บทที่ 375 กลับมาในคืนหิมะตก

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

เว่ยเต้าจื่อกำลังจัดการกับแผนภูมิไปได้ครึ่งเดียว ก็มีคนจากในวังเชิญเขาไปตรวจไข้ให้อิ๋งซื่อ

หลังจากผ่านไปหลายปีแม้ว่าเว่ยเต้าจื่อจะพยายามอย่างเต็มที่ ทว่าอาการของอิ๋งซื่อก็มาถึงจุดที่ไม่สามารถยื้อได้แล้ว ครั้งนี้อาการป่วยของเขาทรุดหนักซึ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเว่ยเต้าจื่อ

ก่อนที่เขาจะออกจากจวนก็เห็นไป๋เริ่นแสดงอาการเหงาหงอย ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติเขาจะไม่สนใจเลย อย่างไรก็ตามแผนภูมิที่ถูกแก้ไปครึ่งหนึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าชีวิตและความตายของซ่งชูอีตกอยู่ในอันตราย ทั้งยังเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ด้วย ดังนั้นจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติ จึงผัดไปอีกวันและปรุงยาแก้พิษให้ไป๋เริ่น

เขาไม่ได้ป้อนไป๋เริ่นโดยตรง ประการแรกเพราะเวลาไม่พอและไม่วางใจที่จะมอบหมายให้ผู้อื่น ประการที่สองกลัวว่าสัตว์ป่าตัวน้อยจะไม่รู้ประสา หลังจากที่อาการดีขึ้นแล้วจะออกไปกระโดดโลดเต้นและถูกผู้วางยาสังเกตเห็น

ซ่งชูอีวางจดหมายลง สั่งให้คนเตรียมเนื้อกวางครึ่งสุกครึ่งดิบ จากนั้นโรยยาในเนื้อสัตว์แล้วป้อนให้ไป๋เริ่น

“นายท่าน” มีคนเรียกนางเสียงต่ำข้างนอก

“เข้ามา” ซ่งชูอีฟังออกว่านี่คือคนกลางระหว่างนางกับฉือจวี้ มีชื่อว่ากวนเจิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต เขาเป็นผู้ดูแลห้องครัวในจวนและมักจะติดต่อกับพ่อค้าหลายรายที่จัดหาวัตถุดิบรวมถึงโรงกลั่นสุราของสกุลฉือ

เมื่อประตูเปิดออก ชายวัยกลางคนร่างผอมก็เข้ามาแล้วคำนับซ่งชูอี

กวนเจิ้งเอ่ย “ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที! ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว รอท่านมาหกวัน ข้าน้อยร้อนใจแทบแย่”

ก่อนหน้านี้ซ่งชูอีมอบหมายให้สกุลฉือช่วยเหลือ ทว่านางกลับถูกเรียกตัวเข้าวังกะทันหัน เข้าไปนานกว่าจะออกมา ชมรมป๋ออี้ก็ไร้ข่าวคราว สกุลฉือจึงรู้สึกกระวนกระวายใจ

“ไม่รีบร้อน” ซ่งชูอีสูดหายใจลึก “หกวัน…”

เนื่องจากอิ๋งซื่อได้เตรียมการไว้แล้วจะสามารถป้องกันเหตุฉุกเฉินได้อย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นที่เขาหมดสติอย่างกะทันหันครั้งนี้…และนางก็ออกมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เป็นเพราะอิ๋งซื่อปล่อยนางเช่นนั้นหรือ?

ไม่ ซ่งชูอีไม่เชื่อว่าเขาจะมีเมตตาและใจอ่อน

กลัวว่าเป็นเพราะเขาจับจุดอ่อนของนางได้และเพื่อให้มั่นใจว่านางจะไม่หนีไปไหนมากกว่า!

“อี่โหลว” ซ่งชูอีพึมพำ ในสถานการณ์เช่นนี้นอกจากเขาแล้วไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถฉุดรั้งนางได้

“ก่อนอื่นเจ้าแอบส่งข้อความเพื่อขอให้ฉือจวี้ส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ที่รัฐฉินส่งทัพไปยังปาจวิ้นก่อน” ซ่งชูอีเอ่ย

กวนเจิ้งเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “รัฐฉินออกทัพแล้วหรือ? เมื่อไรกัน?”

ดวงตาของซ่งชูอีสั่นไหว เจ้าอี่โหลวถูกส่งทัพออกไป ก่อนที่นางจะมีเวลาสืบเกี่ยวกับสถานการณ์ก็ถูกเรียกตัวเข้าไปในวังทันที แต่คนอื่นๆ กลับไม่เคยได้ยินเรื่องที่รัฐฉินส่งกองกำลังเลย เป็นไปได้ไหมที่อี่โหลว…

การส่งกำลังพลอาจดำเนินไปอย่างลับๆ ในกลางดึก แต่สงครามไม่สามารถปิดเงียบได้ ซ่งชูอีสงบสติอารมณ์ “รัฐฉู่มีความเคลื่อนไหวใดบ้าง? เคยวางแผนที่จะเปิดศึกกับรัฐฉินบ้างไหม?”

กวนเจิ้งกล่าวด้วยความมั่นใจ “ไม่มีขอรับ แม้ข่าวสารของข้าน้อยไม่ไวนักแต่ไม่ถูกปิดกั้น หากเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้จริง ข้าน้อยจะไม่ได้ยินข่าวได้อย่างไร”

ซ่งชูอีครุ่นคิด: อิ๋งซื่อ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? หากคิดจะเอาชีวิตข้า แค่ลงมือก็จบแล้วไม่ใช่หรือ?

คิดไปคิดมา นางสามารถคิดได้เพียงแรงจูงใจเดียว อิ๋งซื่อกลัวว่าหากฆ่านางโดยตรง มันจะส่งผลต่อบัณฑิตที่จะรับใช้ฉินในอนาคต

ท้ายที่สุดการตายของซางยางสามารถโยนไปให้ตระกูลเก่าแห่งรัฐฉินได้ ทว่าหากนางตายอย่างมีเงื่อนงำคนใต้หล้าจะคิดอย่างไร? มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพล! แม้กระทั่งการตายของซางยางก็จะถูกสอบสวน

แม้ว่าพวกเขาจะเข้าสู่ราชวงศ์ฉินเพื่อแสดงจุดแข็งและเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยาน สุดท้ายมันก็กลายเป็นผลงานอมตะของรัฐฉิน ด้วยการทุ่มเทเวลาชั่วชีวิต สุดท้ายชะตากรรมอาจทำให้พวกเขาถูกม้าห้าตัวแยกศพหรือถูกลอบสังหารอย่างลับๆ มันจะไม่ชวนหนาวสะท้านไปหน่อยหรือ?

ดังนั้น อิ๋งซื่อจะต้องหาข้ออ้างที่เหมาะสมสำหรับการตายของนางเหมือนกับตอนที่ฆ่าซางยาง…

“ท่านเจ้าคะ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาขอพบเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวอยู่ข้างนอก

ซ่งชูอีส่งสายตาให้กวนเจิ้ง เขาลุกขึ้นทันทีและออกไปจากประตูด้านข้างเงียบ ๆ

ไป๋เริ่นเพิ่งจะกินเนื้อกวางหมดก็ราวกับว่าอาการดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ มันคลานร่างขนาดใหญ่เข้าไปหาซ่งชูอี แล้ววางหัวไว้บนต้นขาของนาง

สาวใช้เปิดประตูห้อง เชิญชูหลี่จี๋เข้ามา

แสงหิมะพร่างพราวส่องเข้ามาจากด้านหลัง ใบหน้าของชูหลี่จี๋ตกอยู่ในความมืด ซ่งชูอีสามารถมองเห็นเพียงร่างสูงใหญ่ของเขา

ใบหน้าคุ้นเคยนั้นค่อยๆ เผยออกมาในแต่ละย่างก้าว คิ้วทั้งคู่เฉียบคม ดวงตาส่องสว่าง ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มสัมผัสแห่งความสงบและมีเสน่ห์ให้กับเขา รูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายกับอิ๋งซื่ออย่างชัดเจน แต่นิสัยใจคอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“หวยจิน” ชูหลี่จี๋เอ่ย

ซ่งชูอีเอ่ย “พี่ใหญ่เชิญนั่ง”

การเคลื่อนไหวของชูหลี่จี๋หยุดชะงักเล็กน้อย กล่าวอย่างเศร้าๆ “หวยจินเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ทำให้ข้าละอายใจยิ่งนัก”

ซ่งชูอียิ้มเอ่ยเฉยเมย “ท่านและข้ารู้จักกันเพราะต้าฉิน และหันหลังให้แก่กันเพราะต้าฉิน มันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและคาดหวังไว้แล้วไม่ใช่หรือ? นับตั้งแต่ที่ข้ายินยอมเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ ตอนนี้ก็ยังเต็มใจ”

ชูหลี่จี๋เฟ้นหาผู้มีความสามารถแก่ต้าฉิน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาริเริ่มที่จะคุยกับซ่งชูอี ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกันโดยบังเอิญและนิสัยก็ค่อนข้างคล้าย ซ่งชูอีสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งดีๆ ที่ชูหลี่จี๋ปฏิบัติต่อนางในภายหลังนั้นมาจากใจไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์ของรัฐฉินไปเสียทั้งหมด

ซ่งชูอีเข้าใจเป็นอย่างดีว่าชูหลี่จี๋เหมือนกับอิ๋งซื่อ ล้วนทำเพื่อรัฐฉิน ในเมื่อคาดเดาได้ว่าช้าเร็วก็จะเกิดสถานการณ์เช่นวันนี้ เหตุใดนางจะต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วย?

“หวยจินใจกว้าง ข้าเทียบไม่ติดเลย” ชูหลี่จี๋คุกเข่าลงบนที่นั่งด้านขวาของนาง มีความกังวลอยู่บนคิ้วที่ผูกกันเป็นปม “แม่ทัพเจ้ากลับมาแล้ว”

คิ้วของซ่งชูอีกระตุก สีหน้ายังคงเรียบเฉย รอคำพูดต่อไปของเขาเงียบๆ

“ผู้อารักขาลับส่งข่าวมาบอกว่ารัฐฉู่เตรียมตัวเข้าสู่สงครามแล้ว แต่สงครามที่แท้จริงยังไม่เริ่ม การที่ท่านอ๋องสั่งให้ส่งกองกำลังไปยังปาจวิ้นนั้นเป็นการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า และการส่งแม่ทัพเจ้าก็เพราะประทับใจความรุ่งโรจน์ทางทหารของเขาในรัฐปาสู่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ชาวฉู่รู้จักชื่อของเขาดี” ในตอนแรกชูหลี่จี๋ไม่ได้สงสัยใดๆ และรู้สึกว่าการตัดสินใจของอิ๋งซื่อนั้นสมเหตุสมผลมาก “แต่ข้าได้รับคำสั่งลับจากฝ่าบาทให้ใช้ประโยชน์ก่อนที่กองทัพจะมาถึง ส่งอิ๋งจื๋อไปแทนที่ท่านแม่ทัพเจ้า และสั่งให้ข้าเขียนจดหมายระบุว่าเจ้าถูกควบคุมตัวในวัง”

ซ่งชูอีเคยบอกเจ้าอี่โหลวว่าชูหลี่จี๋ไม่น่าเชื่อถือ เขาจะถูกหลอกกลับมาจริงหรือ?

“เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าแม่ทัพเจ้ามาถึงด่านหานกู่แล้ว” ชูหลี่จี๋เอ่ย

ซ่งชูอีมองเขา ยากที่จะแยกแยะว่าเป็นความจริงหรือเท็จ เขาคิดว่านางไม่มีทางหนีไปได้ดังนั้นจึงให้นางเตรียมตัวล่วงหน้า? หรือว่าจงใจจะหลอกลวง?

“ฝ่าบาทต้องการให้ข้ากับอี่โหลวลงเอยร่วมกันหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย

ชูหลี่จี๋เงียบงันเนิ่นนานก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ากับข้าคบกันมาเกือบยี่สิบปี ข้าไม่สามารถยอมแพ้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ตั้งแต่ข้ายังเด็กข้าสาบานว่าจะใช้ทั้งชีวิตนี้ช่วยบ้านเมืองและกษัตริย์ต่อหน้าบิดาของข้า จนถึงบัดนี้ข้ายังไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจเดิม ที่ข้าพูดได้มีเท่านี้”

ซ่งชูอีพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ในใจยังคงสงสัยในสิ่งที่เขาพูด แต่ถ้าสิ่งที่ชูหลี่จี๋พูดเป็นความจริง เช่นนั้นทันทีที่เจ้าอี่โหลวเข้ามาในด่านหานกู่ ชะตากรรมของเขาก็จะตกอยู่ในมือของอิ๋งซื่อ การที่เขาบอกนางเรื่องนี้เป็นเพราะมิตรภาพร่วมยี่สิบปี ต้องการให้นางหลบหนีและปกป้องชีวิตเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ

ดวงไฟเล็กเท่าเมล็ดถั่ว

ลมและหิมะคำรามอยู่ด้านนอกทำให้ประตูและหน้าต่างกระพืออย่างรุนแรง หน้าต่างดูเหมือนจะทนแรงกดดันไม่ไหวส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านจะถล่มลงมา

ทุ่งหิมะในยามราตรีจากด่านหานกู่ไปจนถึงเสียนหยางนั้นกว้างใหญ่ไพศาล

ขบวนม้าเร็วได้พุ่งตรงไปยังนครเสียนหยาง หัวใจของผู้ที่กลับมาในยามวิกาลนั้นราวกับลูกศรท่ามกลางพายุหิมะ