ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 205 ปรมาจารย์ผู้อ่อนเยาว์ที่สุด

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอถึงกับชะงักงัน

เขามองเฟิงอวิ๋นเซิง มุมปากกระตุก “ศิษย์น้องเฟิง ข้าคิดอย่างแน่วแน่ยิ่ง ทั้งยังเอาจริงเอาจังอย่างมาก ข้าต้องยกระดับความรู้ซึ้งเรื่องค่ายกลจริงๆ และจะต้องทุ่มความเพียรในด้านนี้อย่างถึงที่สุด”

บนใบหน้าเฟิงอวิ๋นเซิงเผยสีหน้าประหลาดใจ นางสังเกตเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียด หลังจากครู่ใหญ่จึงกล่าวด้วยความจนใจอยู่บ้าง “ศิษย์พี่เยี่ยนทำเช่นนี้ จะไม่ทำให้คนอื่นยิ่งอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีได้อย่างไร?”

“อย่างน้อยข้าในตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนโง่เขลาคนหนึ่ง”

หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พลันหัวเราะขึ้นมา “ช่างเถิด ถึงอย่างไรหลายๆ ครั้งที่เจ้าคิดเช่นนี้ ความจริงแล้วก็ไม่ผิด เจ้ากล่าวหาข้าโดยบังเอิญ ก็เป็นเพราะภาพจำที่ข้าสร้างไว้ให้เจ้าเช่นกัน หากจะพูดจริงๆ ละก็ ไม่ถือว่ากล่าวหาข้าเช่นกัน”

เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเพ่งมองเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง แววตาอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ

เส้นสายตาเยี่ยนจ้าวเกอย้ายไปทางอิงหลงถูที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปวางบนจุดจับชีพจรตรงข้อมือของเด็กชาย หลังจากตรวจดูครั้งหนึ่งแล้วจึงยิ้มกล่าว “พัฒนาการของหลงถูช่างไวยิ่งนัก”

ถึงแม้ว่าจะดูทึ่มทืออยู่บ้าง แต่เมื่อได้รับคำชมของเยี่ยนจ้าวเกอ อิงหลงถูก็ยิ้มด้วยความเบิกบานขึ้นมา

“ร่างจิตนภาช่างร้ายกาจเสียจริง ความเร็วในพัฒนาของหลงถู ท่านอาจารย์ลุงใหญ่กับท่านอาจารย์ต่างก็ประหลาดใจเช่นกัน” เฟิงอวิ๋นเซิงก็ยิ้มเช่นกัน

สำหรับการพูดคุยถึงเรื่องอิงหลงถู เยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงไม่ได้ส่งกระแสจิตหากันต่อไปอีก แต่พูดคุยกันอย่างปกติ

ศิษย์อ่อนอาวุโสคนอื่นได้ยินแล้ว ล้วนมองมาด้วยความใคร่สงสัยเช่นกัน

ประเดี๋ยวเดียวอิงหลงถูก็กลายเป็นจุดรวมสายตาของฝูงชนแล้ว

ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าเพิ่งจะกลับมาเขากว่างเฉิงได้ครึ่งปีกว่า ทว่าพลังแฝงและพรสวรรค์ที่อิงหลงถูแสดงออกมา ล้วนน่ากลัวอย่างมากจริงๆ

สำนักเขากว่างเฉิง ในฐานะหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหกของปัจจุบัน ศิษย์ทั้งหมดที่สามารถกราบเข้าเป็นศิษย์เท่าที่มี ล้วนเลือกสรรจากผู้คนนับหมื่น

ภายในสำนักเขากว่างเฉิงเอง ทุกผู้ทุกคนล้วนโดดเด่นยิ่ง บางทีอาจจะยังไม่สะท้อนให้เห็น ต้องอัจฉริยะเหนือบรรดาอัจฉริยะเช่นสวีเฟย ลู่เวิ่น เยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และซือคงฉิงเหล่านี้ ถึงจะสามารถปรากฏให้เห็นความล้ำเลิศเหนือผู้ใด เป็นหงส์ในฝูงกา

กระนั้นแท้จริงแล้วคนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหน้ากลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอ แม้ว่าจะดูเหมือนพื้นๆ ธรรมดา ทว่าหากออกนอกสำนักเขากว่างเฉิง ไปยังขุมกำลังชั้นหนึ่งและชั้นสองอื่นแล้ว ทุกๆ คนล้วนเป็นอัจฉริยบุคคล

กระนั้นภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ อิงหลงถูกลับแสดงความเร็วในการพัฒนาที่ทำให้บรรดาศิษย์อ่อนอาวุโสทั้งหมดต้องตกตะลึงพรึงเพริด

เด็กที่ใช้ชีวิตธรรมดา ถึงขั้นที่ดูแล้วเหมือนว่าสมองไม่ปราดเปรียว ทว่าในด้านการฝึกฝนวรยุทธ์ คำว่า ‘หนึ่งวันพันลี้’ ล้วนไม่พอที่จะบรรยายพัฒนาการของเขาได้ บางที ‘หนึ่งวันหมื่นลี้’ ถึงจะประจวบเหมาะ

แม้แต่หยวนเจิ้งเฟิงยังตื่นตะลึง ความเร็วในการยกระดับพลังฝึกปรือในระดับหลอมกายของเด็กชายผู้นี้ ถึงขนาดว่าเร็วกว่าเยี่ยนตี๋ในตอนนั้นเสียอีก

ศิษย์ร่วมสำนักคนหนึ่งที่ตกชั้นฉับพลัน มาทีหลังแซงนำหน้าไปก่อนเช่นนี้ ทำให้ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นต่างก็มีแรงกดดันมหาศาล

ด้วยเหตุนี้เฟิงอวิ๋นเซิงจึงพาอิงหลงถูไปดูแลอยู่เสมอ นอกจากเอาใจใส่เรื่องในชีวิตประจำวันของเด็กชายแล้ว ก็ป้องกันคนรังแกเขาอีกด้วย ทั้งยังป้องกันคนใช้ประโยชน์จากเหตุที่ปกติสมองเขาก็ไม่ค่อยปราดเปรียวด้วย

ถึงแม้ว่าอิงหลงถูจะว่านอนสอนง่าย ทว่าปกติก็ไม่ปราดเปรียวอยู่บ้างจริงๆ บางเวลาหากถูกคนลอบชี้นำผิดๆ ทำผิดไปแล้วตัวเขาเองก็อาจจะไม่รู้สึกตัวก็เป็นได้

สายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ ก่อนจะเอ่ยอย่างสงบว่า “ร่างจิตนภา เรียกว่าร่างมังกรแท้สามสิบหกจุดลมปราณ หรือว่าร่างมังกรจิตนภาได้ด้วยเช่นกัน”

“เลือดลมขั้นเคียงนภาทรงอานุภาพดุจมังกรดุจหัตถี ความคิดใสสะอาดดุจน้ำดุจกระจก”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “การฝึกฝนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเลือดลมเนื้อหนังมังสาเท่าที่มี หลงถูเกือบจะประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายทั้งหมด ไม่ต่างอะไรกับอยู่ในท้องมารดาก็ฝึกสำเร็จแล้ว”

“เพราะฉะนั้นการฝึกฝนในด้านเลือดเนื้อ เป็นไปได้มากว่าเขาแกร่งที่สุดในเวลานั้น ไม่มีหนึ่งในนั้น”

“ซึ่งในด้านอื่น อย่างเช่นการปรับลมปราณ การสั่งสมฝึกฝนกำลังภายในเป็นต้น เขาก็มีความได้เปรียบอย่างมหาศาลเช่นกัน ความเพียบพร้อมในต้นทุนขั้นเคียงนภานั้น สุดยอดที่สุดในยุคปัจจุบันคนหนึ่ง”

ชาวหนุ่มลูบคาง “ดังนั้น การศึกษาวิทยายุทธ์ระยะแรก ระดับหลอมกาย ความเร็วในการพัฒนาของเขาจึงรวดเร็ว เป็นเรื่องที่คาดการณ์ล่วงหน้าไว้ได้”

เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้าหงึกหงัก

ระดับยุทธ์หลอมกายสิบขั้น ขั้นร่างกาย ขั้นเบิกทางชีพจร ขั้นชักจูงลมปราณ แต่ละขั้นแบ่งอีกสามระยะ ผนวกขั้นประจักษ์กายาขั้นที่สิบเข้าไปอีก โดยส่วนมากล้วนเกี่ยวข้องกับเลือดลม กระดูก และเส้นเอ็น

เริ่มต้นตั้งแต่จอมยุทธ์ขั้นร่างกายระยะแรก ก่อนอื่นต้องเสาะหาความแข็งแกร่งของเลือดเนื้อ ฝึกฝนกล้ามเนื้อสรรพางค์กายของตนทั้งหมดจนเปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลัง พลังและความว่องไวต่างก็ต้องแข็งแกร่งเทียบเท่าคนทั่วไปทั้งสิ้น

จากนั้นขั้นร่างกายระยะกลาง ก็ต้องฝึกกระดูกและเส้นเอ็นให้แข็งแกร่งทนทาน ฝึกฝนร่างกายตนเองขึ้นอีกขั้น เสริมความแกร่งการระเบิดพลังของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วร่าง

จนถึงขั้นร่างกายระยะท้าย โลหิตกระดูกเปล่งเสียงร้องพร้อมเพรียง เป็นครั้งแรกที่ฝึกกำลังภายในจนถึงกระดูก ระดับความแข็งและความแกร่งทรหดของกระดูกล้วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ความว่องไวและพลังทั้งร่างล้วนรุดหน้าขึ้นอีกขั้น

หลังจากนั้นถึงเริ่มก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่บานที่หนึ่งของการฝึกฝนจอมยุทธ์ มุ่งไปสู่ขั้นเบิกทางชีพจร

เมื่อประสบผลสำเร็จในการเชื่อมเส้นลมปราณภายในร่างกายให้ทะลุถึงกัน จึงจะถือว่าเหยียบก้าวสู่ขั้นเบิกทางชีพจรระยะแรก หลังจากนั้นจะเสริมสร้างและขยายเส้นลมปราณให้แข็งแกร่งอย่างไม่หยุดยั้ง จนถึงยามที่บรรลุสามเท่าของช่วงแรกเริ่มโดยประมาณ ใช้สิ่งนี้เป็นเส้นแบ่งขั้น ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นขั้นเบิกทางชีพจรระยะกลาง

สุดท้ายฝึกฝนจนเส้นลมปราณทั่วกายเชื่อมต่อกันทั้งหมดแล้ว ก็แสดงให้จอมยุทธ์เห็นล่วงหน้าว่าบรรลุถึงขั้นเบิกชีพจรระยะท้าย เป็นการเสริมพื้นฐานในการฝึกฝนให้ดีขึ้นอีกขั้น

จอมยุทธ์ขั้นเบิกทางชีพจรระยะท้าย ก็สามารถเริ่มฝึกปราณได้ ประสบผลสำเร็จในการฝึกปราณภายในออกมาโดยไม่แตกซ่าน จึงจะสามารถเรียกได้ว่าจอมยุทธ์ขั้นชักจูงปราณ

ขั้นชักจูงลมปราณระยะแรก เลือดลมฉกรรจ์ โดยผ่านการกำหนดลมหายใจขับสารพิษ เพิ่มความเร็วและปรับการโคจรเลือดลม เลือดลมได้สัดส่วนเหมาะสม ทำให้พลังคนแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล

ขั้นชักจูงลมปราณระยะกลาง เป็นด่านหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เปิดจุดตันเถียนชี่ไห่ กำลังภายในแก่กล้า

ขั้นชักจูงลมปราณระยะท้าย เรียกอีกชื่อว่าขั้นตัดกระดูกชำระล้างไข เป็นครั้งแรกที่จอมยุทธ์ใช้เวลาฝึกฝนถึงไขกระดูกภายในกระดูก โดยผ่านดูแลรักษาเลือดลม ภายในภายนอกรวมเป็นหนึ่งเดียว ปราณภายในเข้าสู่ไขกระดูกลึก ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุผลในการถอดเครื่องในเปลี่ยนกระดูกขั้นแรก ลักษณะจำเพาะคือปราณภายในเข้าสู่กระดูก เสียงสายฟ้าชำระไขกระดูก

สุดท้าย ขั้นประจักษ์กายาขั้นที่สิบ ภายในชัดแจ้งเห็นจุดลมปราณ สามารถมองดูภายในได้ ค่อยๆ สามารถควบคุมสภาพร่างกายภายในของตน รับรู้ได้ถึงจุดลมปราณทั่วร่างของตน

ถึงขั้นนี้แล้ว การฝึกฝนของจอมยุทธ์ขั้นหลอมกายถึงจุดสูงสุด เริ่มทดลองฝึกปราณภายในให้เป็นปราณจิตรา เมื่อกลายเป็นปราณจิตราได้สำเร็จ จึงจะถือว่าเคลื่อนพลถึงระดับปรมาจารย์

เยี่ยนจ้าวเกอตบบ่าของอิงหลงถูเบาๆ “สำหรับหลงถูแล้ว ระดับหลอมกายสิบขั้น มีเพียงขั้นที่เจ็ดถึงขั้นที่แปด เปิดจุดตันเถียนชี่ไห่ กับขั้นที่เก้าถึงขั้นที่สิบ ประจักษ์กายา ทั้งสองด่านนี้ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างจริงจัง ด่านอื่นแค่เล่นๆ ก็ข้ามผ่านไปได้แล้ว”

กล่าวถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้างเช่นกัน เขามองไปยังดูอิงหลงถู “ฝึกวิทยายุทธ์อย่างเป็นทางการเพิ่งจะครึ่งปีกระมัง? นี่ก็ถึงขั้นประจักษ์กายาแล้ว หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่นับแต่มีบันทึกมา ก็ไม่มีผู้ใดมาก่อน”

เขายิ้ม “สถิติอื่นของพ่อข้าไม่อาจพูดได้ สถิติปรมาจารย์ที่อ่อนเยาว์ที่สุด การที่ถูกหลงถูทำลายสถิติใหม่เป็นเรื่องที่แน่นอนเสียแล้ว”

ศิษย์คนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นต่างก็สูดหายใจเฮือก แววตาที่มองอิงหลงถูกลับจะอ่อนโยนขึ้นมากเสียด้วยซ้ำไป

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าว “ยังไม่หมดนะ ตั้งแต่ฝึกปราณให้กลายเป็นจิตรา บรรลุถึงด่านเริ่มต้นนี้ของระดับปรมาจารย์ การฝึกฝนหลังจากนี้ หลงถูก็ต้องทุ่มเวลาอย่างหนัก แต่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง ปราณจิตราชำระล้างอวัยวะภายใน กับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น ตัดกระดูกชำระไขกระดูกครั้งที่สอง สำหรับเขาแล้วยังคงเป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากอยู่”

ทุกคนต่างยิ้มขื่น

เมื่อตอนที่นำหน้าได้เปรียบอย่างมากยิ่ง กลับจะทำให้ผู้คนไม่อาจเกิดความคิดอิจฉาริษยาเสียด้วยซ้ำไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นท่าทีของอิงหลงถู แม้จะเขลาเบาปัญญา แต่หากต้องอยู่ร่วมกันดีๆ แท้จริงแล้วก็ไม่ยากเช่นกัน

…………..