางเอ่ย “แต่มาพักชั่วคราวเท่านั้น”
“ถึงจะมาพักชั่วคราวก็ถือว่ามาพักอยู่ดี มิกล้าสุกเอาเผากินเช่นนั้นหรอก” เจ้าอาวาสซุนเอ่ย พลางนึกเสียดาย “ตอนหน้าร้อนข้าก็คิดอยากจะเปลี่ยนเตียงในเรือนแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนเสียที ยามนี้หากจะเผาไม้ก็คงจะติดกลิ่นเหม็นหืนเอา”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพิ่งเผาเสียหน่อย ท่านเจ้าอาวาสเองก็เผามาตลอด ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นหืนเสียหน่อย” ปั้นฉินเอ่ยพลางส่ายหน้า “หอมยิ่งนัก”
เจ้าอาวาสซุนยังคงร้อนใจ
“หากดูแลแขกของนายหญิงไม่ดี เช่นนั้นนายหญิงก็จะเสียหน้าน่ะสิ” นางเอ่ยอย่างเป็นกังวล
“หน้าตาเป็นของนายหญิง ไม่มีผู้ใดทำให้นายหญิงขายหน้าได้หรอกเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เจ้าอาวาสซุนเองก็หัวเราะตามพลางพยักหน้า นั่นสินะ หากเป็นนายหญิงก็คงพูดเช่นนี้ นางมองสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้า…
ปั้นฉิน…
“เจ้าเองก็ถูกเปลี่ยนชื่อให้ใหม่หรือ” นางถามด้วยรอยยิ้ม พลางนึกถึงเรื่องราวขบขัน
ปั้นฉินหัวเราะ
“ยังมีผู้ใดถูกเปลี่ยนชื่ออีกหรือเจ้าคะ” นางถาม
นางไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าอาวาสซุน ทว่าฟังดูแล้วก็เหมือนว่าจะยอมรับ
“จินเกอร์…” เจ้าอาวาสเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองพูดคุยไปพลางเดินไปพลาง ปั้นฉินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา
เดิมทีอาจจะมีปั้นฉินที่เป็นผู้ชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคนก็เป็นได้
เสียงคนขานรับดังขึ้นจากอีกฝั่ง
“พี่ปั้นฉิน ท่านเรียกข้าหรือ” จินเกอร์วิ่งเข้ามาแล้วเอ่ยถาม
ปั้นฉินและเจ้าอาวาสซุนสบตากันก่อนจะหัวเราะออกมา จินเกอร์ได้แต่สงสัยว่าพวกนางหัวเราะอะไรกัน
“คนพวกนั้นเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วหรือยัง” ปั้นฉินกลั้นยิ้มก่อนจะกระแอมแล้วถามขึ้น
จินเกอร์พยักหน้า
“พาคนมาไม่น้อยเลย ห้องปีกข้างก็พอนอนได้ ส่วนท่านชายผู้นั้นพักอยู่กับนายหญิง” เขาเอ่ย
ปั้นฉินพยักหน้า
“ข้าไปดูเสียหน่อยเผื่อพวกเขาต้องการอะไร” นางเอ่ย
“ไปเถิด เหตุใดถึงเป็นชายกันหมด ไม่มีแม่นมมาด้วยมาสักคนเลยหรือ” เจ้าอาวาสซุนเอ่ย “เจ้าไปดูพวกเขาเถิด ข้าจะไปดูนายหญิงเอง ไม่รู้ว่านางนอนกลางวันคืนแล้วหรือยัง”
ทั้งสองแยกย้ายกันไปคนละทาง
ปั้นฉินที่ถูกจินเกอร์นำทางมา เพิ่งจะมาเรือนอีกฝั่ง แม้จะเป็นยามฤดูหนาว แต่ที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ดูทรุดโทรมแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าได้รับการบำรุงรักษาอยู่เป็นประจำ
ตอนนั้นนายหญิงก็อยู่ที่นี่สินะ อยู่ในที่อันตรายเช่นนี้กับคนชั่วช้าสองคนนั้น…
ปั้นฉินกัดริมฝีปาก นึกเสียใจที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างนายหญิงในตอนนั้น
“อ๊ะ!”
จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ปั้นฉินก็พลันตกใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
นางยืนอยู่หน้าประตูเรือน ยามมองลอดผ่านประตูไปก็เห็นเด็กคนหนึ่ง
เด็กน้อยอายุราวห้าหกขวบเอาแต่ร้องเรียกคำไม่เป็นภาษาออกมา ในมือแกว่งกิ่งไม้ไปมา
“ลิ่วเกอร์… รีบวางลงก่อน เดี๋ยวจะบาดมือเอา…”
ท่านชายหนุ่มน้อยรีบเดินเข้าไปหา พลางยืนมือออกไปคว้ากิ่งไม้ไว้ ทว่าเด็กน้อยคนนั้นยังกระโดดโลนเต้นตะโกนโหวกเหวกไม่หยุด ชายหนุ่มเสียแรงไปไม่น้อยเพราะต้องแย่งกิ่งไม้มา ทั้งยังต้องระวังไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บตัว ทั้งมือทั้งหน้าถูกทุบตี ทว่าเขากลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ากิ่งไม้ไว้อย่างเบามือ
‘นายหญิง นายหญิง วางสิ่งนั้นลงเถิดเจ้าค่ะ เล่นอันนี้ดีกว่า…’
เบื้องหน้าของปั้นฉินราวกับปรากฏภาพในฝันขึ้นมา เป็นภาพที่อยู่ในวัดเต๋า และเป็นภาพที่เกิดขึ้นในเรือนหลังน้อยนี้เช่นกัน แม่นางน้อยคนหนึ่งใบหน้ายิ้มแย้มกำลังถือกิ่งไม้เริงระบำ ทั้งยังมีสาวใช้คอยวิ่งตามไม่ห่าง
“ลิ่วเกอร์… กินข้าวเถิด…”
“ไหน อ้าปากซิ เด็กดี… ไหนกินอีกคำซิ…”
เมล็ดข้าวถูกพ่นออกมา ชามข้าวถูกปัดกระเด็น
“ของบนพื้นกินไม่ได้นะ…”
ปั้นฉินก้าวไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้
‘นายหญิง รีบทิ้งไปเจ้าค่ะ ของบนพื้นกินไม่ได้นะเจ้าคะ… รีบเอามาให้ข้าเถิด…’
สาวใช้รีบเข้าไปแย่งขนมข้าวเหนียวในมือของแม่นางน้อยในทันใด เสียงร้องไห้ฟูมฟายก็พลันดังขึ้นที่ข้างหู
“ลิ่วเกอร์อย่าวิ่ง…”
เด็กน้อยที่เพิ่งถูกแย่งข้าวปั้นไปจากมือร้องตะโกนพลางวิ่งไปอีกฝั่ง ฝีเท้าโซซัดโซวิ่งตรงออกไปโดยไม่มองทาง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบตามติด ปั้นฉินเอื้อมมือไปคว้าตัวเด็กน้อยไว้
“เด็กดี เด็กดี ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว ไปเที่ยวกัน” นางย่อตัวลงแล้วเอ่ยขึ้น
เด็กน้อยหัวเราะคิกคักให้แก่นาง ใบหน้านั้นดูเลื่อนลอย สองตาเบิกโพรง น้ำมูกน้ำลายไหลย้อยเปรอะเสื้อผ้า
คนบ้านั้นอัปลักษณ์ เพราะเป็นบ้าจึงไม่อาจควบคุมสีหน้าอารมณ์ได้ จึงมักทำท่าทางแปลกประหลาดอยู่เสมอ ในสายตาคนทั่วไปแล้วคงน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก
ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นาน เด็กน้อยก็ผลักนางออกอย่างแรง ก่อนจะวิ่งโซซัดโซเซไปทั่วลานบ้าน ส่วนปากก็ส่งเสียงร้องไม่หยุด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเหลียวไปมองถ้วยข้าวที่หกกระจายอยู่บนพื้น ก่อนจะรีบหันไปเก็บกวาด
“ให้ข้าจัดการเถิดเจ้าค่ะท่านชาย” ปั้นฉินเอ่ยขึ้นในทันใด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเองก็ไม่ได้ดึงดันจะทำต่อ ก่อนจะนั่งลงกับพื้น มองดูเด็กน้อยที่วิ่งเล่นพลางตะโกนโห่ร้องอยู่ในลานบ้าน เขาเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
“แต่ก่อนเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ย “เขาป่วย หากรักษาหายแล้วก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว”
ปั้นฉินที่นั่งย่อตัวลงเก็บกวาดเหลียวไปมองเขาก่อนจะขานตอบรับ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งพักได้ไม่นานก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปอีกครั้ง
“ลิ่วเกอร์ พี่เปลี่ยนชุดให้เจ้าดีหรือไม่” เขาเอ่ยพลางรั้งตัวเด็กน้อยไว้
เด็กน้อยเข้าใจคำพูดของเขาเสียที่ไหน เอาแต่ร้องเอะอะโวยวายไม่รู้ว่าต้องการจะทำสิ่งใด
ชายหนุ่มนั้นไม่เหมาะกับการดูแลคนเลยจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องดูแลเด็กบ้าเลย เหตุใดท่านชายผู้นี้ถึงไม่เรียกให้คนมาตามรับใช้
“ท่านชาย ให้ข้าช่วยเถิดเจ้าค่ะ” ปั้นฉินรีบลุกขึ้นพลางเอ่ย ก่อนจะเดินเข้าไปหา ทว่าขณะที่ยื่นมือออกไปนั้น…
“เจ้าไม่ต้องมาช่วย!” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเหลียวกลับมาตวาดลั่น
ปั้นฉินตกใจจนชะงักฝีเท้าลง
“ไม่ต้องให้พวกเจ้ามาช่วย พวกเจ้าก็ช่วยได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีผู้ใดช่วยได้ตลอดชีวิตหรอก” น้ำเสียงของจิ้นอันจวิ้นอ๋องอ่อนลง ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยพึมพำ มือข้างหนึ่งก็คว้าตัวเด็กน้อยเอาไว้ “ลิ่วเกอร์ ลิ่วเกอร์ เด็กดี พี่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าเอง”
เด็กน้อยยังคงตะโกนโหวกเหวกไม่หยุด พอเห็นท่านชายหนุ่มน้อยที่ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่นึกรำคาญ ปั้นฉินก็รู้แสบจมูกเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา นางก้มหน้าลงไม่เอ่ยคำใดต่อ ก่อนจะเก็บถ้วยชามแล้วเดินเข้าไปในครัว จากนั้นก็หยิบไม้กวาดออกมาเก็บกวาดเศษซากที่กระจายบนพื้น
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตูเรือน
“นายหญิง” ปั้นฉินเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างดีใจ “ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงสวมชุดคลุมมีหมวกเดินเข้ามาแล้วพยักหน้าให้ สายตาจ้องมองไปที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางก้มหน้าย่อเข่าคำนับให้
“เจ้าลองดู คนป่วยคือคนนี้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย ดันตัวเด็กน้อยในมือที่เอาแต่ยุดยื้อจะวิ่งออกไป สีหน้าดูตื่นเต้นไม่น้อย พูดจบก็นึกอะไรได้บางอย่าง “เราไปคุยกันข้างในเถิด”
ทว่าจะพากันเข้าไปในเรือนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เด็กน้อยเอาแต่ตะโกนโวยวายไม่ยอมไป ก่อนนั่งลงตรงนั้นเสีย
“ไม่เป็นไร จะดูที่ไหนก็เหมือนกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า ทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
“อ๋อ ป่วยเพราะเขาตกลงมาจากที่สูง” เขานึกขึ้นได้ก็เอ่ยขึ้นมาในทันใด “สูง… ประมาณเรือนหนึ่งชั้น… หรืออาจจะสูงกว่านั้นนิดหน่อย…”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้วจ้องมองเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนพื้นต่อ
เด็กน้อยไม่โวยวายอีกต่อไป หากแต่ก้มหน้าขุดดินเล่น เผลอเพียงพริบตาเดียวก็ควักดินขึ้นมายัดใส่ปาก จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบคุกเข่าลงแล้วยื้อมือไว้ เด็กน้อยก็แผดเสียงร้องไห้ในทันที
“ลิ่วเกอร์ ลิ่วเกอร์ สิ่งนี้กินไม่ได้”
“ลิ้วเกอร์ ข้าจะไปเอาขนมมาให้เจ้ากิน”
เฉิงเจียวเหนียงก้าวถอยหลัง ปั้นฉินมองชายหนุ่มปลอบเด็กที่กำลังร้องไห้ไป พลางรีบร้อนไปหยิบขนมมาให้ แน่นอนว่าขนมนั้นไม่ได้ถูกเอาไปกิน แต่กลับถูกเอาไปบีบจนเละก่อนจะกัดเพียงหนึ่งคำแล้วโยนทิ้ง จนเลอะเทอะไปทั่วทั้งตัวคนทั้งพื้นดิน
“บาดเจ็บมาได้เดือนกว่าแล้ว…”
จิ้นอันจวิ้นปลอบเด็กน้อยไปพลาง เอ่ยอธิบายกับเฉิงเจียวเหนียงไปพลาง
“ตอนนั้นหมดสติไปห้าวัน… พอฟื้นขึ้นมาก็กินได้ นอนได้ แต่จำใครไม่ได้เลย”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“แค่จำใครไม่ได้อย่างนั้นหรือ” นางถาม สายตามองไปยังเด็กน้อยที่หัวเราะชอบใจยามได้นอนเล่นนิ้วมือของตัวเองอยู่บนพื้น
ดูท่าทางแล้วคงไม่ใช่เพียงแค่จำใครไม่ได้…
“เขา เขาเหมือนจะสติเลอะเลือนไปบ้าง…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบพูดต่อพลางแหงนหน้ามอง
เฉิงเจียวเหนียง “อาการป่วยเช่นนี้ ข้าเกรงว่าปล่อยทิ้งไว้นานคงไม่ดี จึงได้พาเขามาหาเจ้าที่นี่ เจ้าลองดูทีว่ารักษาได้หรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วส่ายหน้า
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกพรวดขึ้นมาในทันที ปั้นฉินตกใจสะดุ้งตัวโยน
“เจ้า เจ้าดูอีกที ตั้งใจดู วันนี้ไม่ได้ วันพรุ่งนี้ค่อยดูอีกที” เขาเอ่ย
น้ำเสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ สายตาอ้อนวอน จนปั้นฉินต้องหลุบตาลง
“อาการป่วยของเขา ข้ารักษาไม่ได้”
เสียงของนายหญิงดังไปทั่วทั้งลานบ้าน ก้องกังวานในหูของจิ้นอันจวิ้นอ๋องอย่างชัดเจน
“ไม่ เจ้าลองดูอีกที เจ้าลองดูอีกที ตั้งใจดู” เขาเดินเข้ามาใกล้ เอ่ยน้ำเสียงสั่นเทา
“องค์ชาย” เฉิงเจียวเหนียงสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม “ท่านพาเขามาที่นี่เพราะกลัวว่าอาการป่วยปล่อยทิ้งไว้นานจะไม่ดี คราวก่อนท่านบอกว่าท่านรู้ว่ากฎของข้าเป็นอย่างไร”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักไป ฝ่ามือกำแน่นไม่เอ่ยคำใด
“อาการป่วยของชิ่งอ๋องข้าไม่อาจรักษาได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ในเมื่อท่านรู้กฎของข้าแล้ว ท่านก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้ารักษาเขาไม่ได้”
ลานบ้านเงียบสงัดในทันใด ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะฟังไม่ได้ศัพท์ของเด็กน้อยที่นอนดีดดิ้นอยู่บนพื้น
ข้ามีกฎเกณฑ์ในการรักษาโรค
รักษาต้องมาถึงที่ ไม่ถึงตายไม่รักษาให้ ไม่แต่งงานกับตระกูลที่เคยรักษาให้
เขารู้ดี เขาย่อมรู้ดี เขารู้เรื่องราวของนางทั้งหมด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นมองไปทั่วลานบ้าน
เขารู้แม้กระทั่งว่าที่นี่เคยมีคนถูกไฟคลอกตายเพราะฟ้าฝ่า
เขาสูดหายใจลึกก่อนจะยิ้มออกมา
“เขาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว” เขาชี้นิ้วไปที่เด็กน้อยที่นอนอยู่บนพื้น
ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยล้าหรืออย่างไร เด็กน้อยไม่ได้ขุดดินเล่นหรือเล่นกิ่งไม้อีกต่อไป ทว่ากลับนอนน้ำลายไหลย้อยเอ่ยคำที่ฟังไม่รู้ความออกมา
“เขาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ก็เท่ากับปางตายแล้วมิใช่หรือ”
เขาพูดจบก็เหลียวไปมองเฉิงเจียวเหนียง จ้องมองนางไม่วางตา ราวกับอยากจะตรึงร่างนางไว้ตรงหน้าไม่ให้ขยับไปไหน ทว่ากลับไม่เป็นผล หญิงสาวยังคงส่ายหน้าช้าๆ ดังเดิม
“ไม่ใช่” นางตอบ
“ใช่!” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตะโกนลั่น ก่อนจะก้าวยาวมาเข้าแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง ก้มหน้าลงมองปลายจมูกของนาง “ใช่!”
น้ำเสียงของเขาเดือดดาลไม่น้อย ทั้งยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง ราวกับอยากจะเอื้อมมือออกไปกระชากตัวนางเสียตั้งแต่วินาทีนั้น หากเป็นยามอื่นอย่างตอนที่เหล่าคนตระกูลเฉิงตะโกนด่าทออย่างแค้นเคือง ปั้นฉินก็คงเข้าไปขวางตั้งแต่แรก ไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายเข้าใกล้นายหญิงได้แม้แต่ก้าวเดียว ทว่ายามนี้นางราวกับลืมไปเสียสนิทว่าต้องก้าวเท้าออกไป ได้แต่รู้สึกว่าอยากจะร้องไห้ออกมา
นางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้นั้น แม้น้ำเสียงจะฟังดูเดือดดาล ทว่าในแววตานั้นกลับดูสิ้นหวัง
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา ก่อนจะยื่นมือออกไปกุมบ่าของเขาไว้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องแข็งทื่อไปทั้งร่าง สัมผัสได้ถึงผ่ามือที่ตบลงบนบ่าอย่างแผ่วเบา
“ฟางป๋อฉง”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นข้างหู
ไม่มีผู้ใดเรียกเขาด้วยชื่อนี้มานานมากแล้ว เขาถึงขนาดเคยคิดว่าไม่มีผู้ใดจำชื่อของตนได้แล้ว
ฟางป๋อฉง ฟางป๋อฉง เจ้าอย่าได้ทุกข์ใจไป
แม้จะไม่มีผู้ใดเอ่ยคำนี้กับเขา ทว่าสัมผัสแผ่วเบาบนบ่านั้นสื่อความหมายที่ว่าออกมา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเบี่ยงหน้าหนีพลางเชิดคางขึ้น
“เขาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ต่างอะไรกับคนตาย” เขาเอ่ย พยามยามปรับน้ำเสียงให้ช้า ระงับอารมณ์ให้เย็นลง เพราะเกรงว่าตนจะเสียกิริยา
“อย่างอื่นเขาก็ปกติดี แข็งแรงดี กินได้ นอนได้ เล่นได้ หัวเราะได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เขาไม่ตายหรอก”
“แต่ว่าเขาตายแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันกลับมามองนางแล้วตะโกนขึ้น ก่อนจะกดเสียงต่ำลงแล้วส่ายหน้า “เขาตายแล้ว ลิ่วเกอร์ของข้าตายแล้ว ตายไปแล้ว”
ปั้นฉินทนต่อไปไม่ไหว นางยกมือขึ้นกุมหน้าร้องไห้
“หากลิ่วเกอร์ของท่านตายไปแล้ว ข้ายิ่งรักษาให้ไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจ้องมองนาง ทว่าใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้ายังคงเรียบเฉยดังเดิม ยามพบเจอกันอีกครั้งก็ไม่ตกใจไม่ยินดี ยามได้ยินว่ามาขอให้รักษาก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน แม้แต่เห็นเด็กน้อยผู้นั้นแล้วก็ไม่ได้นึกรังเกียจหรือเห็นใจ ไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น เห็นแล้วก็เหมือนไม่เห็น ราวกับไม่เกี่ยวกับนางเลยสักนิด
นั่นสินะ ไม่เกี่ยวกับนางเลยสักนิดนี่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวถอยหลัง ก่อนจะเงยหน้ามองนางอีกครั้ง
“นั้นสินะ ข้าเข้าใจแล้ว หากไม่ถึงตาย เจ้าก็ไม่รักษาให้” เขาเอ่ยพลางสูดหายใจลึก “แล้วท่านชายฉินสิบสามเล่า เขาก็ไม่ได้ตายนี่ เจ้าก็รักษาให้เขาไม่ใช่หรือ”
“เขาต่างออกไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางส่ายหน้า
“อ๋อ ใช่ นั่นสินะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า “เขาก็ถือว่าปางตาย เพราะถูกเจ้าทำให้โมโหจนเกือบตาย”
เขาเอ่ยพลางหัวเราะแล้วก้าวไปข้างหน้า
“เช่นนั้นเจ้าก็รักษาลิ่วเกอร์แบบนั้นสิ เจ้าแกล้งทำให้เขาตกใจ หรือว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เขาตาย…” เขาเอ่ยอย่างร้อนรน
เฉิงเจียวเหนียงยังคงส่ายหน้าดังเดิม
“เจ้าหยุดส่ายหน้าเสียที!” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตวาดลั่นขึ้นมา ใบหน้าคล้ำเขียว มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่น
เสียงนั้นพาลให้ทั้งลานบ้านเงียบสงัดลงอีกครั้ง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉิงเจียวเหนียงก็ส่ายหน้าอีกครั้ง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนางราวกับทั้งโมโหทั้งอยากจะหัวเราะออกมา
“ท่านชายฉินต่างจากเขา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย มองดูเด็กน้อยที่นอนอยู่บนพื้น ยามนี้เด็กน้อยผู้นั้นกระพริบตาปริบๆ ราวอยากจะนอนหลับ “เขาไม่มีจิตใจ”
ไม่มีจิตใจอย่างนั้นหรือ
ปั้นฉินมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างตกตะลึง เหมือนกับนายหญิงแต่ก่อนน่ะหรือ…
“ท่านชายฉินยังมีจิตใจ รู้ว่าตนเองป่วย มีความต้องการ มีความหวาดกลัว มีความโกรธแค้น ทุกข์เป็น สุขเป็น ดีใจเป็น โศกเศร้าเป็น ที่เขาเจ็บป่วยไม่ใช่ที่ขา แต่อยู่ที่ใจ ใจป่วยคือโรคถึงตาย เช่นนั้นแล้วข้าถึงรักษาเขาได้” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อพลางชี้ไปที่เด็กน้อย “ทว่าน้องชายของท่านในตอนนี้นั้นไร้จิตใจ สำหรับเขาแล้ว เขาไม่รู้สึกว่าตนเองป่วย เหมือนกับที่ท่านพูด เขาไม่ใช่ลิ่วเกอร์ของท่านอีกต่อไป แต่สำหรับเขาแล้ว เขาไม่รู้ว่าตนเองคือผู้ใด ทั้งยังไม่สนใจด้วยว่าตนเองจะเป็นใคร เขาก็คือเขา ไม่เป็นไม่ตาย ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความต้องการ ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะอย่างนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้ป่วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นโรคถึงตายหรือไม่”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนาง เขาส่ายหน้าไปมา มือกำหมัดแน่น
ไม่ใช่ ไม่ใช่ เขาป่วย เขาป่วย เจ้ารีบพูดออกมาว่าเขาป่วย เขาป่วย
เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าย่อเข่าคำนับให้
“เช่นนั้นแล้วองค์ชายเพคะ น้องชายของท่านไม่ได้เป็นโรคถึงตาย ข้าไม่อาจรักษาให้ได้” นางเอ่ย
ลานบ้านเงียบสงัดลงอีกครั้ง ทว่าความเงียบงันนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ไม่ได้มีความรู้สึกกดดันหรือแค้นเคืองเหมือนเมื่อครู่ แต่รู้สึกราวกับผิวน้ำที่นิ่งสงบ
“อย่างนั้นหรือ เรา… เข้าใจแล้ว”
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวทว่ารู้สึกเหมือนเวลานั้นผ่านมานานแสนนาน ทันใดนั้นเสียงเอื้อนเอ่ยของชายหนุ่มก็ดังขึ้น
เรา…
คำแทนตัวของราชนิกูลผู้สูงศักดิ์
ปั้นฉินโค้งคำนับ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องโน้มตัวลงก่อนจะยื่นมือออกไปอุ้มเด็กน้อยที่นอนหลับอยู่บนพื้นขึ้นมา
“ลิ่วเกอร์ บนพื้นนอนไม่ได้หรอกนะ มันเย็น” เขาเอ่ยพลางโยกเด็กน้อยในอ้อมอกไปมา “พี่จะพาเจ้าไป… ไปนอนบนรถ”
เขาไปได้เข้าไปในเรือน แต่กลับเดินตรงออกไปข้างนอก
นั่นหมายความเขาจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป ปั้นฉินทอดถอนใจอยู่ในใจ ก่อนจะแอบเหลือบตามองเฉิงเจียวเหนียงอย่างห้ามไม่ได้ ทว่าสีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงนั้นยังคงเรียบเฉยดังเดิม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่เดินมาถึงหน้าประตูแล้วกลับหยุดฝีเท้าลง
“เฉิงฝั่ง”
เขาเอ่ยขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกชื่อนี้ ปั้นฉินเองได้แต่งุนงง
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันหลังมองมา ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยงตรงของวสันตฤดู ดวงตาดำขลับล้ำลึกดั่งสายน้ำบนใบหน้ามองมาอย่างเชือดเฉือน
“ข้าอยากถามเจ้าว่า ที่เจ้าไม่รักษา เพราะเจ้ารักษาไม่ได้จริงๆ หรือว่าอิงจากกฎเกณฑ์ของเจ้ากันแน่” เขาเอ่ยขึ้น