ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 74-2 มุมถนน

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ดีที่แม้ว่าเว่ยซินหย่งจะเพียบพร้อมทั้งความสามารถและหน้าตาทั้งยังถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ แต่สิ่งที่จะชดเชยให้เขาได้กลับง่ายดายเสียยิ่งนัก นั่นก็คือ เงิน

ต่อให้ไม่มีเงินก็มิเป็นไร เว่ยซินหย่งไม่ใช่คนเรื่องมาก …ทองคำ ไข่มุกล้วนได้ทั้งสิ้น

ไม่ว่าอย่างไร หลิวรั่วอวี้ก็แต่งเข้าตำหนักตะวันออก สินติดตัวที่ตระกูลหลิวมอบให้นางก็ยังเทียบเคียงจากตวนมู่เวยเหมี่ยวซึ่งเป็นพระชายาองค์รัชทายาทคนก่อน และเป็นเพราะว่าตวนมู่เวยเหมี่ยวก็เป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ ลำดับตระกูลของตระกูลหลิวก็มิได้ต่ำต้อยว่าตระกูลตวนมู่ หลิวรั่วอวี้ก็เป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทเช่นกัน ตระกูลหลิวย่อมไม่อาจให้นางน้อยหน้าได้

จะว่าไปนางก็ได้อานิสงค์จากตวนมู่เวยเหมี่ยว คุณหนูใหญ่ตระกูลตวนมู่ผู้นี้เป็นที่รักใคร่ของท่านย่ายิ่งนัก ครั้งนางออกเรือนท่านย่าของนางก็เพิ่มสินติดตัวให้นางมากกว่าพระชายาองค์รัชทายาทพระองค์แรกอีกมากมายนัก ฉะนั้นเมื่อถึงคราวที่หลิวรั่วอวี้จะมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทพระองค์ที่สามในรัชสมัยปัจจุบัน เพื่อรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูล ตระกูลหลิวจึงจงใจมอบสินติดตัวให้นางมากกว่าของตวนมู่เวยเหมี่ยวอีกจำนวนหนึ่ง …หลิวรั่วอวี้จึงมิได้ขาดเหลือเงินทองที่จะเอาไว้ซื้อตัวเว่ยซินหย่ง หาไม่แล้วเว่ยซินหย่งก็จะไม่นำเรื่องของเว่ยฉางเจวียนมาบอกกับนางอย่างกระตือรือร้น

ปัญหาคือที่ไปของเงินทองจำนวนมากนี้ หากคิดจะปิดฮองเฮาเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากอยู่ในสายตาของผู้ที่จ้องจะจับผิดแล้วนี่ก็เป็นพิรุธอย่างหนึ่ง…

ในขณะที่หลิวรั่วอวี้ใคร่ครวญว่าจะหว่านล้อมเว่ยซินหย่งกลับมาอย่างไรดีอยู่นั้น เว่ยซินหย่งก็กำลังหารือกับซ่งไจ้สุ่ยเพื่อเก็บกวาดเรื่องของเว่ยฉางเจวียน “ฮองเฮากู้เกรงกลัวตระกูลสูงศักดิ์เกินไป ดูท่าว่าหากจะยืมมือนางมากำจัดจางเสากวงแม่ลูกกลับมิได้เสียแล้ว”

“ข้าพูดไว้นานแล้วว่าพระชายาองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันเป็นฮองเฮากู้คัดเลือกมาด้วยตนเอง แล้วนางจะยกก้อนหินมาทุ่มใส่ขาตนเอง ด้วยการเป็นคนโค่นล้มสมุหกลาโหมหลิวซือฮวายลงเองได้อย่างไร?” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยพลางขมวดคิ้วเข้ามาน้อยๆ

ซ่งไจ้สุ่ยเข้าใจฮองเฮากู้แม่ลูกเป็นอย่างดี …ก็ผู้ใดใช้ให้นางต้องเฝ้าฝันว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถล้มเลิกสัญญาแต่งงานกับองค์รัชทายาทเซินสวินอยู่ตั้งหลายปี?

ทั้งเรื่องนิสัยใจคอรวมทั้งสิ่งที่ฮองเฮากู้และองค์รัชทายาทเซินสวินโปรดปราน อดีตว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทเช่นนางล้วนท่องจนขึ้นใจได้มาตั้งนานแล้ว ก่อนนี้เป็นเพราะเรื่องของเว่ยฉางเจวียนนั้นใหญ่โตและเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนเกินไป ในขณะที่กำลังลนลานซ่งไจ้สุ่ยจึงเชื่อฟังและทำตามแผนการของเว่ยซินหย่งไปเสียทั้งหมด ภายหลังมาคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง และในขณะที่มาเอ่ยกับเว่ยซินหย่งอีกครั้ง เว่ยซินหย่งกลับตัดสินใจว่าจะนิ่งรอดูเหตุการณ์สักสองสามวันค่อยคิดการต่อไป

ปรากฏว่าพอนิ่งรอดู ก็กลับได้พบกับมือสังหารที่ฮองเฮากู้ส่งมาเสียนี่!

หากมิใช่เพราะตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปทำงานที่อำเภอเฉาอวิ๋น เว่ยซินหย่งเลี้ยงดูปูเสื่อพวกกองโจรที่พามาจากเขาเฟิงฉีเป็นอย่างดี จึงทำให้ข้างกายเขามีคนสองสามคนที่พอจะใช้การได้ หาไม่แล้วก็เกรงว่าจะต้องมาตายไปในขณะที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่เช่นนี้แล้ว อีกทั้งยามนี้ตนเองก็ยังต้องแบกรับฐานะชู้ของพระชายาองค์รัชทายาทเอาไว้อีกด้วย…

สีหน้าของเขาในตอนนี้จึงไม่น่าดูยิ่งนัก “เดิมทีข้านึกว่าสมุหกลาโหมกำลังรุ่งเรือง ส่วนทางฝั่งของหลิวไห้นั้นไม่มีอันใด ต่อให้หลิวรั่ววั่วนั่นเฉลียวฉลาดเพียงใด แต่ก็ยังอายุน้อยนัก เมื่อฮองเฮากู้รู้ความจริงของเรื่องนี้แล้ว ก็จะสามารถบีบหลิวซือฮวายด้วยเรื่องนี้ได้ …ครานี้เป็นข้าพลาดไป”

“สมุหกลาโหมจะยอมถูกบีบด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร?” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าความจริงแล้ว ฮองเฮากู้ไม่กล้าแตกหักกับตระกูลหลิว เพราะหากนางแตกหักกับตระกูลหลิวขึ้นมาวันใด ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนไม่เกิดผลดีต่อตัวฮองเฮาเอง กลับกันนางกลับสูญเสียพันธมิตรไปคนหนึ่ง ว่ากันแต่เพียงเรื่องที่ ฮองเฮากู้ไม่อาจทนรับเรื่องนี้แทนองค์รัชทายาทได้ ก็เพราะหากเกิดเรื่องจนแตกหักกับ ตระกูลหลิวขึ้นมาจริงๆ อันดับแรกหลิวซือฮวายก็จะต้องจัดการให้จางเสากวงและ หลิวรั่วเหยีย ‘ป่วยตาย’ ไปเสีย ถึงยามนั้นเมื่อตายไปแล้วก็จะไม่มีพยาน …ต่อให้เจ้ามี ‘จดหมายสั่งเสียของ’ เว่ยฉางเจวียน แต่ดีชั่วคนที่เขียนก็ตายไปแล้ว ต่อให้ตายตระกูลหลิวก็จะไม่ยอมรับ หรือว่ายังมีผู้ประเสริฐใดที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นดำขาวชัดแจ้งได้อีก?”

เว่ยซินหย่งกุมขมับ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนล้าว่า “ตระกูลหลิวเองก็มิได้ให้ความสำคัญกับฮองเฮากู้แม่ลูกเท่าใด หาไม่แล้ว พระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่ควรเป็น หลิวรั่วอวี้ที่ไม่ได้รับความสำคัญจากในตระกูล หากแต่เป็นหลิวรั่วเหยียที่เป็นที่รักยิ่งของบิดามารดาแล้ว สำหรับเรื่องนี้คิดว่าฮองเฮากู้ก็คงจะเข้าใจดี หากข้าเป็นนาง ข้าก็จะคว้าโอกาสนี้เอาไว้เพื่อทำให้ตระกูลหลิวว่านอนสอนง่ายขึ้นสักหน่อย ก็มิใช่ว่าฮองเฮาและองค์รัชทายาทสามารถผูกมิตรกับตระกูลหลิวได้เพียงตระกูลเดียวเท่านั้นหรืออย่างเช่นเรื่องครั้งฉางอิ๋งและฉางเฟิงถูกลอบสังหารที่นอกตัวเมืองเฟิ่งโจวก่อนนี้ ตระกูลหลิวก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย บิดาท่านก็เป็นลุงแท้ๆ ของฉางอิ๋งและฉางเฟิง ตระกูลเสิ่นก็เป็นบ้านฝั่งสามีของฉางอิ๋ง คู่หมั้นของฉางเฟิงก็มาจากตระกูลซูแห่งชิงโจว …หากตระกูลหลิวไม่ยอมเชื่อฟัง ก็อาศัยโอกาสนี้เชิญตระกูลเว่ย ตระกูลซ่ง ตระกูลเสิ่น แล ตระกูลซูมาร่วมกันจัดการพวกเขา ย่อมไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะไม่ยอมก้มหัวให้!”

ซ่งไจ้สุ่ยส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ง่ายดายเพียงนั้น ฮองเฮากู้เป็นบุตรีตระกูลใหญ่ นางย่อมหวั่นเกรงตระกูลสูงศักดิ์มาแต่ไร ทว่าก็มิใช่เพียงแค่นางเท่านั้น ฮ่องเต้เองก็มิใช่เป็นเช่นนี้เช่นกัน? ยิ่งไปกว่านั้นองค์รัชทายาทเองก็ไม่ได้ความ หากมิใช่ว่าฮ่องเต้พระชันษาสูงแล้ว ด้วยเรื่องเหลวแหลกที่เขาเคยทำมาก่อนหน้านี้ ตำแหน่งผู้สืบราชบัลลังก์จะยังมั่นคงอยู่อีกหรือไม่ก็ยังพูดยากเลย อีกประการหนึ่งเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ก็มิใช่ว่าจะเชิญมาได้ง่ายๆ ฉางอิ๋งเป็นที่รักของท่านย่ารองของข้ายิ่งนัก แต่ท่านก็รู้ว่าสำหรับคนเช่นพวกเราแล้ว ความรักใคร่ที่ญาติผู้ใหญ่มีต่อลูกหลานกับความรักที่ญาติผู้ใหญ่มีต่อแผนการสำหรับวงศ์ตระกูลนั้นล้วนเป็นคนละเรื่องกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราหลายตระกูลก็คิดว่าองค์รัชทายาท …”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ซ่งไจ้สุ่ยก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ท่านหลอกใช้ข้า?”

เว่ยซินหย่งยิ้มน้อยๆ มิได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด แล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ยามนี้องค์รัชทายาทยังไม่ขึ้นครองราชย์ เขาก็ย่ำยีบุตรีจากภรรยาเอกของตระกูลเว่ยเสมือนเป็นเพียงดอกไม้ริมทาง รอจนเข้าขึ้นครองราชยแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลจะถูกเขาจัดการเช่นใด? แล้วตระกูลสูงศักดิ์จะทนไหวได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ยังเป็นแต่ละตระกูลแอบลงไม้ลงมือกันเอง แต่ดูไปแล้วยามนี้ทั้งหกตระกูลสูงศักดิ์ก็น่าจะมาร่วมมือกันแล้วกระมัง?”

ซ่งไจ้สุ่ยจ้องเขาเขม็งอยู่เนิ่นนาน แล้วเอ่ยเสียงเย็นไปว่า “ครานี้ท่านก็มาว่าดังนี้แล้ว? แล้วก่อนนี้ที่บอกว่าท่านอาเขยของข้ายังไม่หายดี ตระกูลเว่ยจึงจะต้องยอมอยู่นิ่งไม่ทำการใดอันใดนั่น แล้วก็หลอกให้ข้าต้องทำตามแผนการของท่านไปทุกๆ เรื่อง …ที่แท้ก็เพื่อต้องการบีบให้หกตระกูลสูงศักดิ์มาร่วมมือกันใช่หรือไม่?”

“หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปแล้ว นอกจากจะทำให้ตระกูลเว่ยเสียหน้าแล้ว ตระกูลเว่ยก็ต้องออกหน้าไปทวงถามกับฮ่องเต้ ซึ่งไม่แน่ว่าอีกห้าตระกูลสูงศักดิ์ที่เหลือเช่นตระกูลหลิวจะหันมาจัดการตระกูลเว่ยสักหนเพราะตนเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์” เว่ยซินหย่งเอ่ยเย้ยหยันว่า “แล้วไยต้องเป็นเช่นนั้น? หากทั้งหกตระกูลมาร่วมมือกัน ก็จะได้ไม่ทำให้เรื่องยืดเยื้อไม่ดีหรอกรึ? อีกประการในเมื่อเรื่องนี้เป็น ตระกูลหลิวก่อขึ้นมา อย่างไรก็ควรเป็นตระกูลหลิวเป็นคนสร้างความชอบลบล้างความผิดสิ!”

“ท่านช่างเป็นบุตรบุญธรรมแสนดีที่คำนึงถึงตระกูลเว่ยอย่างหมดจิตหมดใจเสียจริง!” ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มทั้งโทสะ “ฉางอิ๋งบอกข้าเสมอมาว่าท่านเจ้าเล่ห์ ข้าก็หลงนึกว่าท่านน่าจะพอเชื่อถือได้บ้าง ที่แท้ฉางอิ๋งกลับเห็นการณ์ได้แม่นยำกว่าข้านัก!”

เว่ยซินหย่งยิ้มจางๆ “คุณหนูซ่งไยต้องเป็นเช่นนี้? ความจริงแล้วที่ข้าเชิญท่านมาช่วยเหลือตลอดหลายวันมานี้ ก็มีผลดีแก่ท่านด้วย ถ้าไม่เชื่อท่านลองดูคุณชายที่อยู่ตรงมุมถนนข้างนอกนั่นสิ หากมิใช่ว่าท่านเชิญพี่ชายของท่านให้ออกมาด้วยยามหารือกับข้าตลอดหลายครั้งมานี้ ก็ไม่รู้ว่าคนผู้นี้ยังต้องหลบซ่อนตัวไปถึงยามใดกระมัง?”