ชุดเกราะดำกำลังยืนเผชิญหน้ากับกองทัพฉินท่ามกลางสายลมและหิมะ
มือธนูของกองทัพโก่งคันธนูแล้ว รองแม่ทัพคนหนึ่งกล่าวว่า “ผู้ที่มาเยือนคือใคร?”
คนที่อยู่แถวหน้าสุดของกองทัพเหล็กยกมือขึ้น ขว้างอะไรบางอย่างเข้ามา ทหารนายหนึ่งเดินเข้าไปเก็บแล้วส่งให้รองแม่ทัพดู
คนผู้นั้นเห็นว่าเป็นป้ายราชโองการก็พลิกตัวลงจากม้าทันที เข้าไปคำนับคนเหล่านั้น
แม่ทัพทหารม้าดึงหน้ากากออก ออกเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา “พาข้าไปพบท่านแม่ทัพเจ้าที”
เมื่อรองแม่ทัพเห็นใบหน้าของเขาก็ไม่มีความสงสัยอีกต่อไป รับคำว่า “ขอรับ!”
สิบกว่าคนเข้ามาในกองทัพพร้อมกับรองแม่ทัพ
มีหิมะตกแน่นหนาในพื้นที่รกร้างกะทันหันจนมองไม่เห็นทิวทัศน์ในระยะยี่สิบจั้ง
……
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ในนครเสียนหยางนั้นดีกว่ามาก
กำแพงเมืองสูงใหญ่ แม้แต่สายลมก็ไม่อาจพัดเข้ามาได้ เกล็ดหิมะที่มีขนาดเท่าขนห่านพัดกระจัดกระจายราวกับจะฝังบ้านเรือนไว้ทั้งหลัง
ซ่งชูอีปวดหัวจนแทบระเบิด ในขณะที่กำลังปีนขึ้นมาจากเตียงก็ตระหนักได้ว่าตนไม่ได้อยู่ในห้องบรรทมบนหอคอย ทว่ากลับเป็นห้องบรรทมไม่คุ้นตาแห่งหนึ่ง
บ่าวรับใช้ที่อยู่นอกกระโจมได้ยินความเคลื่อนไหวก็ถามเสียงเบา “ไท่ฟู่ ท่านตื่นแล้วหรือ?”
ซ่งชูอีถามขึ้น “ที่นี่คือที่ไหน?”
บ่าวรับใช้เอ่ย “เรียนไท่ฟู่ นี่คือห้องโถงเล็กในพระตำหนักของท่านอ๋องขอรับ”
“ข้าหลับไปนานแค่ไหน?” ซ่งชูอีสวมเสื้อผ้าพลางถาม
เด็กรับใช้ตอบทันที “ท่านหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนขอรับ”
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว มัดผมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าออกจากห้อง จ้องบ่าวรับใช้คนนั้นพร้อมกับกล่าวว่า “อาการป่วยของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?”
“บ่าวไม่ทราบ” บ่าวรับใช้เอ่ย
“ไม่มีข่าวเลยรึ?” ซ่งชูอีถาม
บ่าวรับใช้ค้อมตัว ตอบอย่างระมัดระวัง “ขอรับ”
ซ่งชูอียิ้มเย็นชา ยื่นมือเชิดคางเขาขึ้นมาเพื่อบังคับให้เขาเงยหน้าขึ้น “จากห้องโถงเล็กจนถึงห้องโถงใหญ่รวมทั้งหมดไม่ถึงห้าสิบจั้ง เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้? คิดเล่นตุกติกกับข้า ก่อนที่จะพูดออกมาได้สืบหรือเปล่าว่าข้าทำอะไร?!”
แน่นอนว่าบ่าวรับใช้คนนี้ไม่รู้อาการป่วยของอิ๋งซื่อ ทว่าพวกเขาเหล่านี้เก่งในด้านสังเกตจากสีหน้าและคำพูดที่สุด การที่สามารถปรนนิบัติในห้องโถงเล็กได้ย่อมไม่ใช่คนโง่เป็นแน่แท้ ระยะทางใกล้กันเพียงนี้ต่อให้เขาไม่รู้ในรายละเอียดก็จะต้องเดาได้คร่าวๆ จากการที่ท่านหมอเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วนรวมถึงบรรยากาศโดยรวมในพระตำหนัก
ซ่งชูอีกุมอำนาจทางการทหารมาหลายปี การควบคุมกองทัพนับแสนด้วยบุคลิกน่าเกรงขามยังไม่เป็นปัญหา นับประสาอะไรกับคนในวังเพียงคนเดียว
“บ่าว…” ขาทั้งสองข้างของบ่าวรับใช้สั่น เขาไม่พูดความจริงเนื่องจากถูกสั่งสอนไว้ว่าห้ามพูดมาก แต่ไม่มีใครสั่งให้เขาปิดบังอาการป่วยของท่านอ๋อง ภายใต้ความน่าเกรงขามของซ่งชูอี เขากล่าวอย่างมีไหวพริบ “วันนั้นอยู่ที่หอคอย ฝ่าบาทอาเจียนเป็นเลือด ท่านไม่ได้สติ ขันทีเถาขอให้ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายดูแลสถานการณ์โดยรวม ท่านมหาเสนาบดีให้ฝ่าบาทกลับห้องบรรทม และพาท่านมาไว้ในห้องโถงเล็ก และสั่งให้บ่าวดูแลท่าน”
“วันนั้น?” ซ่งชูอีหรี่ตา “ไหนบอกว่าเมื่อวานไม่ใช่รึ?”
บ่าวรับใช้ตัวสั่นสะท้าน รีบหมอบลงไปกับพื้น
ในเมื่อบอกว่านางหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน การย้ายห้องบรรทมน่าจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้! ทว่าท่านอ๋องเพิ่งจะอาเจียนเป็นเลือด จะย้ายสถานที่ทันทีได้อย่างไร? ซ่งชูอีมั่นใจว่าบ่าวรับใช้จะต้องปิดบังระยะเวลาที่นางหมดสติอย่างแน่นอน
มันไม่มีเหตุผลที่บ่าวรับใช้เล็กๆ คนหนึ่งจะโกหกนาง จางอี๋เป็นคนสั่งให้บ่าวรับใช้ปรนนิบัตินาง เช่นนั้นก็เป็นจางอี๋ที่กำชับให้ปิดบังเวลาหมดสติของนางหรือ?
ซ่งชูอีผ่อนคลายเสียงลง “เจ้ากล่าวมาตามจริง ข้าจะไม่หักหลังเจ้า”
นางเห็นว่าบ่าวรับใช้ที่หมอบอยู่บนพื้นตัวสั่นทั้งตัว ทว่ากลับไม่มีท่าทีจะเผยความจริงจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากเจ้าไม่พูด ข้าสามารถหาคนที่จะจัดการกับเจ้าได้”
บ่าวรับใช้ยังคงกัดฟันแน่น
ซ่งชูอีไม่เสียเวลาฝืนใจเขาอีก เดินไปยังประตู
“ไท่ฟู่ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายสั่งไว้ รอท่านตื่นขึ้นมาแล้วไปพบท่านอ๋องด้วยขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยเตือนเสียงสั่น
อากาศมืดมน ซ่งชูอีเห็นหิมะที่สะสมอยู่บนพื้นหนากว่าสองฉื่อแล้ว หัวใจเต้นรัวเล็กน้อย “หลายวันนี้หิมะตกหนักเพียงนี้เชียวหรือ?”
บ่าวรับใช้รีบกล่าวเสียงเบา “เรียนไท่ฟู่ ตกๆ หยุดๆ ตลอดขอรับ”
อย่างนี้นี่เอง ภายในระยะเวลาหนึ่งสองวันเกรงว่าหิมะไม่สามารถทับถมได้หนาถึงสองฉื่อ นางคาดว่าตนได้หลับไปอย่างน้อยสามวัน
ซ่งชูอีก้าวเท้าไปยังห้องโถงหลัก
หมี่จีออกมากจากห้องโถงหลักพอดี เมื่อเห็นร่างของซ่งชูอีก็หยุดเดิน หมุนตัวเดินมาทางนาง
“ไท่ฟู่” หมี่จีกล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้าน้อยๆ “หมี่ปาจื่อ”
ขณะที่เดินผ่านกัน หมี่จีค้อมตัวน้อยๆ พร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่ได้สติมาหกวันแล้ว เมื่อเช้าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ยังเสวยอะไรไม่ได้”
“อืม” หัวใจของซ่งชูอีจมดิ่งลงช้าๆ หกวัน…อาจจะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย
นางวางแผนมานานหลายปีเพียงนี้ พักค้างแรมกับอิ๋งซื่อเพียงคืนเดียวกลับทำลายทุกอย่าง เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางไม่สามารถวิ่งหนีไปได้ไกล ทำได้เพียงตอบสนองเท่านั้น
“ไท่ฟู่ ท่านอ๋องเสวยยาไปเพิ่งจะบรรทม ถ้าอย่างไรท่านกลับจวนก่อนจะดีกว่า” ขันทีเถาเอ่ย
ซ่งชูอีรู้สึกกังวลและอยากกลับไป ทว่ากลับกล่าวอย่างเป็นห่วง “ท่านอ๋องไม่เป็นไรนะ?”
“โรคเก่ากำเริบ ไท่ฟู่อย่าได้เป็นกังวล” ใบหน้าของขันทีเถาที่เจือปนรอยยิ้มจางๆ ไม่แสดงเบาะแสใดๆ เลย
ซ่งชูอีพยักหน้า “เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านอ๋องพักผ่อนแล้ว”
ซ่งชูอีหมุนตัวจากไป ไม่ได้เร่งรีบตลอดทาง มองไม่เห็นความว้าวุ่นใจใดๆ เลย
เมื่อนางกลับมาถึงจวน ร่องรอยของความเคร่งขรึมก็ปรากฏบนใบหน้า
“เด็กๆ!” ซ่งชูอีเอ่ย
เด็กหญิงรับใช้คนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ เข้ามา “นายท่าน”
“ไป๋เริ่นล่ะ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“ไป๋เริ่นกำลังนอนอยู่ในห้องหนังสือเจ้าค่ะ หลายวันนี้มันชอบนอนมาก” น้ำเสียงของสาวใช้มีความกังวลอย่างมาก นางอยู่ในจวนสิบปีแล้ว เข้าใจดีว่าไป๋เริ่นแตกต่างจากหมาป่าทั่วไป ยิ่งอากาศหนาวเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น มันจะเล่นในหิมะทุกฤดูหนาวและไม่จำศีล
“หลายวันนี้ใครมาที่จวนบ้าง?” ซ่งชูอีเห็นว่าคนในจวนมีน้อย ไป๋เริ่นจุกจิกกับเรื่องอาหารมาก ทั้งไม่กินอาหารจากคนแปลกหน้า ยากที่จะวางยามัน ในความทรงจำของนางมีเพียงอิ๋งซื่อเท่านั้นที่สามารถทำให้มันหมดสติได้เงียบๆ
สาวใช้เอ่ย “ท่านเข้าวังไปวันที่สอง ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวามาครั้งหนึ่ง เว่ยต้าจื่อขังตัวเองดูแผนภูมิอะไรสักอย่างอยู่ในห้องหนังสือ ไม่ให้ใครรบกวน ตอนที่ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวามานั้น ไป๋เริ่นตามเขาออกไปเล่นครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ก็ไม่เห็นใครมาแล้วเจ้าค่ะ”
การที่ชูหลี่จี๋ลงมือไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซ่งชูอีเลย ตอนที่คุยกันอย่างเปิดอกเมื่อหลายปีก่อน นางก็รู้สึกเสียใจอยู่แล้ว หลายปีนี้เมื่อนางคิดได้ก็ไม่เศร้าโศกอีกต่อไป “อืม ศิษย์พี่ใหญ่เข้าวังแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ เห็นบอกว่าจะไปดูอาการป่วยของท่านอ๋อง” จู่ๆ สาวใช้ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “นายท่านเจ้าคะ ตอนที่เว่ยเต้าจื่อจากไปให้บ่าวบอกกับท่านว่าเขาทำโต๊ะกระดานหมากของท่านเสียแล้ว กลับมาจะชดใช้ตัวใหม่ให้ท่าน”
“รู้แล้ว” ซ่งชูอีสั่งให้นางออกไป แล้วก้าวเท้าฉับๆ ไปยังห้องหนังสือ
ไป๋เริ่นนอนอยู่หน้าโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นซ่งชูอีเข้ามาก็เหลือบตาขึ้นมองด้วยความเกียจคร้าน
ซ่งชูอีเจอโต๊ะกระดานหมากก็สำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่งกลับไม่เห็นความเสียหายใดๆ แต่กลับพบกว่าชิ้นไม้ที่ใช้รองขาโต๊ะถูกสับเปลี่ยยน
มันเป็นหนังแกะชิ้นหนึ่งที่มีบางอย่างปูดอยู่ข้างใน
ซ่งชูอีหยิบมันออกมา หลังจากเปิดมันก็ทำให้ผงสีน้ำตาลอ่อนหกเลอะเทอะโดยไม่ได้ตั้งใจ กลิ่นยาหนักหน่วง บนหนังแกะยังมีรอยตัวอักษรเล็กๆ
ซ่งชูอีแสยะยิ้ม: ศิษย์พี่ใหญ่นี่รู้จักใช้เงินจริงๆ
ซ่งชูอีไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร นางหาถ้วยเล็กๆ แล้วเทผงยาออกมาเพื่ออ่านตัวหนังสือที่อยู่ด้านบนก่อน