ยามรุ่งสาง ประตูวัดไท่ผิงก็ถูกเจ้าอาวาสซุนเคาะจนเกิดเสียง
“ท่านเจ้าอาวาส เหตุใดถึงมาแต่เช้าเช่นนี้อีกแล้ว” เด็กน้อยที่มาเปิดประตูให้เอ่ยถาม
“อีกแล้วอย่างนั้นหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน” เจ้าอาวาสซุนเอ่ย
“เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี่เอง” เด็กน้อยเอ่ยพึมพำ
เจ้าอาวาสซุนไม่สนใจนาง ก่อนจะย่างเท้าเดินเข้ามา
“เตรียมอาหารเช้าแล้วหรือยัง แม่นางกินอาหารพิถีพิถันนัก พวกเจ้าตั้งใจหน่อยล่ะ ทำอะไรเบาไม้เบามือด้วย อย่าได้เสียงดังรบกวนนายหญิงตอนนอน” นางเอ่ยพลางเดินยิ้มเข้าไปข้างใน
“นายหญิงตื่นตั้งนานแล้ว เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เองเจ้าค่ะ” เด็กน้อยเอ่ย
เจ้าอาวาสซุนชะงักไป
“เช้าขนาดนั้นเชียวหรือ”
บนเขายามเหมันตฤดูนั้นยิ่งหนาวเหน็บ เสียงฝีเท้าแผ่วเบานั้นดังก้องไปทั่วเขา หมอกน้ำค้างโปรยตัวลงมาเป็นชั้น
เฉิงเจียวเหนียงเดินนำหน้า ในมือถือกิ่งไม้อยู่ก้านหนึ่ง ใช้แหวกทางปัดกิ่งก้านใบไม้ที่ร่วงลงบนพื้นเป็นครั้งคราว ปั้นฉินซอยเท้าตามติด ไม่รู้ว่าเพราะหนาว หรือว่าเพราะเดินจนหน้าดำหน้าแดง ในปากถึงพ่นควันขาวออกมา
“นายหญิง ตอนนั้นท่านกับพี่ปั้นฉินก็มักจะมาเดินภูเขาเช่นนี้หรือเจ้าคะ” นางถาม
“ใช่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“ตอนที่ได้พบกับนายใหญ่จางก็คือที่นี่หรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถามอย่างใคร่รู้
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าเหลียวซ้ายแลขวา ทว่ายังไม่หยุดฝีเท้า
“ตรงนั้น” นางยกกิ่งไม้ชี้ไปอีกฝั่ง
ปั้นฉินเขย่งเท้าชะโงกมอง พลางจิตนาการภาพในตอนนั้น
“ดียิ่งนัก…” นางเผลอร้องอุทานออกมา
“สรรพสิ่งล้วนแต่มีข้อดีของตน ต่างเส้นทาง ต่างทิวทัศน์ ไม่ต้องนึกเสียดาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางก้าวยาวไปข้างหน้า
ปั้นฉินพยักหน้าพลางยิ้มแล้วเดินตามไป
ทว่าเฉิงเจียวเหนียงกลับหยุดลงแล้วเหลียวมามองปั้นฉิน
“เจ้าไม่อยากถามอะไรข้าหน่อยหรือ” นางถาม
คำถามนั้นกลับทำให้ปั้นฉินชะงักไป
“แม่นาง ถามอะไรนะเจ้าคะ” นางถาม
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
“แต่ก่อนที่นี่มีวัดเล็กๆ ตั้งอยู่” นางชี้นิ้วไปทางวัดไท่ผิงที่เพิ่งออกมา “มีเด็กสองคนถูกข้าไล่ออกไป แม้แต่ปั้นฉินยังรู้สึกสงสาร…”
“นายหญิง…” ปั้นฉินเอ่ยแทรกขึ้น สีหน้าดูเศร้าสร้อย “นายหญิงต่างหากที่น่าสงสาร เหตุใดถึงต้องสงสารผู้อื่นเช่นนั้น เหตุใดผู้อื่นถึงไม่สงสารนายหญิงบ้าง นายหญิงติดค้างอะไรพวกเขา นี่คือสิ่งที่นายหญิงสมควรได้รับหรือ พวกเขาเศร้าโศกเสียใจ นายหญิงก็ต้องเศร้าโศกเสียใจไปกับพวกเขาด้วยหรือ ไม่ใช่นั้นเขาจะหาว่านายหญิงใจดำอำมหิต พวกเขาเจ็บป่วยอันใด นายหญิงก็ต้องรักษาให้อย่างนั้นหรือ รักษาไม่หาย รักษาไม่ได้ ก็กลายเป็นความผิดของนายหญิงอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงไม่มีผู้ใดสงสารนายหญิงบ้าง เหตุใดนายหญิงต้องสงสารผู้อื่นด้วย เพราะนายหญิงไม่พูดอย่างนั้นหรือ เพราะนายหญิงไม่ร้องได้อย่างนั้นหรือ นี่คือสิ่งที่นายหญิงสมควรได้รับหรือ”
นางเอ่ยพลางยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้ฟูมฟาย
เฉิงเจียวเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย
“โธ่ โธ่ ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย…” นางเอ่ยพลางหัวเราะ คิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันหลังกลับไป พลางยื่นมือไปตบบ่าปั้นฉิน
ปั้นฉินสะอึกสะอื้น
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะนายหญิง ข้าแค่อยากร้องไห้ พวกเราเดินกันต่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้เสียเวลาเลย” นายเอ่ยน้ำตาไหลพราก
เฉิงเจียวเหนียงมองดูนางพลางหัวเราะ ไม่พูดอะไรต่อก่อนหันกลับแล้วก้าวเดินต่อไป
ทว่าเดินต่อไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นจากตรงหน้า
“ใครกัน”
ปั้นฉินตกใจยืนนิ่ง ไม่ทันได้กลั้นน้ำตาก็รีบเหลียวมองไปทั้งที่ยังสะอึกสะอื้น
แม้นายหญิงจะไม่เอ่ยคำใด แต่พ่อบ้านเฉาและเหล่าผู้ติดตามก็พร้อมตั้งรับเสมอ ยามนายหญิงออกมาเดินเล่น พวกเขาก็จะมาดูลาดเลาก่อนล่วงหน้า ทว่ายามนี้จู่ๆ ก็ส่งเสียงเอ่ยเตือนขึ้นมา แสดงว่ามีอันตรายเกิดขึ้นใช่หรือไม่
เฉิงเจียวเหนียงยังคงไม่หยุดเดิน นางก้าวยาวออกไปก่อนจะหักเลี้ยว ก็พบว่าหลังก้อนหินริมทางที่คนผู้หนึ่งนั่งอยู่
“เจ้านี่เอง!” ปั้นเอ่ยอย่างตกใจ
คนที่นั่งอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกปลดหมวกคลุมออก ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าของท่านชายหนุ่มน้อย
“ข้าเอง” เขาเอ่ย “บังเอิญเสียจริง”
บังเอิญอย่างนั้นหรือ
เหตุใดถึงได้กลับมาอีก ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ปั้นฉินเหลียวไปมองเฉิงเจียวเหนียง
“ข้าตั้งใจว่าฟ้าสางแล้วจะไปหาเจ้า นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะขึ้นเขามาแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดต่อ
เฉิงเจียวเหนียงเดินเข้าไปใกล้ ไม่ต้องสั่งการอันใด เหล่าผู้ติดตามก็พากันหลบทางให้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนาง
“เจ้าดูสิ” เขาเอ่ยก่อนจะยกมือชี้นิ้วไปยังเหล่าผู้ติดตามที่หลีกทางให้ “เจ้าไม่ต้องพูดแม้แต่คำเดียว พวกเขาก็เชื่อฟังเจ้ากันหมด”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาราวกับไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูด
“เจ้าพูดกับข้ามากมายถึงเพียงนั้น แต่ข้ากลับไม่เชื่อ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“จะเทียบกันได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางส่ายหน้า
“ข้าขอโทษ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกยืนขึ้น มองดูนางก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดต่อ “ข้าไม่ควรโมโหเจ้า ที่เกิดเรื่องขึ้นกับเขาไม่ใช่เป็นเพราะเจ้า ที่เขารักษาไม่หาย ก็ไม่ใช่เพราะเจ้า เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย แต่ข้ากลับโทษเจ้า ข้าไม่กล้าโทษคนที่ควรโทษ แต่กลับโทษเจ้าแทน รังแกคนที่อ่อนแอกว่า”
โธ่ สวรรค์ ปั้นฉินยกมือป้องปากอย่างอดไม่ได้ น้ำตาไหลพรากออกมาอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้โกรธ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ข้ารู้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบ “ข้าก็แค่ปลอบใจตัวเอง หากบอกว่าขอโทษเจ้า สู้บอกว่าปลดปล่อยตัวเองจะถูกต้องเสียกว่า”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางยิ้มบาง
“ไม่เป็นไร” นางเอ่ยก่อนจะเอื้อมมือไปตบแขนเขาเบา
อย่าทุกข์ใจไปเลย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนางก่อนจะยิ้มออกมา
ทว่านางคงไม่มีทางพูดออกมา เพราะจะไม่ให้เขาทุกข์ใจได้อย่างไร เรื่องที่ทำไม่ได้ นางไม่มีทางพูดเป็นแน่
เขายื่นกล่องไม้ใบหนึ่งให้
“นี่คือของขวัญปีใหม่ที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า” เขาเอ่ยแล้วยิ้มออกมา “เดิมทีตั้งใจว่าจะส่งคนมามอบให้ แต่ทว่าพอเกิดเรื่องขึ้น ก็ลืมไปเสียได้ โชคดีคราวนี้ที่ข้ามาด้วยตัวเอง แต่เมื่อวานก็ลืมให้จนได้… วันนี้ได้มอบให้เจ้าแล้ว ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว…”
ของขวัญอย่างนั้นหรือ
สายตาของปั้นฉินมองไปที่ศีรษะของนายหญิง บนเส้นผมนั้นมีเพียงหวีเงินประดับอยู่
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมืออกไปรับ ปั้นฉินก้าวไปข้างหน้า ทว่าเฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ส่งต่อให้นาง แต่กลับเปิดดูในทันที
ปั้นฉินชะโงกมองอย่างอดไม่ได้ ในกล่องไม้มีปิ่นปักผมอยู่อันหนึ่ง ไม่ใช่ทอง ไม่ใช่เงิน ทั้งยังไม่มีอัญมณีประดับตกแต่ง เป็นเพียงปิ่นไม้แกะสลักลายดอก อีกทั้งยังดูเก่าอยู่ไม่น้อย
“เป็นของที่ท่านแม่มอบให้ข้าตอนเป็นเด็ก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยก่อนจะหัวเราะออกมา “อันที่จริงแล้วท่านแม่ไม่ได้ให้ข้าหรอก ข้าดื้อซนเลยดึงออกมาจากผมท่านแม่เองต่างหาก”
ท่านแม่ ท่านแม่ อย่าไป อย่าไป…
ใบหน้าของเด็กน้อยหวาดกลัว ตะเกียกตะกายคว้าอาภรณ์ชุดงามของหญิงผู้หนึ่งไว้
อย่าทิ้งข้า อย่าทิ้งข้า…
เหว่ยหลัง เด็กดี
หญิงผู้นั้นย่อตัวลงมาปลอบโยนเด็กน้อย ก่อนจะอุ้มเขาขึ้นแล้วส่งต่อให้กับอ้อมอกของหญิงอีกคนหนึ่ง
ท่านแม่ ท่านแม่
แม้จะอาลัยอาวรณ์ แต่หญิงผู้นั้นกลับยื่นมือออกมาปัดมือของเด็กน้อยให้พ้นทาง
ท่านแม่ ท่านแม่
เด็กน้อยกรีดร้องเอื้อมมือออกไปคว้าอย่างทุรนทุราย เขาคว้าปิ่นปักผมของนางไว้ เส้นผมแผ่สยาย ทว่านั่นกลับไม่ได้หยุดยั้งนางให้เดินจากไปได้
ปิ่นปักผมถูกกำแน่นอยู่ในมือ หญิงผู้นั้นที่ตนจ้องมองเดินไกลออกไปจนลับตา
“ข้าคิดว่า จะให้ของขวัญกับผู้ใดก็ย่อมต้องให้สิ่งตนเองหวงแหนที่สุด สิ่งตนชอบที่สุด” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางยิ้มบาง
สายตาของปั้นฉินมองไปยังศีรษะของเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงยื่นไปหยิบปิ่นขึ้นมาปักผมของตัวเอง ก่อนจะพลิกกล่องไม้ไปมาแล้วส่งต่อให้ปั้นฉิน
“ถึงจะไม่ได้งามสักเท่าไหร่ก็เถอะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางหัวเราะ มองดูเส้นผมดำขลับของหญิงสาว เดิมทีไม่ได้ประดับตกแต่งอันใดก็ดูงามยิ่งนัก
“ใช้ได้ก็พอแล้ว” นางเอ่ยพลางโค้งคำนับขอบคุณ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องคำนับกลับ
มีเพียงความเงียบงันระหว่างทั้งสอง จิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังจะเอ่ยปากบอกลา ทว่าเฉิงเจียวเหนียงกลับชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“ข้าจะไปเดินเล่น” นางเอ่ย “เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่”
เดินเล่นอย่างนั้นหรือ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักไปครู่หนึ่ง บางทีนางอาจมีอะไรอยากคุยกับเขา เขาจึงพยักหน้าในทันใด
เฉิงเจียงเหนียงยกเท้าเดินไปข้างหน้า จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินตามไป
ถนนบนเขาอันเงียบสงัด มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองดูหญิงสาวที่เดินนำหน้า เยื้องย่างราวกับโบยบิน ผ้าคลุมปลิวไสว ในมือกวัดแกว่งกิ่งไม้ที่ใช้แหวกทางเป็นครั้งคราวไปมา
“เจ้ามาเดินเช่นนี้บ่อยๆ หรือ” เขาถามทำลายความเงียบ
“แต่ก่อนร่างกายไม่แข็งแรง เดินบ่อยๆ ก็ทำให้หายดีไวขึ้น” นางตอบ
แต่ก่อนนางเป็นบ้า พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ ทว่ายามนี้กลับหายดีแล้ว ที่แท้ก็ฝึกฝนตนเองเช่นนี้อย่างนั้นหรือ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า
“ช่วงนี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พูดถึงเพียงเท่านั้นก็หยุดเดินลง “อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ออกมาเดินเช่นนี้ จิตใจจะได้ดีขึ้นบ้าง”
อารมณ์ไม่ดี พอเดินไปเรื่อยๆ แล้วก็จะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างอย่างนั้นหรือ เพราะอย่างนั้นนางถึงได้ชวนเขามาเดินด้วยกันอย่างนั้นหรือ
นางก็ปลอบใจคนเป็นด้วยหรือนี่ จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาเร่งฝีเท้าตามติด
ไม่มีใครเอ่ยคำใดบนเส้นทางบนภูเขานี้ มีเพียงเสียงฝีเท้าและเสียงนกป่าที่ดังก้องกังวาน
ลิ่วเกอร์คงไม่ได้รับการรักษา ที่จริงเขารู้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนมาที่นี่ เพียงคนเรามักจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มักจะอยากคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตไว้ให้ได้ ทว่ากลับไม่ยอมเชื่อว่าความจริงแล้วเส้นฟางนั้นคือภาพลวงตา
ตื่นเถิด ตื่นเถิด
ฝีเท้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ปั้นฉินยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางหอบหายใจ มองดูสองที่เดินออกไปไกลเรื่อยๆ นางไม่ได้ตั้งใจเดินรั้งท้าย ทว่าพวกเขาเดินเร็วเกินไป จนนางเองตามไม่ทัน
ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้นจริงๆ นายหญิงเดิมทีอยู่ข้างหน้า ยามนี้กลับถูกท่านชายที่เดินอย่างเหม่อลอยจนลืมเบี่ยงตัวหลบเดินนำไปแล้ว นายหญิงเองก็ไม่อยากจะเดินตามหลังสักเท่าไหร่ จึงได้เร่งฝีเท้าขึ้น เจ้าแซงข้า ข้าไล่ตามเจ้าเช่นไปตลอดทาง จนทั้งสองเดินเคียงข้างกันบนเส้นทางอันคับแคบบนถูเขา
ปั้นฉินไม่ได้กังวลว่าจะเกิดอันตรายอันใดขึ้น เพราะเหล่าผู้ติดตามเองก็รออยู่ด้านหน้าแล้ว เพียงแต่คนอื่นอย่างไรก็คือคนอื่น นางจะเดินรั้งท้ายเช่นนี้ไม่ได้ นางสูดหายใจลึกก่อนจะเร่งผีเท้าไล่ตาม
เขาเสวี่ยนเมี่ยวไม่ได้สูงสักเท่าไหร่ ยามที่ทั้งสองปีนขึ้นมาถึงยอดเขา ท้องฟ้าก็สว่างโร่แล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วเขา ม่านหมอกเริ่มจางหาย หมู่บ้านและท้องนาที่ตั้งอยู่ที่ตีนเขาปรากฏขึ้นสู่สายตา ทั้งยังมองเห็นเมืองเจียงโจวที่อยู่ไกลออกไป บนถนนมีทั้งคนขี่ม้ามีทั้งจูงลา ทั้งคนลากรถ ทั้งคนเดินเท้าก็จอแจเต็มท้องถนน มองจากตรงนี้เหมือนกับจุดสีดำเล็กๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา แม้จะเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ทว่ากลับสร้างชีวิตชีวาให้กับภาพที่ได้เห็น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเดินมานาน หรือเป็นเพราะอากาศสดชื่นบนยอดเขา ความขุ่นหมองในใจถึงได้คลายลงไปมาก
“เหมือนกับว่าพอมาถึงยอดเขาแล้ว ก็ทำให้เข้าใจคำว่าเวลาไม่คอยท่า เหมือนสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ” จู่ๆ เฉิงเจียวเหนียงก็เอ่ยขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเผลอยิ้มออกมา ก่อนจะเหลียวมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย
เพราะเดินขึ้นเขามา ใบหน้าซีดขาวของนางจึงขึ้นสีระเรื่อ ดวงตากลมโตนั้นก็ยิ่งเปล่งประกายแวววาว
“เฉิงฝั่ง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยเรียก
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเขา
“ขอโทษ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาคิ้วกระตุก แม้จะเป็นการกระทำที่แทบจะมองไม่เห็น แต่ก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไป
“แต่ก่อนข้าไม่ควรว่าเจ้าเป็นคนบ้าอัปลักษณ์” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางยิ้ม “แต่ก่อนเจ้าจะเป็นอย่างไรสำคัญ แต่ตอนนี้เจ้านั้น… งามยิ่งนัก”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม เผยฟันขาวออกมาให้เห็น ดวงหน้านั้นพลันสดใสขึ้นมาในทันใด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเองก็ยิ้มตาม
“เจ้าทุกข์ใจหรือ” เฉิงเจียวเหนียงโพล่งถามขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ข้าเองก็ทุกข์ใจ” เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้หันไปมองเขาอีก แต่กลับเหลียวมองที่ตีนเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
คำพูดง่ายๆ เพียงไม่กี่คำนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จิ้นอันจวิ้นอ๋องได้ยินก็รู้สึกปวดร้าวราวกับถูกกรีดแทงที่หัวใจ
ทุกข์ใจสิ ทุกข์ใจมากจริงๆ ทุกข์ใจคือความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้เช่นนี้สินะ
“เพียงแต่ ทุกข์ใจก็คือทุกข์ใจ แล้วจะให้ทำอย่างไรได้เล่า” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ “ร้องไห้หรือ โวยวายหรือ มีประโยชน์อันใด ร้องไห้แล้ว โวยวายแล้ว ก็ต้องทุกข์ทนต่อไปอยู่ดี เวลาไม่คอยท่า ทุกสรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง มีคนมาก็ย่อมมีคนไป มีคนไปก็ย่อมมีคนอยู่ ไม่มีหยุดยั้ง นั่นคือสัจธรรมที่แท้จริง พวกเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงยอมรับ หากรับไม่ได้ เช่นนั้นก็ง่ายดาย ก็จงตายไปเสีย ตายแล้วตายอีกสักร้อยหนไปเลย เพียงแต่ เจ้ายอมได้หรือ”
ลืมเสียเถิด ลืมไปเสียก็ดี
นั่นสินะ ลืมไปเสียก็ดี แต่จะลืมได้อย่างไร ไม่ยอมหรอก!
ไม่ยอม! ไม่ยอม!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเบนสายตากลับมาก่อนจะมองลงไปด้านล่าง ไม่เอ่ยคำใด
“ไม่รู้สิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “คงเป็นโชคชะตากระมัง”
โชคชะตาอย่างนั้นหรือ
ทั้งสองไม่มีใครเอ่ยตำใด พากันมองไปยังด้านล่างของภูเขา แสงอาทิตย์สว่างขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนบนถนนก็มากขึ้นตาม วันใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง
ไม่จะทุกข์ใจหรือดีใจ ไม่ว่ายากลำบากหรือราบรื่น คืนวันยังคงผ่านไปไม่อย่างไม่หยุดยั้ง