ซ่งชูอีตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรไปชั่วขณะ
รอตั้งนานแล้ว ก็ไร้คำตอบ
ไม่ว่าอิ๋งซื่อตัดสินใจเรื่องใดก็ตามจะไม่รู้จักถอยหลัง เขากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป็นหวังโฮ่วของกว่าเหริน”
ซ่งชูอีดึงสติกลับมาท่ามกลางความตื่นตระหนก สิ่งที่นางคิดได้อย่างแรกก็คือ “ท่านอ๋องต้องการให้กระหม่อมร่วมลงโลงกับท่านหรือ?”
“เว่ยหว่านร่วมลงโลงกับข้า” อิ๋งซื่อเอ่ย ยังไม่มีความชัดเจนว่าหวังโฮ่วที่มาจากรัฐเว่ยจะดีสำหรับรัฐฉินหรือไม่ รัฐฉินไม่มีระบบฝังคนเป็นไปพร้อมศพมานานแล้ว แต่ข้าราชบริพารสามารถติดตามกษัตริย์ด้วยความภักดี การเป็นผู้หญิงของกษัตริย์ก็สามารถตายด้วยความรักได้เช่นกัน ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนอยู่นอกเหนือกฎหมาย
เจตนาของอิ๋งซื่อนั้นชัดเจนมาก ก็คือให้ซ่งชูอีใช้ชีวิตในฐานะไท่โฮ่วเพื่อสนับสนุนอิ๋งตั้งต่อไป
“หากกระหม่อมรับปาก ฝ่าบาทจะทำอย่างไรกับอี่โหลว?” ซ่งชูอีมองไม่เห็น แต่นางยังคงหันหน้าไปมองจุดที่เขาอยู่ ดวงตาทั้งคู่สงบนิ่งไร้คลื่น “หากกระหม่อมไม่รับปาก ฝ่าบาทจะทำอย่างไรกับกระหม่อม?”
ทั้งสองมองหน้ากันในแสงสลัวเนิ่นนาน และยิ้มไปพร้อมๆ กัน
นี่ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงที่สุดของอิ๋งซื่อ
การให้ซ่งชูอีเป็นหวังโฮ่วก็เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องอื้อฉาว สำหรับอิ๋งซื่อแล้วในอนาคตเจ้าอี่โหลวก็จะต้องถูกสังหาร แต่หากฆ่าเจ้าอี่โหลวแล้วซ่งชูอีก็จะเกิดความเกลียดแค้นแล้วจะช่วยเหลืออิ๋งตั้งอย่างสงบใจได้อย่างไร? การลอบฆ่าเจ้าอี่โหลวก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ทว่าแม้อาจปิดบังคนอื่นได้แต่กลับไม่มีทางปิดบังซ่งชูอีได้ เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้มีหรือที่อิ๋งซื่อจะไม่รู้!
“ข้ารู้เจตนาของฝ่าบาทแล้ว” ซ่งชูอีรู้สึกขมขื่นอยู่ในปาก คลำหามือของเขาแล้วกุมไว้แผ่วเบา
นางรู้ถึงเจตนานี้แล้ว แต่นี่เป็นคำตอบเดียวที่นางสามารถให้ได้!
พวกเขาจับมือกันมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แม้แต่ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพราะความรักบริสุทธิ์
อิ๋งซื่อกุมมือกลับโดยธรรมชาติ หลับตาลงแล้วถอนหายใจ “โลกมนุษย์ครึกครื้น สรวงสวรรค์เยือกเย็น”
เขาเป็นคนที่ยืนอยู่ในหมู่เมฆ มีอำนาจควบคุมทุกอย่างอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดีใช่ว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถแบกรับความเหงาและความหนาวเหน็บบนที่สูงได้
ใช่ว่ากษัตริย์ทุกคนจะเป็นเช่นนี้ เขาสามารถเลือกที่จะเป็นกษัตริย์ผู้ไร้ความสามารถคนหนึ่ง สนใจเพียงความสุขของตัวเอง ไม่สนใจรากฐานและอนาคตของต้าฉิน ทว่าเขาทำไม่ได้
การกระทำเช่นนี้เป็นทางเลือกอย่างหนึ่งหาใช่ความจำเป็นไม่ ดังนั้นอิ๋งซื่อจึงไม่เคยบ่นและไม่เคยรู้สึกเสียใจกับตัวเอง เพียงแต่ในหัวใจศิลาของเขามีความอ่อนโยนที่ไม่มีใครรู้จักเช่นกัน ในนั้นก็ปรารถนาว่าจะมีใครสักคนที่เข้าใจและจับมือเดินเคียงข้างกันได้
ในตอนแรกอิ๋งซื่อไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษต่อซ่งชูอี แม้ว่าจะรู้ในภายหลังว่านางเป็นผู้หญิงก็ตามและไม่เคยคิดที่จะพานางเข้าวังเพื่อความสุขของตัวเอง สำหรับเขาแล้ว คนที่มีความสามารถสำคัญกว่าผู้หญิงที่น่าสนใจเสียอีก ดังนั้นเขาจึงให้พื้นที่กับนางมากพอให้นางได้สร้างผลประโยชน์ที่ดีที่สุดให้กับต้าฉินแทนที่จะปล่อยให้นางใช้ความสามารถและสติปัญญาเพื่อทำให้ตัวเองพอใจ
จนกระทั่งต่อมาเขาจึงค้นพบความรู้สึกของตัวเองที่ก่อตัวขึ้นลับๆ ซ่งชูอีทำประโยชน์ให้กับรัฐฉินเป็นอย่างมาก ทั้งยังนั่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญของพระราชสำนัก ข้างกายยังมีเจ้าอี่โหลวที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน
และการดูแลที่ดีที่สุดที่เขาสามารถมอบให้นางได้ก็คือการปล่อยวาง
อิ๋งซื่อรู้อยู่เสมอว่าตัวเองไม่ใช่คนรักของซ่งชูอีและไม่ใช่คนรักของผู้หญิงคนไหนเลย
……
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าเข้าใจทุกอย่าง
อิ๋งซื่อไม่เคยเผยความในใจ บัดนี้เพียงคำเดียวกลับอ้างว้างไม่มีที่สิ้นสุด
ในอดีตซ่งชูอีมีเหตุผลในตัวเอง ไม่เชื่อว่าผู้ชายคนใดจะชอบตน ดังนั้นนางจึงเชื่องช้าในแง่นี้ ทว่านางกลับไม่โง่ เมื่อได้รับการยืนยันแล้วก็ไม่มีการเสแสร้งใดที่สามารถหลอกตาของนางได้
อย่างไรก็ตามนางรู้ดีว่าอิ๋งซื่อไม่ใช่คนที่สามารถแตะต้องได้ ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดเรื่องส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางละเลยเรื่องนี้ ไม่ว่าความอดทนของอิ๋งซื่อที่มีต่อความสัมพันธ์นี้จะเป็นเรื่องสาธารณะหรือส่วนตัวก็ตาม นางก็รู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
นางเคยทอดถอนใจ ชาตินี้นางช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบกับกษัตริย์ที่ดีเช่นนี้ ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นศัตรูต่อกัน นางก็ยังทอดถอนใจเช่นเคย
อย่างไรก็ดีเรื่องความรักของหนุ่มสาว เจ้าอี่โหลวคือหนึ่งเดียวของนางในชาตินี้ นางเกลียดการทรยศดังนั้นนางจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้าอี่โหลว
กลิ่นธูปผ่อนคลายจางๆ ยังคงลอยอ้อยอิ่ง ซ่งชูอีรู้สึกว่าหัวของตัวเองเริ่มหนักอึ้ง
น้ำเสียงของอิ๋งซื่อทุ้มต่ำจนแทบเหมือนยั่วยวน “ในกล่องไม้ข้างเตียงมีกริชเล่มหนึ่ง ข้าจะให้โอกาสเจ้า หยิบกริชเล่มนั้นขึ้นมาฆ่าข้า”
ซ่งชูอีหัวเราะ ชั่วขณะที่กำลังจะหมดสติไป จู่ๆ นางก็เข้าใจเรื่องราวมากมาย “สมองของกระหม่อมยังมีสติอยู่ ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องตาย กระหม่อมเต็มใจที่จะฝากชื่อที่ดีไว้ให้คนรุ่นหลัง จะปลงพระชนม์กษัตริย์ได้อย่างไร…”
ซ่งชูอีรู้ดีว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่ถูกวางยา ในเวลานี้หากนางฆ่าอิ๋งซื่อด้วยกริชจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่ขัดขืนนางก็ยังมีความผิดใหญ่หลวงฐานปลงพระชนม์กษัตริย์ นางจะไม่มีวันหลงกล!
เสียงถูกขัดจังหวะ
อิ๋งซื่อรู้สึกว่าซ่งชูอีเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วก็โน้มตัวเข้าใกล้นางเล็กน้อย นิ้วลูบไล้เบาๆ อยู่บนแก้มที่พร่ามัวในแสงสลัว กระซิบข้างหูนาง “กว่าเหรินเข้าใจเจ้าลึกซึ้งกว่าที่เจ้าจินตนาการเสียอีก ความตั้งใจของกว่าเหรินก็…”
เนื่องจากเข้าใจมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องฆ่า
ซ่งชูอีไม่เหมือนกับจางอี๋ ใครให้อาหารแก่จางอี๋เขาก็ภักดีต่อผู้นั้น เขาทำให้นานารัฐขุ่นเคืองทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ในโลกนี้เขาไม่มีที่ไปแล้วนอกจากรัฐฉิน ส่วนซ่งชูอีนั้นไม่เคยภักดีต่อรัฐฉินและไม่เคยภักดีต่อเขาอิ๋งซื่อเลย! อุดมคติของพวกเขาแค่พอดีกันในจุดๆ หนึ่งแล้วก็ไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหลักการที่ต่างกันมาก ชีวิตของอิ๋งซื่ออุทิศไว้ให้อิ๋งฉินเท่านั้น ซ่งชูอีกลับกำลังดิ้นรนเพื่อโลกแห่งความสงบสุขในอุดมคติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ในอนาคต นางก็อาจละทิ้งรัฐฉินเพื่ออุดมคตินั้นได้ทุกเมื่อ
บัดนี้ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของซ่งชูอีเขียนมาถึงม้วนสุดท้ายแล้ว แม้ว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ก็เพียงพอที่จะชี้แนะทิศทางของรัฐฉินได้
บัดนี้รัฐฉินต้องการผู้ดำเนินแผนการจำนวนมาก ตัวตนของนางในฐานะผู้นำทางจะต้องถูกถ่ายทอดไปยังฉินจวินแต่ละรุ่น
นอกจากนี้เจ้าอี่โหลวยังคงควบคุมกองกำลังของรัฐฉินอยู่! แม้ว่าซ่งชูอีจะลาออกจากการเป็นทหารมาหลายปีแล้วแต่นางก็มีบารมีในกองทัพ และมีพลังในการรวบรวมผู้สนับสนุนไม่ด้อยไปกว่าแม่ทัพใหญ่ซือหม่าชั่วเลย อิ๋งซื่อในฐานะกษัตริย์องค์หนึ่ง ในชีวิตนี้ยังไม่เคยตัดสินใจอะไรผิดพลาด ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งหายนะที่แอบซ่อนอยู่ในช่วงเวลาสำคัญสุดท้ายของชีวิต
ซ่งชูอีรู้ดีว่ามันเกี่ยวกับอนาคตของต้าฉิน อิ๋งซื่อจะไม่มีวันเชื่อเรื่องส่วนตัวหรือคำสัญญาใดๆ ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องให้คำมั่นสัญญาอะไรเช่นกัน
พวกเขาไม่ได้หลงระเริงในเรื่องส่วนตัว แต่ก็เป็นเพราะความเข้าใจร่วมกันจึงต้องมาถึงจุดที่เสร็จงานฆ่าโคถึกนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าใครก็ไร้ความเคียดแค้น มีเพียงความเจ็บปวดจากความรู้สึกที่ถูกทำลาย
อิ๋งซื่อพยุงตัวขึ้นด้วยความยากลำบาก บรรจงจูบลงบนหว่างคิ้วของนาง
……
ประตูทางทิศใต้ของนครเสียนหยางเปิดออกท่ามกลางหิมะ เสียงพูดเซ็งแซ่ดังขึ้นทำลายความเงียบ
ทหารม้าในชุดเกราะสีดำมากกว่าสิบคนเร่งออกจากนครโดยทิ้งรอยไว้บนหิมะ ประตูเมืองถูกปิดลง ในไม่ช้าร่องรอยบนพื้นก็ถูกหิมะตกหนักปกคลุมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทหารม้าในชุดเกราะสีดำเหล่านี้วิ่งผ่านหิมะที่ตกหนัก มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้
พระอาทิตย์ขึ้นและตกดินติดต่อกันหลายวัน ม้าตายไปหลายตัว หลังจากเปลี่ยนพาหนะสามครั้ง ในที่สุดก็ไล่ตามกองทัพฉินที่เร่งเดินทางไปยังรัฐปาได้ทันท่วงที