ที่เจ้าไม่รักษา เพราะเจ้ารักษาไม่ได้จริงๆ หรือว่าอิงจากกฎเกณฑ์ของเจ้ากันแน่

ยามเมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา แม้แต่ปั้นฉินที่ไม่เคยหรืออยากจะเข้าใจคำพูดใดๆ ก็ยังเข้าใจความหมายของประโยคนี้

นางจำได้เลือนลางว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน คราวนั้น ชายหนุ่มถามนายหญิงว่ารู้ได้อย่างไรว่าหมาป่าถูกล่อออกมาโดยฝีมือมนุษย์

อันที่จริง ในขณะนั้นนางไม่ได้สังเกตว่าประโยคนี้ผิดอะไร นางเพียงสังเกตเห็นความผิดปกติของพี่ปั้นฉินที่ฉลาดซึ่งดูเหมือนจะหวาดกลัวอย่างมาก ต่อมาปั้นฉินคนที่ฉลาดบอกนางถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความอบอุ่นในขณะนั้น

ในเวลานี้ ชายหนุ่มสงสัยนายหญิงอีกแล้วหรือ

เขาคิดว่านายหญิงจงใจไม่รักษาโรคหรือ

เขาจะโกรธแล้วหรือ

ปั้นฉินหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง

สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงยังคงเหมือนเดิม

“กฎอิงจากความสามารถของตัวข้าเอง” นางเอ่ยโดยไม่ลังเล “กฎไม่ได้กำหนดไว้สำหรับคนอื่น และไม่ได้ให้คนอื่นดู แต่เพื่อตนเอง เพื่อบอกตัวเองและเตือนตัวเองว่า ชามใหญ่แค่ไหนและกินอาหารได้มากแค่ไหน”

ปั้นฉินรีบหันไปมองจิ้นอันจวิ้นอ๋องอีกครั้ง

ครั้งนี้เขาจะเชื่อหรือไม่ เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เชื่อคำพูดของนาง

“เฉิงฝั่ง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองดูนาง “ครั้งหนึ่งเจ้าก็เคยเป็นคนสติไม่สมประกอบไม่ใช่หรือ เจ้าก็เคยเป็นแบบเดียวกันไม่ใช่หรือ ไม่เป็นไม่ตาย ไร้ความรู้สึก ไร้ความต้องการ ไม่ความยินดีและความหวาดกลัว แต่ตอนนี้เจ้าก็หายแล้วไม่ใช่หรือ”

เขาก้าวไปข้างหน้า น้ำเสียงสั่นเครือ

“เจ้าก็เคยบ้าเหมือนเขาไม่ใช่หรือ เคยเนื้อตัวสกปรก น่าเกลียดและโง่เขลาเช่นเขา ถูกคนอื่นรังเกียจ แต่ตอนนี้เจ้าก็หายดีแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าหายดีแล้ว ไฉนเขาจะหายดีไม่ได้ เจ้าก็รักษาหายได้ไม่ใช่หรือ”

ใบหน้าของปั้นฉินซีดเผือด ความตกตะลึงในดวงตาอย่างที่จะบดบัง

หายแล้วก็คือหายแล้ว ไม่มีใครอยากคิดถึงช่วงเวลาที่เลวร้าย แม้กระทั่งนางก็ลืมช่วงเวลาเหล่านั้น

เขากลับเอ่ยถามออกมา

สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงยังคงเหมือนเดิม นางส่ายหัวอีกครั้ง

เปล่า เฉิงเจียวเหนียงยังไม่หายดี คนที่รักษาให้หายดีคือเฉิงฝั่ง ไม่ใช่เฉิงเจียวเหนียง แต่เฉิงเจียวเหนียงเด็กสติไม่สมประกอบคนนั้นได้ตายไปแล้ว

จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนางโดยไม่พูดอะไรแล้วหันหลังกลับ

แปลว่ายังไม่เชื่อใช่หรือไม่…

ปั้นฉินถอนหายใจในใจ มองดูชายหนุ่มเดินออกไปไกล เขาก้าวออกจากประตูจนลับสายตา

“เจ้าอาวาส เจ้าอาวาส…”

เด็กสองคนรีบร้อนเข้ามาก่อนจะเอ่ยขึ้น

เจ้าอาวาสซุนยังคงบอกลูกศิษย์ให้ซื้อข้าวของเครื่องใช้ภายในเรือนของแม่นางเฉิงให้แขกพัก แม่นางเฉิงอาศัยอยู่ในวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ชั่วคราว จะต้องดูแลอย่างดีทั้งสองฝ่าย ต้องตกแต่งให้ดี พอถูกขัดจังหวะ นางจึงไม่สบอารมณ์นัก

“มีเรื่องอะไร ข้ากำลังยุ่งอยู่”

“เจ้าอาวาส แขกของแม่นางเฉิงไปแล้ว” เด็กๆ เอ่ย

ไปหรือ ยังไม่ได้พักเลย เหตุใดถึงไปแล้วเล่า

เจ้าอาวาสซุนลุกขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าอาวาส ไปดูเถิด”

นางรีบออกจากวิหารแล้วยืนอยู่นอกประตู เด็กๆ ชี้ลงไปข้างล่าง

ผู้คนบนถนนภูเขาได้เดินลงไปแล้ว รถและม้าถูกลากออกมาอีกครั้ง เหล่าองครักษ์พากันขึ้นม้า ชายหนุ่มในเสื้อคลุมขึ้นรถพร้อมกับเด็กในอ้อมแขน ตามมาด้วยเสียงตะโกนสองสามหน รถและม้าก็ออกเดินทาง

แม้ว่าปีใหม่จะใกล้เข้ามาแล้ว แต่ก็ยังมีชาวบ้านที่หาบเร่มาทำการค้าเล็กๆ ที่เชิงเขา มองดูคนเหล่านี้ออกไป พวกเขาก็อยากรู้อยากเห็นพากันชี้นิ้ว

“เป็นผู้แสวงบุญมาจากที่ใดกัน” ชาวบ้านรั้งประตูวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ และถามเด็กคนหนึ่ง

“ไม่ใช่ผู้แสวงบุญ” เด็กเอ่ย

“เช่นนั้นมาทำอะไร” ชาวบ้านถามด้วยความสงสัย

“ข้าก็ไม่รู้” เด็กคนหนึ่งบอกก่อนจะหันไปถามเด็กอีกคนว่า “…ไหนบอกว่าจะอยู่อย่างไรเล่า เหตุใดถึงกลับไปเสียแล้ว”

เด็กอีกคนกอดอกพลางส่ายหัว

“ใครจะรู้กันเล่า” นางพูด หันไปเห็นชาวบ้านที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะส่งเสียงเอ๊ะ พลางขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นคนตระกูลไหน เหตุใดไม่เคยเห็นมาก่อน”

ชาวบ้านคนนั้นหัวเราะ ชี้ไปด้านหลัง บอกตำแหน่งบ้านและเดินจากไป

“ตระกูลกัวหรือ หมู่บ้านกัวหรือ อยู่ห่างไกลเพียงนี้เหตุถึงมาค้าขายที่นี่ได้เล่า” เด็กน้อยส่ายหัว “ใกล้จะปีใหม่แล้วแท้ๆ…”

ชาวบ้านเดินออกไปพร้อมกับตะกร้าแล้วเลี้ยวเข้าไปยังถนนบนภูเขา ไม่ไกลนักก็เห็นรถม้าจอดอยู่ เขายกม่านขึ้น รถม้าก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

ถนนบนภูเขากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสายลม มีเพียงเสียงประทัดที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราวจากหมู่บ้านใกล้เคียง ทันใดนั้นก็มีคนออกมาจากหลังต้นไม้แห้ง เสียงกรอบแกรบดังขึ้นจากอีกฟากของถนน หากใครผ่านมาแถวนี้คงตกใจน่าดู

คนเหล่านั้นมองซ้ายขวา สบัดเสื้อผ้าโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ก่อนจะหันหน้าวิ่งไปทางรถม้า

ถนนบนภูเขากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เนินเขาที่อยู่ไม่ไกล มีคนยืนขึ้นแล้วหันหลังวิ่งไปยังวัดเสวียนเมี่ยว

“คนไม่เยอะ ประมาณเจ็ดแปดคน” พ่อบ้านเฉาพูดด้วยสีหน้าหนักใจ

ใบหน้าของปั้นฉินซีดเผือด

“ท่านหมายถึงมีคนกำลังจับตาดูเราอยู่หรือ พวกเขาต้องการอะไร เป็นผู้ใดกัน” นางถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

พ่อบ้านเฉาส่ายหัว

“ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าคิดว่าไม่น่าจะเป็นคนของเรา” เขาแค่นยิ้มพลางเอ่ย เขาพูดถึงเพียงเท่านั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิง ไม่อย่างนั้นออกเดินทางช้ากว่าเดิมหน่อยเถิด”

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มและส่ายหัว

“ไม่เป็นไร แม้ว่าจะไม่ใช่คนของเรา แต่ดูจากที่พวกเขาหลบเลี่ยงไปอย่างระมัดระวังเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นคนที่เคารพกฎระเบียบมาก ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามกฎ ก็ไม่เป็นไร” นางพูด

นายหญิงผู้นี้รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ในเมื่อนางบอกว่าไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร พ่อบ้านเฉาพยักหน้า

“นายหญิง ข้าได้รวบรวมร้านค้าและที่นาทั้งสองแห่งแล้ว” เขาเอ่ย “ข้าจะตรวจสอบโดยเร็วที่สุด”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

เนื่องจากไม่มีแขกอยู่ที่นี่ เฉิงเจียวเหนียงย่อมไปอาศัยอยู่ในวัดไท่ผิง เจ้าอาวาสซุนพูดคุยกับนางอย่างสนุกสนาน แน่นอนโดยส่วนใหญ่แล้วนางเป็นคนพูด

ยามม่านฟ้ามืดมิด เด็กสองคนจุดโคมในวัดไท่ผิง พลางฟังเสียงหัวเราะของเจ้าอาวาส

“…จริงๆ นะ จริงๆ คนจิตใจดีคนนั้นเชื่อแล้วจริงๆ…”

“…เซียนหญิง เป็นไปได้อย่างไร”

เด็กทั้งสองมองหน้ากันแล้วแลบลิ้นออกมา

“ที่แท้เจ้าอาวาสพูดเก่งเพียงนี้เชียวหรือ” คนหนึ่งส่งเสียงพูดแล้วหัวเราะเบาๆ

“ผู้คนต่างบอกว่าคำพูดของเจ้าอาวาสของพวกเราล้ำค่ามาก เพื่อให้ได้คำพูดของนางหนึ่งประโยคต่างยอมใช้เงินซื้อ” อีกคนก็หัวเราะ

“ถ้าอย่างนั้นในคืนนี้เจ้าอาวาสก็หาเงินได้มากมายเลยน่ะสิ” คนหนึ่งพูดออกมาก่อน

ทั้งสองเขยิบตัวเข้าหากันแล้วหัวเราะคิกคัก

ยามค่ำคืนนี้ไม่ได้หยุดยั้งการขับเคลื่อนของรถม้า เดินบนถนนช่วงใกล้ปีใหม่เช่นนี้ มักจะได้ยินเสียงประทัดที่อยู่ไกลออกไป เติมความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้กับค่ำคืนฤดูหนาวที่เปลี่ยวเหงา

รถม้าสั่นไหว เด็กน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนร้องงอแง ปัดป่ายสองมือไปมา ปัดป่ายผ้าห่มคลุมร่างกายให้ร่วงหล่น

จิ้นอันจวิ้นอ๋องดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อหุ้มแขนของเขา หยิบผ้าเช็ดตัวข้างหนึ่งเช็ดน้ำลายที่ปากของเด็กน้อย โอบอุ้มแล้วตบเบาๆ ก่อนจะมองดูนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

ความหวังสุดท้ายอันริบหรี่หายไปแล้ว

เขาตกใจเมื่อรู้ว่าองค์ชายรองประสบอุบัติเหตุ ได้ยินความสิ้นหวังในการรักษาจากหมอหลวง เมื่อคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เขาพลันโกรธเคืองจนแทบจะแตกสลาย

แล้วความตื่นเต้นก็มาถึง เมื่อเขาตัดสินใจพาองค์ชายรองออกจากวังไปหาหมอ ความคาดหวังเต็มเปี่ยมยามที่เขาออกเดินทางบนถนนทั้งกลางวันและกลางคืน จินตนาการถึงความสุขหลังจากองค์ชายรองหายดี และความมั่นใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวผู้นั้น

เมื่อได้ยินประโยคที่ว่าจะไม่รักษาในวันนี้ ตัวเขาก็ก็ชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า

ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ราวกับเขาประสบกับเรื่องราวที่ต้องเผชิญมาทั้งชีวิต ประหนึ่งชีวิตนี้ใกล้จะสิ้นสุดลง

จิ้นอันจวิ้นอ๋องค่อยๆ หายใจออก หลับตาลงแล้วเอนตัวพิงรถ

นี่คือความฝันใช่ไหม เมื่อเขาลืมตาขึ้นยามรุ่งสาง เขาจะยังคงอยู่ในวัดเต๋าเล็กๆ บนภูเขาใช่หรือไม่ จะมีสาวใช้บอกให้เขาเปิดประตูอย่างอ่อนโยน จากนั้นหญิงสาวคนนั้นจะเข้ามาแล้วให้ยากับลิ่วเกอร์ อ้อ หรือจะฝังเข็มทองให้ลิ่วเกอร์ ยามนั้นลิ่วเกอร์คงดื้อดึงไม่เชื่อฟังอย่างแน่นอน ว่ากันว่าตอนที่นางรักษา จะไม่ให้คนภายนอกเข้าไปด้วย เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า

จิ้นอันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว เช่นนี้ไม่ดีแน่ แต่ผู้หญิงคนนั้นดูมีเกียรติและมีคุณธรรม อันที่จริงไม่ว่านางทำอะไรก็ตามล้วนแต่เป็นระเบียบเรียบร้อย บางทีนางอาจจะทำให้ลิ่วเกอร์เป็นลมไปเลยก็ได้

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มกว้าง รถม้าโคลงเคลง เด็กในอ้อมแขนร้องออกมา ดึงเขาออกจากภวังค์

แม้ว่าจะเป็นรถม้าชั้นดี แต่ก็ไม่สามารถกันสายลมยามค่ำคืนไม่ให้เข้ามาได้ ไฟถ่านที่ลุกโชนไม่สามารถต้านทานความหนาวเย็นของคืนเหมันตฤดูได้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องตัวสั่นเทา ฟังเสียงรถและม้าด้านนอก เสียงหายใจของผู้ติดตาม เสียงกระซิบกระซาบเป็นครั้งคราว และเสียงประทัดในท้องฟ้ายามราตรี

นี่ไม่ใช่ความฝัน นี่คือความจริง ความจริงที่เย็นชาและสิ้นหวัง

จะไม่มีใครมารักษาลิ่วเกอร์แล้ว ลิ่วเกอร์ของเขาจะกลับมาไม่ได้แล้ว

จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหน้า กอดเด็กไว้ในอ้อมแขนแน่น

กลับมาไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่มีอีกแล้ว

เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

ฟางป๋อฉง ฟางป๋อฉง อย่าทุกข์ใจไปเลย

จิ้นอันจวิ้นอ๋องเหยียดแขนออกมากอดปลอบประโลมตัวเอง