ท้องฟ้าสว่างไสว ทว่าสายตากลับพร่ามัว ลมภูเขาก็เริ่มแรงขึ้น โบกพัดจนเสื้อคลุมของทั้งสองปลิวไสว
“สวมหมวกสิ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นสวมหมวก
ลมภูเขาพัดเสียงประทัดลอยมา
“วันนี้วันที่ยี่สิบเก้าหรือว่าสามสิบ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
“สามสิบ พรุ่งนี้วันปีใหม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เช่นนั้นข้ากับลิ่วเกอร์อยู่ฉลองปีใหม่กับเจ้าได้หรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางยิ้ม “คนเยอะคึกคักกว่ามิใช่หรือ ไม่รู้ว่าเจ้าจะลำบากหรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงเหลียวกลับไปมองเขา
“ข้ารู้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องชิงเอ่ยขึ้นก่อน เอ่ยคำที่นางเคยพูดไว้ “ไม่มีผู้ใดหรือเรื่องใดทำให้เจ้าลำบากได้ ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้น”
ปั้นฉินที่ได้ยินดังนั้นก็รีบหันกลับมาแล้วโบกมือเรียกเหล่าผู้ติดตาม
“พวกเจ้าไปบอกพ่อบ้านเฉาทีว่าอย่าเพิ่งเตรียมตัวกลับ ให้เตรียมฉลองปีใหม่” นางเอ่ยกระซิบ
ณ เมืองหลวง ยามราตรีเริ่มเคลือบคลานเข้ามา บนท้องถนนไร้ผู้คน ทว่าบ้านเรือนแต่ละหลังกลับเต็มไปด้วยเสียงครื้นเครง
หน้าเรือนสะพานอวี้ไต้แขวนป้ายอวยพรปีใหม่ บ่าวสองคนเช็ดโคมไฟเป็นอันดับสุดท้าย สองสาวใช้ในลานบ้านยังเดินวุ่นไปมาไม่หยุด
“พี่ปั้นฉิน ท่านจะไม่เข้าไปในเรือนจริงๆ หรือ”
“ข้าไปไม่แล้ว ข้าไปแล้วเรือนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ เรือนของนายหญิงทั้งคน ปั้นฉินเจ้ารีบกลับไปเถิด ข้าว่ากลางเดือนจะไปคำนับนายท่านเสียหน่อย”
คนถามก็ชื่อปั้นฉิน คนตอบก็ชื่อปั้นฉิน ทั้งบ่าวทั้งสาวใช้เหลียวไปมองอย่างงุนงง
สองสาวที่ระเบียงพูดคุยหัวเราะกันออกท่าออกทางก่อนจะกล่าวลากัน ทันใดนั้นหน้าประตูก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น
“ท่านชายสี่มาแล้ว” ปั้นฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วรีบเดินออกไปรับ
เหล่าบ่าวหน้าประตูรีบโค้งคำนับ พลางมองบัณฑิตหนุ่มเดินเข้ามาอย่างหนาวเหน็บ
ท่านชายเฉิงสี่ประหม่าไม่น้อย
“ข้าอยู่ที่สำนักบัณฑิตก็ดีแล้ว จะให้ข้ามาที่นี่ทำไมกัน” เขาเอ่ย
“ที่นี่คือบ้านอย่างไรเล่าเจ้าคะ สำนักบัณฑิตเองก็หยุดเรียนแล้ว ท่านจะอยู่ที่นั่นคนเดียวไปทำไมเล่าเจ้าคะ” ปั้นฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางหันไปมองท่านชายเฉิงสี่ก่อนจะต้องร้องออกมาอย่างตกใจ “ท่านชายสี่ หน้าหนาวเช่นนี้เหตุใดถึงสวมเสื้อผ้าบางนักเล่าเจ้าคะ เสื้อคลุมฤดูหนาวของท่านเล่า”
“ข้ารีบออกมาน่ะ เลยลืมหยิบออกมาด้วย” ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มเอ่ย “ในรถก็ไม่หนาวสักเท่าใด”
ปั้นฉินไม่ได้ถามต่อ ก่อนจะให้สาวใช้เดินนำเข้าไป ส่วนตนเองหันกลับไปคว้าแขนบ่าวของท่านชายเฉิงสี่ไว้
“ที่บ้านยังไม่ส่งมาให้…” บ่าวหนุ่มหวาดกลัวพี่สาวผู้นี้นัก เขารีบตอบเสียงแผ่ว
“ไม่ส่งมา เหตุใดถึงไม่ซื้อเล่า แล้วจะมีเจ้าไว้ทำไม” ปั้นฉินเอ็ด
“พี่ปั้นฉิน พวก…พวกข้าไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น…” บ่าวหนุ่มกดเสียงต่ำ
“ที่บ้านเจ้าไม่ได้ส่งเงินมาให้อีกหรือ ท่านชายสี่ของเจ้าไม่เหมือนนายหญิงของข้าเสียหน่อย นางตายไปคงไม่มีผู้ใดนึกถึง” ปั้นฉินเอ่ย
พี่สาวผู้นี้ปากคอเราะร้ายนัก บ่าวหนุ่มได้แต่ยิ้มเจื่อน
“ยะ…ยังขอรับ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น อาจจะยังมาไม่ถึงกระมัง” เขาเอ่ย
ปั้นฉินยกขึ้นดีดหน้าผากเขาก่อนจะถลึงตาไล่เขา ส่วนตนเองก็หันหลังเดินเข้าเรือนไป
“กินข้าวเสร็จข้าก็จะกลับแล้ว…” ท่านชายสี่เอ่ย
“จะกลับไปทำไมเล่าเจ้าคะ พรุ่งนี้เช้าท่านชายไปคำนับนายท่านตระกูลจางกับข้าเถิดเจ้าคะ” นางเอ่ย
จะ…จางอย่างนั้นหรือ
“ตระกูลของท่านอาจารย์น่ะหรือ” ท่านชายเฉิงสี่เสียงสั่น
“ไม่ได้ไปคำนับท่านอาจารย์หรอกเจ้าค่ะ แต่ไปคำนับนายท่าน” ปั้นฉินยิ้มเอ่ย
ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ! ไม่สิ น่ากลัวเสียยิ่งกว่าไปคำนับท่านอาจารย์อีก
“เสื้อผ้าชุดใหม่เจ้าค่ะ”
“นี่ยังเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ให้ข้าด้วยหรือ”
“ก็ไม่เชิงเจ้าค่ะ เดิมทีตั้งใจเตรียมไว้ให้เหล่าท่านชายฟ่าน แต่ยังไม่เคยใส่นะเจ้าคะ ท่านชายสี่ผอมบางนัก คงต้องปรับแก้นิดหน่อย…”
ภายในห้องแสงไฟนวลสว่างไสว เสียงพูดคุยหัวเราะยิ่งคำให้ค่ำคืนยามฤดูหนาวยิ่งอบอุ่น
ท้องฟ้ายามราตรีโปรยตัวลงมา เสียงประทัดในเมืองหลวงดังสนั่นไปทั่ว เรือนทุกหลังต่างแขวนโคมไฟสว่างไสว ส่องประกายระยับไปทั่วทั้งเมืองราวกับสวรรค์ในเมืองมนุษย์
ทว่าวัดเต๋าบนเชิงเขาในคืนนี้กลับช่างเงียบเหงา โคมไฟที่แขวนอยู่หน้าประตูแกว่งไกวท่ามกลางป่าเขาอันมืดมิด
ภายในเรือนท้ายวัดกลับมีผู้คนนั่งอยู่ไม่น้อย แต่เพราะกฎระเบียบและสถานที่ พวกเขาจึงไม่อาจจะรื่นเริงได้อย่างเต็มที่นักในยามนี้
“เหล้าพวกนี้ดื่มสักนิด จะได้สร้างบรรยากาศขึ้นมาบ้าง” พ่อบ้านเฉาเอ่ย
ทุกคนพากันหัวเราะพลางยกจอกเหล้าขึ้นมาจิบ
“กลางป่าเขาเช่นนี้ ไม่มีอาหารหรือชาชั้นเลิศ ขอทุกท่านอย่าได้รังเกียจ” พ่อบ้านเฉาพูดต่อ “ทว่าขนมของวัดเสวียนเมี่ยวนี้ขึ้นชื่อนัก ทุกท่านลองชิมดู”
คนที่นั่งอยู่ในห้องยกตะเกียบขึ้น ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแล้วเริ่มลงมือกิน
จู่ๆ ก็มีเสียงประทัดดังขึ้นภายในลานวัด
พ่อบ้านเฉาเหลียวออกไปมอง ก็เห็นกองไฟถูกก่อขึ้นกลางลานบ้าน จินเกอร์กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โยนประทัดเข้าไปในกองไฟจนเกิดเสียงปะทุขึ้น
“จินเกอร์ อย่าซนนัก ระวังด้วย เดี๋ยวจะไหม้มือเอา”
ประตูห้องโถงเปิดกว้าง แสงเทียนส่องสว่าง มองเห็นเฉิงเจียวเหนียง จิ้นอันจวิ้นอ๋องและองค์ชายรองนั่งอยู่ข้างใน
ไม่รู้ว่าเพราะเสียงประทัดหรือว่าเพราะเหตุใด องค์ชายรองถึงได้ร้องตะโกนขึ้นและผลักโต๊ะด้านหน้าจนพลิกคว่ำ
ปั้นฉินรีบเดินออกมาเอ็ดจินเกอร์
“เขาไม่ได้กลัวหรอก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย พลางเอื้อมมือออกไปคว้าร่างของท่านชายรองที่กำลังดีดดิ้น “เขาไม่ได้กลัวเสียงประทัด ระหว่างคงได้ยินจนชินแล้ว เขาไม่ชอบนั่ง พักเดียวก็ทนไม่ไหวแล้ว”
“ปั้นฉินยกชาที่เคี่ยวมาให้เขาดื่มที” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ปั้นฉินขานรับแล้วออกไปในทันที ส่วนองค์ชายรองก็ดิ้นจนผละออกจากจิ้นอันจวิ้นอ๋องได้ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปที่โต๊ะเบื้องหน้าเฉิงเจียวเหนียง จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอื้อมมือออกไปคว้าไว้ไม่ทันจึงรีบลุกขึ้นยืนตามไป ทว่าสายไปเสียแล้ว องค์ชายรองคว้าจานที่อยู่บนโต๊ะหน้าเฉิงเจียวเหนียง เขาคงอยากจะหยิบขนมบนนั้น ทว่าจานกลับคว่ำไปเสียก่อน จึงร้องไห้ตะโกนออกมาเพราะไม่ได้ดั่งใจ
ภายในห้องโกลาหลขึ้นมาในทันใด
ไม่น่าอยู่ต่อเลยจริงๆ ก็คึกคักดีอยู่หรอก เพียงแต่คึกคักเช่นนี้ผู้ใจจะชอบกัน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องถอนหายใจอยู่ในอก ก่อนจะคว้าตัวองค์ชายรองมาปลอบประโลม ก่อนจะมีมือข้างหนึ่งยื่นขนมมาให้
“เล่นสิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
องค์ชายรองเอื้อมมือออกไปคว้า ปากเผยยิ้มกว้าง น้ำลายไหลหยดเปรอะสาบเสื้อ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด มือของเฉิงเจียวเหนียงก็ยื่นออกมาอีกครั้ง
“ของเจ้า” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนางแล้วยิ้ม เพราะมือข้างหนึ่งคว้าตัวองค์ชายรองไว้อยู่ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็กำลังเช็ดน้ำลาย เขาไม่รู้จะรับมันอย่างไรแต่ก็นึกเสียดายหากไม่รับไว้ จึงโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วใช้ปากงับขนมจากมือของเฉิงเจียวเหนียง
“ขอบใจ” เขาเคี้ยวไปพลางเอ่ยยิ้มเสียงพำพึม
หวานแหววเกินไปหรือเปล่า! ปั้นฉินตกใจจนต้องรีบเบือนหน้าหนี
“มา มา เล่นประทัดกัน เล่นประทัดกัน พวกเรามาโยนเล่นกัน” ส่วนพ่อบ้านเฉาเอาแต่ง่วนอยู่กับการตะโกนเรียกทุกคนให้เข้ามา
ทุกคนหัวเราะเฮฮาเดินเข้ามาหยิบประทัดโยนลงกองไฟ เสียงโป้งป้างดังขึ้นในลานวัดไม่หยุดหย่อน แข่งกับเสียงประทัดจากหมู่บ้านบนเนินเขา
ยามเช้ามืดวันแรกของปี หน้าประตูวังหลวงคราคร่ำไปด้วยผู้คน ทว่าแม้จะมีคนและม้ามายมายกลับเงียบสงัดไร้เสียง ยิ่งทำให้วังหลวงน่าเกรงขามยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว
ขณะที่บรรดาขุนนางนับร้อยกำลังต่อแถวเข้าวังตามลำดับยศของตน ท่านชายฉินสิบสามกลับเดินทอดน่องอยู่นอกตำหนักใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยงแล้ว
ภายในตำหนักตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ ดวงไฟส่องแสงระยิบระยับ ที่คืองานเลี้ยงที่จัดขึ้นปีละหน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ท่านชายฉินสิบสามเข้าร่วม
“ตอนนั้นข้าคิดว่าหลบเลี่ยงความครึกครื้นต่างหากถึงคือความครึกครื้นที่แท้จริง แต่ยามนี้มานึกดูแล้ว การมีความสุขได้ด้วยตนเองในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวายนี้ต่างหาก คือหนทางที่แท้จริง” เขาเอ่ยพลางพยักหน้า
พอนึกแต่ก่อนที่ตนเองทำเรื่องมากมายราวกับตนเองเป็นคนปกติ ทว่าในสายตาของคนปกติก็คงคิดว่าไม่ปกติอยู่ดี
“ท่านชาย ฮูหยินกำชับท่านว่าอย่าได้เถลไถล” บ่าวกระซิบเตือน
ท่านชายฉินสิบสามเดินมาถึงหน้าของตำหนักปีกข้าง พอได้ยินเสียงครื้นเครงภายในก็สนใจใคร่รู้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านชายสิบสาม นั่นคือเหล่านางคณิกาของกองสังคีตที่กำลังรอขึ้นแสดงขอรับ” ขันทีหน้าประตูยิ้มเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้า ขณะที่พูดอยู่นั้นนางในของกองสังคีตก็กำลังพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ส่วนใหญ่เป็นเด็กหญิงที่มาขับร้องและร่ายรำ
ท่านชายฉินสิบสามหันหลังกำลังจะเดินกลับ ก็เห็นว่านางคณิกาที่เดินรั้งท้ายผู้นั้นกำลังคำนับให้แก่ตน เขาคุ้นหน้านางไม่น้อยจึงได้หยุดฝีเท้าลง
นางคณิกาผู้นั้นไม่เอ่ยคำใด คำนับเสร็จก็ยืดตัวขึ้นก่อนจะก้มหน้าเดินเข้าตำหนักไป
“แม่นางจูนี่” ท่านชายฉินสิบเอ่ยเรียก
นางคณิกาในชุดร่ายรำแสนงดงามหยุดเดินลง บนศีรษะนั้นเต็มไปด้วยเครื่องประดับหยก นางเหลียวกลับมายิ้มให้เขา แล้วคำนับอีกครั้ง
ในงานเลี้ยงฉลองภายในวัง นอกจากจะมีนางคณิกาของวังหลวงเองแล้ว ก็มักจะคัดเลือกนางคณิกาจากกองสังคีตมาด้วย ที่แห่งนี้ใช่ว่าผู้ใดจะถูกคัดเลือกเข้ามาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะหญิงสาวที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกนั้นก็ยิ่งเข้มงวด เงื่อนไขขั้นพื้นฐานคือร่างกายที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทว่าเหล่านางคณิกานั้นใช่ว่าจะรักษาความบริสุทธิ์ได้นานนัก โดยเฉพาะคนที่รูปงาม ที่ทั้งงามทั้งบริสุทธิ์นั้นหากได้ยากนัก หากฝีมือดีก็มักจะอายุเยอะ หากสาวขึ้นมาหน่อยทักษะการร่ายรำก็ย่อมด้อยกว่า สุดท้ายก็ยากที่จะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
‘ข้าคิดเพียงแค่ว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ก็ย่อมต้องทำให้ดีที่สุด’
ท่านชายฉินสิบสามนึกถึงประโยคนั้นขึ้นมาก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“แม่นางจู ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว” เขาเอ่ย
แม่นางจูเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเขาพูดถึงอะไร ตกใจไม่น้อยที่ท่านชายฉินสิบสามจำคำพูดของตนได้ ทว่าไม่นานนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วย่อเข่าคำนับเขา ทว่าไม่เอ่ยคำใดก่อนจะหันหลังกลับแล้วก้มหน้าเดินเข้าตำหนักไป
หากจะทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด ชีวิตถึงจะมีความหมาย
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มก่อนจะเดินจากไป
แม้องค์ชายรองจะเกิดเรื่องตั้งแต่เมื่อปีก่อน แต่ถึงจะเจ็บปวดเพียงใดก็ย่อมต้องลืมไปเสียก่อน ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป กฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษก็คงเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจไม่ได้ ดังนั้นเทศกาลเทศกาลประจำปีจึงไม่อาจหยุดลง งานเลี้ยงฉลองปีใหม่ได้เปิดฉากขึ้นเคล้าคลอไปกับเสียงดนตรี เหล้าขาวถูกจัดขึ้นโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงเพลงบรรเลงขับร้องดังขึ้นไม่ขาดสาย
ยามนี้ฟ้าสว่างแล้ว
เสียงประทัดซาลง เสียงระฆังจากวัดเต๋าริมเขาดังแว่วขึ้นมา ยิ่งทำให้รู้สึกสงบใจ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง จิ้นอันจวิ้นอ๋องเหลียวไปมองก็เห็นว่าเป็นเฉิงเจียวเหนียง
“เหตุใดถึงตื่นเช้าเพียงนี้” เขาถาม
“เมื่อคืนข้านอนเยอะแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ปีใหม่ทั้งทีเจ้าก็ไม่โต้รุ่งหน่อยหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย ถึงว่าล่ะพอกินข้าวเสร็จนางก็ขอตัวลา ทิ้งให้เหล่าสาวใช้ผู้ติดตามและพวกเขาให้ฉลองคืนข้ามปี นึกว่าจะปลีกวิเวกเสียอีก ที่แท้หนีไปนอนหลับนี่เอง
“เหตุใดเจ้าถึงยังไม่นอน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“บ่ายเมื่อวานข้านอนไปแล้ว ถึงกลางคืนจะไม่ได้นอน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ง่วง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ขอบคุณชาของเจ้า ลิ่วเกอร์ถึงได้หลับดี ข้าดูเมื่อครู่นี้ยังหลับอยู่เลย”
เฉิงเจียวเหนียงคำนับให้ นางไม่เอ่ยคำใดก่อนจะดึงหมวกขึ้นมาสวมแล้วก้าวเดินออกไป
“เจ้าจะไปที่ใด” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
“ข้าจะออกไปเดินเล่น” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จะออกไปเดินเล่นหรือ ยามอารมณ์ไม่ดีก็จะออกไปเดินเล่น เช่นนี้ก็แปลว่าอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดอย่างนั้นหรือ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้วเดินตามไป เมื่อวานก่อนจิตใจของเขาไม่สงบนัก แต่พอมองในยามนี้ก็เห็นว่าสีหน้าของนางนั้นเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนจริงๆ แม้จะยังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ดังเดิม แต่ความอ้างว้างในดวงตานั้นจะปิดอย่างไรก็คงปิดไม่มิด
คงไม่ใช่เพียงเพราะนางถูกคนในครอบครัวทอดทิ้งเป็นแน่
“เฉิงฝั่ง” เขาเอ่ยเรียก
เฉิงเจียวเหนียงเหลียวกลับมามองเขา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องจ้องมองนางแล้วเอ่ยถาม
“เรื่องของข้า” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
เรื่องของข้า… ถึงจะเกิดเรื่อง แต่เพราะเป็นเรื่องของตนเอง… จึงไม่บอกให้ผู้อื่นรู้อย่างนั้นหรือ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินเข้าไปใกล้ นึกอยากจะปลอบแต่ก็ไม่ว่าควรทำเช่นไร
“เจ้าดูข้าสิ น่าสมเพชนัก” เขาหัวเราะเอ่ยแล้วยกนิ้วชี้ที่ตนเอง “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าชีวิตบนโลกนี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน”
เฉิงเจียวเหนียงเหลียวไปมองเขาแล้วส่ายหน้า
“ข้าน่าสมเพชเสียยิ่งกว่าเจ้า” นางเอ่ย
“พ่อแม่ข้าทอดทิ้งตั้งแต่ยังเล็ก ถึงจะรู้ว่าพ่อแม่นั้นไม่มีทางเลือก แต่เพราะไม่มีทางเลือกนั่นแล ถึงได้น่าสมเพชยิ่งนัก ข้าไม่มีแม้แต่ที่จะระบายอารมณ์ยามขุ่นข้องหมองใจ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดต่อ “แม้ตอนนั้นข้าจะยังเด็ก แต่เพราะเป็นเด็กนั่นและถึงได้เปราะบาง ถึงเจ้าจะถูกคนในตระกูลรังเกียจ แต่เจ้าก็ยังมีท่านแม่ท่านยา อีกอย่าง ข้าไม่ได้เยาะเย้ยเจ้าหรอกนะ แต่เพียงแค่พูดตามความรู้สึก ที่ตอนเด็กเจ้าเป็นแบบนั้นก็นับว่าโชคดี… ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักปวด ไม่หวาดกลัว ไม่เหมือนข้า น่าสมเพชนัก ได้แต่มองตาปริบๆ เหมือนกับได้แต่มองตาปริบๆ นับถอยหลังให้คมมีดฟาดฟันลงมารอวันตาย แม้จะหวาดกลัวสักเท่าใดก็ไร้ทางสู้”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“อย่างน้อยครอบครัวของเจ้าก็ยังอยู่” นางเอ่ย “ข้าน่าสมเพชกว่าเจ้านัก”
“มีอยู่ก็จริง แต่หากไม่ใส่ใจกันก็ไร้ความหมาย คนที่ใส่ใจที่มีอยู่เพียงคนเดียว ยามนี้ก็ไม่มีแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องทอดถอนใจ
“เจ้าก็แค่เสียคนหนึ่ง…” นางเอ่ยไม่ทันจบก็หยุดลง
เจ้าก็แค่เสียคนหนึ่งที่ใส่ใจกัน แต่ข้า…
“ข้าน่าสมเพชกว่าเจ้า” สุดท้ายนางก็เอ่ยเพียงเท่านั้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนางก่อนจะเผยยิ้มออกมา แววตาที่ยิ้มอยู่นั่นทอประกาย ทว่าสายตากลับเริ่มพร่ามัว
“นี่ นี่เราจะมาแข่งว่าใครน่าสมเพชกว่ากันอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย “เรื่องเช่นนี้ก็แข่งกันหรือ โลกนี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน”