บทที่ 206 แม่น้ำโลหิต

บทที่ 206 แม่น้ำโลหิต

ซากปรักหักพังห้าธาตุในยามนี้ ต่างก็เต็มไปด้วยเสียงของการเข่นฆ่า เสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงระเบิดของปราณแท้ และมวลเมฆที่ก่อตัวขึ้นจากฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์ซึ่งกำลังปกคลุมโดยรอบ ดังนั้น เมื่อเฉินซีสังหารเถิงหัวจีจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม เถิงหัวซวี่โกรธเกรี้ยวจนสุดขีดและปลดปล่อยปราณปีศาจภายในร่างกายของเขาโดยไม่ได้ยับยั้งเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงพุ่งไปที่พื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ในมวลเมฆของค้างคาวผลึกเหมันต์ที่หนาแน่นเหมือนกระแสน้ำในทันที ในขณะที่ร่างของเขาก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าต่อตาทุกคนเช่นกัน

นี่คือ… ปราณปีศาจ?!

ไม่เพียงแต่สีหน้าของหวงฝู่ฉงหมิง หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ และถันไถหงเท่านั้นที่มืดมน แม้แต่ผู้ฝึกฝนซึ่งอยู่ที่มุมอื่น ๆ ของซากปรักหักพังห้าธาตุ ก็มองไปยังเถิงหัวซวี่ซึ่งอยู่กลางอากาศ

ปราณปีศาจพลุ่งพล่าน!

กลิ่นคาวโลหิตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!

ขณะที่พวกเขามองไปที่เถิงหัวจี ซึ่งดูราวกับว่าเป็นปีศาจที่หลบหนีออกมาจากขุมนรกและปราณปีศาจจันทร์เสี้ยวโลหิตที่ไหลเวียนอยู่รอบ ๆ กายเขา ทำให้นามหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในหัวใจของทุกคนในทันที –– ‘นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต’

“คนผู้นี้เป็นผู้เหลือรอดจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจริง ๆ!”

“ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กขอบเขตเคหาทองคำ จะไม่ได้หลอกลวงเรา”

“นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต… เหตุใดนิกายอสูรที่เกือบทำให้โลกต้องจมอยู่ในทะเลเลือดและแผ่นดินอันวุ่นวายเมื่อสามพันปีก่อน ถึงมาปรากฏตัวที่นี่”

สีหน้าของหลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ และถันไถหง ต่างเป็นกังวลและสงสัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็กวาดสายตาไปยังหวงฝู่ฉงหมิงที่อยู่ใกล้เคียง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามอย่างพร้อมเพรียงกัน

สีหน้าของหวงฝู่ฉงหมิงมืดมนถึงขีดสุด เพราะก่อนหน้านี้ เขาได้สาบานและรับประกันด้วยตัวตนของเขาในฐานะองค์ชายแห่งตำหนักจ้าวปัญญา ว่าพี่น้องสกุลเถิงไม่ใช่ศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต ใครจะคาดคิดว่าหลังจากนั้นไม่นาน เถิงหัวซวี่กลับเปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต ด้วยเหตุนี้ มันจะไม่ใช่การตบหน้าสำหรับเขาหรือ?

ที่สำคัญกว่านั้น หวงฝู่ฉงหมิงยังตระหนักได้ว่า ถ้าหากไม่อธิบายความสัมพันธ์ของเขากับพี่น้องสกุลเถิงให้ชัดเจน เรื่องนี้อาจก่อปัญหาให้กับตำหนักจ้าวปัญญาที่เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังเขาได้ ดังนั้น ผลที่ตามมาเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่เขาผู้เป็นเจ้าชายและเชื้อพระวงศ์ของราชสำนัก ก็ไม่อาจแบกรับมันไว้ได้

นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเป็นศัตรูร่วมของโลกแห่งการบ่มเพาะของราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นการดำรงอยู่ของมัน จึงเป็นหน้าที่ของผู้บ่มเพาะที่ต้องทำลายล้าง ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะเชื้อพระวงศ์ หากพบว่าเขาเกี่ยวข้องกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต เขาจะกลายเป็นตราบาปของราชวงศ์ซ่งไปโดยปริยาย และต่อให้เขาตายเป็นร้อยครั้ง ก็ไม่อาจชดเชยความผิดของเขาได้

“ทุกคนโปรดอย่าได้เข้าใจผิด ข้าก็โดนเจ้าสองคนนี้หลอกเช่นเดียวกัน ดังนั้นโปรดอย่าได้กังวล ข้าจะกวาดล้างผู้เหลือรอดจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเหล่านี้ด้วยสองมือของข้าเองในภายหลัง!” หวงฝู่ฉงหมิงกล่าวด้วยสายตาอาฆาต และได้ตัดสินใจในทันทีว่าจะสังหารเถิงหัวซวี่ เพื่อแยกตัวออกจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต

“องค์ชายน้อย เราจะต้องรออะไรอยู่อีก? ไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้เถอะ!” ถันไถหงกล่าวอย่างดุดันด้วยโทสะ อันที่จริง เขาเองก็มีส่วนผิดอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะพี่น้องสกุลเถิงคู่นี้เป็นศิษย์ของผู้มีพระคุณของเขา และด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงพาคนทั้งสองไปค้นหาขุมสมบัติในห้วงทะเลทรายมรณะ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าคนทั้งสองจะเป็นผู้เหลือรอดจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตกัน?

แต่สิ่งที่ทำให้ถันไถหงรู้สึกกังวลเป็นพิเศษ ก็คือเรื่องที่พี่น้องสกุลเถิงได้แนะนำเขาให้รู้จักกับหวงฝู่ฉงหมิง ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าหวงฝู่ฉงหมิงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะนี้ เขาและหวงฝู่ฉงหมิงจะต้องล้างบาปให้ตัวเอง และตัดสายสัมพันธ์ใด ๆ ก็ตามที่พวกเขามีกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต ด้วยเหตุนี้ การฆ่าเถิงหัวซวี่จึงเป็นสิ่งเร่งด่วนที่สุดในยามนี้

หวงฝู่ฉงหมิงกวาดตามองถันไถหง และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านผู้นำตระกูลถันไถ โปรดระงับอารมณ์เสียก่อน เมื่อเถิงหัวซวี่และเจ้าเด็กขอบเขตเคหาทองคำต่อสู้เสี่ยงชีวิตจนพวกมันได้รับบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย หากเราลงมือตอนนั้น มันก็คงไม่สายเกินไป นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่เราจะสามารถทำลายล้างเศษซากของนิกายอสูรได้เท่านั้น แต่เราจะมีโอกาสได้รับทักษะแปรสภาพร่างกายของเจ้าเด็กคนนั้นมาอีกด้วย”

ถันไถหงรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจของเขา และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา คนผู้นี้เสียสติไปแล้ว เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ แต่เขากลับคิดถึงทักษะแปรสภาพร่างกายของเฉินเค่ออยู่อีก…

เมื่อพวกเขาได้ยินการสนทนาระหว่างถันไถหงกับหวงฝู่ฉงหมิง สีหน้าของหลินโม่เซวียนกับเซียวหลิงเอ๋อร์ก็ผ่อนคลายลง และนิ่งเงียบ อันที่จริง พวกเขาทั้งสองคนเป็นคนที่มีความคิดละเอียดอ่อน ทว่าถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่คิดจะเปิดเผยในตอนนี้

โฮก! โฮก! โฮก! โฮก!

ในขณะนี้ เสียงคำรามของสัตว์อสูรที่ดุร้ายและโหดเหี้ยมดังมาจากซากปรักหักพังห้าธาตุแทบจะพร้อม ๆ กัน

พวกเขาสังเกตเห็นด้วยความตกใจว่า สัตว์อสูรทั้งหมดในรัศมีนับพันลี้ กำลังเคลื่อนไหวเป็นฝูงราวกับคลื่นยักษ์ซัดสาดเข้าหาตำแหน่งของเฉินซีและเถิงหัวซวี่

ปีศาจอสรพิษเพลิง

แร้งทองคำ

ปีศาจเถาวัลย์คราม

กระทิงศิลายักษ์

สัตว์อสูรทั้งหมดภายในซากปรักหักพังห้าธาตุเคลื่อนตัวออกไปปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์เป็นแนวแถวที่น่าเกรงขาม และพวกมันก็เหมือนกับฝูงตั๊กแตนที่ส่งเสียงโหยหวนขณะที่บินมาจากทุกทิศทุกทางอย่างต่อเนื่อง

เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ร่างของเฉินซีและเถิงหัวจีก็กลืนเข้าไปในกระแสคลื่นของสัตว์อสูร และมองไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาแม้แต่น้อย

“มากมายมหาศาลยิ่งนัก!” ขณะที่เขาจ้องมองไปยังฝูงสัตว์อสูรที่ปกคลุมท้องฟ้าเสมือนเมฆดำทะมึน ถันไถหงก็รู้สึกด้านชาไปทั้งตัว แต่นับว่าโชคดีที่สัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ได้คิดที่จะโจมตีพวกเขา จึงทำให้เขารู้สึกโล่งใจอย่างมาก

“สัตว์อสูรในซากปรักหักพังห้าธาตุนั้นกระหายเลือดเป็นอย่างมาก และกลิ่นอายของเลือดก็พลุ่งพล่านรอบตัวเถิงหัวซวี่ ยามนี้เขาเป็นดั่งตะเกียงในความมืดที่ชักนำสัตว์ร้ายเข้าหาหรือเลือดสด ๆ ที่ดึงดูดแมลงวัน ในยามนี้ เรากำลังเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่ที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเองก็ไม่อาจหลบหนีไปได้ เมื่อถูกล้อมรอบด้วยสัตว์อสูรเหล่านี้” หวงฝู่ฉงหมิงขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความเสียใจเล็กน้อย “เฮ้อ นับว่าน่าเสียดาย ทักษะแปรสภาพร่างกายที่ทรงพลังเช่นนี้กลับอยู่ในการครอบครองของเจ้าเด็กคนนั้น หากข้ารู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ข้าคงจะบังคับให้มันส่งมอบมาตั้งนานแล้ว…”

หลินโม่เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนเซียวหลิงเอ๋อร์ก็ได้แต่ยิ้มและไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ ออกมา ในขณะนี้ สัตว์อสูรทั้งหมดภายในซากปรักหักพังห้าธาตุถูกดึงดูดโดยเถิงหัวซวี่ ทำให้ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในทุกซอกทุกมุมของซากปรักหักพังห้าธาตุ ต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะพวกเขาไม่ต้องสูญเสียปราณแท้เพื่อต่อสู้อย่างยากลำบาก ในขณะที่พวกเขากำลังเติมเต็มปราณแท้ของตนเอง คนทั้งหมดก็แหงนหน้าไปยังท้องฟ้าและมองไปยังสถานที่ที่สัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนเข้าหา

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในซากปรักหักพังห้าธาตุก็ได้ดึงดูดความสนใจของเถิงหัวซวี่เช่นเดียวกัน แต่เขาไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้เขากำลังโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง และมีเพียงความคิดเดียวในหัวของเขา นั่นคือการฆ่าเฉินซีเพื่อล้างแค้นให้กับพี่ใหญ่!

“ดูสิ ไอ้บัดซบเฉินซี! สัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนได้ล้อมรอบตัวเจ้าแล้ว และแม้แต่สวรรค์เองก็ไม่ต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ฮ่า ๆๆ!” เถิงหัวซวี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวและอำมหิตเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังอันไร้ขอบเขต อีกทั้งยังแฝงไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เศษเดนจากนิกายปีศาจอย่างเจ้าจะหยั่งรู้เจตนาของสวรรค์ได้อย่างไร? หึ ช่างน่าขันเสียจริง” เฉินซีส่ายหัวพลางกล่าวอย่างดูถูก แต่ในใจของเขากลับระแวดระวังตลอดเวลา

ผู้บ่มเพาะของนิกายปีศาจที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงที่ต่อสู้โดยไม่อาลัยต่อชีวิต ไม่ใช่คนที่เฉินซีจะเผชิญหน้าอย่างไม่ใส่ใจได้ แต่โชคดีที่เขาฆ่าเถิงหัวจีไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าพี่น้องคู่นี้ผนึกพลังเพื่อจัดการกับเขาตั้งแต่แรก เขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะหนีหรือจะสู้ดี

“ตาย! ตาย!” เถิงหัวซวี่ตะโกนออกมา ขณะที่ประกายแสงสีเลือดรอบ ๆ ตัวเขาพุ่งสู่ท้องฟ้า ทำให้เสื้อผ้าและเส้นผมที่ยาวสลวยของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และแกนทองคำสีเลือดขนาดเท่ากำปั้นก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนือศีรษะของเขา จากนั้นวิญญาณโลหิต ปีศาจหยิน เปลวเพลิงวิปลาส เปลวเพลิงวิญญาณ และเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ อีกมากมายได้พุ่งเข้าใส่แกนทองคำนี้ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาพวกมันทั้งหมดคือแม่น้ำโลหิตที่มีปีศาจและกระดูกลอยอยู่ พวกมันส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

“เลือดในยมโลกนั้นไร้ขอบเขต เมื่อความปรารถนาทั้งหก*[1] ของมนุษย์ทวีคูณขึ้น มารในใจคงอยู่ชั่วนิรันดร์ และผันแปรเป็นสิ่งใดก็ได้ ด้วยแก่นโลหิตของข้า ข้าขออัญเชิญแม่น้ำโลหิตแห่งยมโลก เพื่อกลืนกินดวงวิญญาณและให้กำเนิดปีศาจนับอนันต์! เขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิต จงสำแดง!” ขณะที่เขาร่ายมนต์ ใบหน้าอันบิดเบี้ยวและอำมหิตของเถิงหัวซวี่ เผยให้เห็นถึงความจงรักภักดี ความเคารพอย่างแท้จริง และดูเหมือนว่าเขากำลังร่ายมนต์หรือถวายเครื่องเซ่นสังเวย ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

ครืน!

ขณะที่เขาร่ายมนต์ แม่น้ำโลหิตที่ไหลเชี่ยวกรากได้ไหลทะลักออกมาจากอากาศ ในแม่น้ำเต็มไปด้วยกระดูกที่น่าสยดสยองและวิญญาณอาฆาต พวกมันราวกับต้องการดิ้นรนให้เป็นอิสระจากแม่น้ำโลหิต

มือของพวกมันยื่นออกมาจากผิวน้ำไปยังท้องฟ้าพร้อมกับร้องโหยหวนเพื่อขอความช่วยเหลือหรือสาปแช่ง ทำให้มันเป็นฉากที่น่าสยดสยองและน่าสลดใจเกินกว่าจะเปรียบเทียบได้

ตามตำนานที่ว่ากันว่า ในช่วงยุคแรกเริ่มนั้น มีแม่น้ำโลหิตที่ก่อตัวขึ้นโดยธรรมชาติอยู่ภายในยมโลก และมันได้ไหลมาบรรจบกับปราณชั่วร้ายจากสวรรค์และโลก ในขณะที่มันกักเก็บวิญญาณพยาบาท ภูตผีดุร้าย และปีศาจต่าง ๆ แม่น้ำโลหิตสายนี้ได้หลั่งไหลไปชั่วนิรันดร์ไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งยังเป็นสถานที่บรรจบของความชั่วร้ายทั้งมวลจากสวรรค์และโลก

เห็นได้ชัดว่า เขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิตที่เถิงหัวซวี่ได้ควบแน่นไว้ในขณะนี้ คือสิ่งที่เขาได้หยั่งถึงและเกิดเป็นความเข้าใจต่อแม่น้ำโลหิตในยมโลกอย่างแท้จริง

“เขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิต! แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในสุดยอดมหาเต๋าที่ตกทอดมาจากนิกายปีศาจแห่งยุคบรรพกาล ลัทธิเต๋า นิกายพุทธ ปีศาจ นักพรตเต๋า อาวุธวิเศษ ค่ายกล กระบี่… ในช่วงยุคแรกเริ่ม เต๋ารู้แจ้งที่นิกายต่าง ๆ บรรลุนั้นแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดคือเต๋ารู้แจ้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากสวรรค์และโลก เมื่อพวกเขารู้แจ้งจนถึงขีดสุดแล้ว ก็จะมุ่งตรงไปยังใจกลางของมหาเต๋า และมาถึงเป้าหมายเดียวกันด้วยเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่เขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิตนี้ เป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงเลวร้ายในบรรดามรดกของนิกายปีศาจต่าง ๆ”

เมื่อเขาเห็นเขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิตที่เถิงหัวซวี่สำแดงออกมา ดวงตาของหลิงไป๋กลับหรี่ลงขณะที่เขากล่าวผ่านกระแสปราณอย่างรวดเร็วว่า “สายฟ้าจะทำลายล้างความชั่วร้ายทั้งหมด! เฉินซี เร็วเข้า! ใช้กระบี่อัสนีนภา เพื่อจัดการกับมันด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้า อีกทั้งร่างกายของข้าเองก็มีพลังสายฟ้าเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจะรวมพลังกันและตอบโต้เขา!”

ทว่าก่อนที่หลิงไป๋และเฉินซีจะทันได้ลงมือ การโจมตีของเถิงหัวซวี่กลับมาถึงก่อนแล้ว

“แม่น้ำโลหิตจะไหลย้อนกลับ สรรพชีวิตจะประสบกับความวิบัติ!” เถิงหัวซวี่ตะโกนเสียงดังขณะชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่เขายืนอยู่บนพื้นในยามนี้เปรียบเสมือนกับจักรพรรดิปีศาจ แม่น้ำโลหิตปั่นป่วนและส่งเสียงดังกึกก้องขณะที่มันซัดสาดออกไป ราวกับแส้สีเลือดที่ปกคลุมพื้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง ทำให้สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้เคียงไม่สามารถเข้าใกล้มันได้เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่พวกมันจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น และทุกสิ่งในโลกก็แปดเปื้อนไปด้วยสีแดงดั่งเลือด

สวรรค์และโลกเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเลือด และเฉินซีสัมผัสได้ว่าเหล่าภูตผีกำลังดิ้นรนอยู่เบื้องหน้าเขา ขณะที่พวกมันส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาในหูของเขา ความปรารถนาอันน่าสยดสยองและกระหายเลือดของพวกมันเช่นนี้ ดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวกำลังพุ่งเข้าสู่หัวใจของเขา มันเป็นความรู้สึกที่กระหายเลือด บ้าคลั่ง โหดเหี้ยมและเดือดดาลอยู่ภายในจิตใจของเขา

“จิตใจของข้าเป็นดั่งกระจกใส ปราศจากความชั่วร้าย ร่างกายของข้าเป็นดั่งท้องฟ้าที่ไร้มวลเมฆ ซึ่งมีดวงอาทิตย์แผดเผาอยู่เบื้องบน พลังแห่งสายฟ้าจะกำจัดความชั่วร้ายทั้งหมด!” ดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีนั้นมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ในชั่วพริบตา เขาก็อาศัยเจตจำนงสูงสุดและความแน่วแน่เพื่อขจัดความคิดชั่วร้ายทั้งหมดในจิตใจของเขา ทำให้จิตใจและความคิดของเขาผ่องใส ในเวลาเดียวกัน เขาได้ใช้กระบี่อัสนีนภาเพื่อออกกระบวนกระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้า มันถูกแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายฟ้าที่ไม่มีใครเทียบได้ ขณะที่มันหักล้างพลังของแม่น้ำโลหิตที่กำลังรุกล้ำร่างกายของเขาได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม การอยู่ภายในเขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิตที่มีกระแสเลือดพลุ่งพล่านและวิญญาณอาฆาตที่ไม่รู้จักหมดสิ้น หลังจากคลื่นลูกหนึ่งถูกทำลายลง ก็จะมีคลื่นอีกหนึ่งลูกปรากฏขึ้นมา ดังนั้นการที่เฉินซีจะสามารถหลบหนีจากการถูกกักขังของเขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิตภายในระยะเวลาอันสั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย

“นิพพานปกคลุมสวรรค์ทั้งเก้าชั้น เทพสายฟ้าจงทำลายล้าง!” หลิงไป๋ตะโกนเสียงดังยามเขาแปลงร่างเป็นกระบี่ไผ่ทองคำนิล จากนั้นจึงใช้สำนึกกระบี่นิพพานอันไร้ขอบเขตผสานกับสายฟ้าที่แปรปรวน จนกลายเป็นปราณกระบี่ยาวกวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ!

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ปราณกระบี่นั้นเสมือนกับสายรุ้งขนาดใหญ่ที่มีประกายแสงจากสายฟ้าที่ระเบิดพลังทำลายออกมาจากมัน และทุกที่ที่มันผ่านไป แม่น้ำโลหิตที่ไหลเชี่ยวจะถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ วิญญาณพยาบาทนับไม่ถ้วนจะถูกกวาดล้าง แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง นั่นคือแม่น้ำโลหิตได้กลับคืนสู่สภาพเดิมในพริบตา ก่อนจะไหลทะลักออกมาอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ามันไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย!

ทันใดนั้น เฉินซีและหลิงไป๋ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก!

[1] ความปรารถนาทั้งหกของมนุษย์ในทางศาสนา คือ การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหก ซึ่งทำให้เกิดความต้องการต่อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และมโนสำนึก