“มุมถนน?” ดวงตาของซ่งไจ้สุ่ยสั่นไหวนิดๆ แล้วมองไปยังชุนจิ่งที่อยู่ข้างๆ คราวหนึ่ง ชุนจิ่งเข้าใจความหมาย จึงค่อยๆ ย่องไปดูที่หอข้างๆ จากนั้นก็ถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วพยักหน้าน้อยๆ
ซ่งไจ้สุ่ยหันไปมองทางเว่ยซินหย่ง “เป็นผู้ใด?”
“จางลั่วหนิงคุณชายใหญ่ตระกูลจาง” เว่ยซินหย่งเอ่ยยิ้มๆ “ตั้งแต่ครั้งก่อน ทุกครั้งที่ท่านออกมา เขาล้วนคอยดูอยู่ใกล้ๆ”
“คนผู้นี้ต้องการสิ่งใดกัน?” ซ่งไจ้สุ่ยเลิกคิ้วพลางถาม ในใจก็แอบขบฟันคิดว่าในเมื่อเว่ยซินหย่งรู้ว่าหลายครั้งก่อนจางลั่วหนิงก็คอยอยู่ใกล้ๆ ตนตลอดมา เห็นชัดว่ามิใช่เพิ่งจะมาเห็นในเวลานี้ ทว่าเขากลับไม่ยอมพูด …แม้ยามนี้จะพูดแล้ว แต่ตามความเข้าใจของซ่งไจ้สุ่ยที่มีต่อเขาแล้ว เกรงว่าที่เขาพูดออกมานี้ก็เพียงเพื่อรับมือกับเรื่องที่ตนเอ่ยถามไปตรงๆ เมื่อครู่นี้เท่านั้น ซึ่งไม่แน่ว่าเรื่องนี้ก็อาจเป็นหลุมพรางของเขาด้วย?
เมื่อถูกเขาวางแผนหลอกใช้งานมาหลายครา พอมองไปที่นายท่านหกเว่ยผู้นี้อีกครั้งก็เหมือนเป็นการชมบุปผากลางหมอกเช่นนั้น มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าคำพูดของเขาเรื่องใดจริงเรื่องใดเท็จกันแน่? ซ่งไจ้สุ่ยทะนงตนว่าเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด แต่ยามนี้ก็ยังต้องรู้สึกหนักใจ
เว่ยซินหย่งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่บ้านจางผู้นี้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงนัก ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเจ้าชู้ประตูดิน บางทีเขาอาจพึงใจในตัวท่าน จึงได้คอยมองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความหลงใหลเช่นนี้?
“ยามนี้ข้าไม่มีแก่ใจมาล้อเล่นกับท่าน” ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเว่ยซินหย่งพูดไร้แก่นสาร จึงยิ้มหยันแล้วกล่าวไป “จางลั่วหนิงผู้นี้เป็นเรื่องใดกันแน่?”
จางลั่วหนิงผู้นี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในหมู่ตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะเติบโตมาในเจียงหนานและเพิ่งจะมาที่เมืองหลวงไม่กี่ปีมานี้เท่านั้น แต่ก็เคยได้ยินเติ้งวานวานและนางฮั่วผู้เป็นพี่สะใภ้เอ่ยถึงเขามาก่อน จางลั่วหนิงผู้นี้ชำนาญการแต่งกวีความรักชายหญิง แม้จะหลายคนจะเห็นว่าเป็นกวีประโลมโลกที่ไร้แก่นสาร แต่กลับเป็นที่นิยมกันอย่างมากในสถานเริงรมย์ต่างๆ จึงได้ชื่อว่าเป็นกวีอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคนผู้นี้ก็มีอย่างไม่จำกัด ในเสียงเล่าลือยังบอกว่าเขาเป็นแขกร่วมห้องของคณิกาเลื่องชื่อแทบทั้งหมดในเมืองหลวงด้วย…
ตามความคิดของซ่งไจ้สุ่ยแล้ว คนเช่นนี้จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันตนได้? ประการแรกตระกูลซ่งและตระกูลจางไม่ได้คบค้าสมาคมอันใดต่อกัน ประการที่สองตนเองก็ไม่เคยพบกับจางลั่วหนิงมาก่อนเลย ฉะนั้นหากจางลั่วหนิงจะมาสนใจตน ซ่งไจ้สุ่ยก็คิดขึ้นมาทันใดว่าจะต้องมีแผนการร้ายใดซ่อนอยู่เป็นแน่!
หาไม่แล้วคนที่มีหญิงงามรู้ใจอยู่ทั่วเมืองหลวงจะออกมาลอบดูสตรีที่เสียโฉมอายุก็มากเกินไป ทั้งยังหมั้นหมายแล้วทำสิ่งใด?
เว่ยซินหย่งมองนางอย่างมีนัยยะสำคัญคราวหนึ่ง กล่าวว่า “เหตุใดท่านจึงรู้ว่าข้าพูดเล่น มิใช่เรื่องจริง? ท่านลองคิดดูสิว่าดีชั่วจางลั่วหนิงก็เป็นกวีมีชื่อในเมืองหลวง หากเพียงแค่มาจับตาดูท่าน ไยเขาต้องมาด้วยตนเอง? ส่งบ่าวคนสนิทสักคนสองคนมาก็มิใช่ว่าจัดการได้แล้วรึ? แต่สองสามครั้งมานี้เขาล้วนมาด้วยตนเอง ข้าเคยให้คนคอยดูเขาอยู่ข้างหลัง ทุกครั้งเขาล้วนรอจนท่านเข้าจวนไปแล้วและยังคงเดินวนเวียนอยู่ข้างนอกพักหนึ่งจึงค่อยไป นี่หากมิใช่พึงใจในตัวท่าน แต่กลับติดที่ชายหญิงแตกต่างกัน ทั้งท่านยังมีคู่หมั้นแล้ว ฉะนั้นจึงทำได้เพียงปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ ท่าน คอยแอบมองผ่านหมวกปิดหน้าและม่านรถสักสองสามหนพอได้คลายคิดถึง แล้วจะเป็นสิ่งใดได้?”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “คำพูดนี้น่าขันนัก! แม้จะเป็นตอนที่ข้ายังไม่เสียโฉมก็หาใช่หญิงงามจนล่มบ้านล่มเมืองได้ ในเมื่อยามนี้เสียโฉมแล้ว อายุก็มาก แต่กลับได้ยินว่าจางลั่วหนิงผู้นั้นมีหญิงงามรู้ใจอยู่ทั่วเมือง เขาเป็นกวีที่มีชื่อเสียงคับเมืองหลวง จะมาพึงใจใดกับข้า?” นางรู้สึกว่าการพูดเรื่องเช่นนี้ช่างไร้สาระเสียจริงๆ จึงเอ่ยถามไปอีกว่า “จางลั่วหนิงผู้นี้เป็นคนของผู้ใด? เขาทำเช่นนี้เพราะต้องการทำสิ่งใดกันแน่? ข้าไม่เชื่อว่าท่านสังเกตเห็นเขามาตั้งแต่หลายครั้งก่อนแล้ว แต่จนยามนี้ก็ยังไม่รู้!”
เว่ยซินหย่งเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าเพียงแค่สอบถามมาได้ว่า เขาสนิทกับเสิ่นจั้งเฟิงไม่เลวเลย ทว่าพอพูดย้อนกลับมา ในราชองครักษ์ทั้งสาม เสิ่นจั้งเฟิงก็มีวาสนาเรื่องคนดีมาโดยตลอด จะเป็นรองก็แต่กู้อี้หรานเท่านั้น”
“เสิ่นจั้งเฟิง?” เดิมทีซ่งไจ้สุ่ยนึกว่าหากจางลั่วหนิงมิใช่คนของฮองเฮา เช่นนั้นก็น่าจะมีความเกี่ยวพันกับจางเสากวง แต่กลับไม่คิดว่าเว่ยซินหย่งจะเอ่ยถึงน้องเขยของตน จึงอดจะตกตะลึงไม่ได้ กำลังคิดจะถามต่อ แต่จู่ๆ เว่ยซินหย่งกลับลุกขึ้น บอกว่า “เวลาพอประมาณแล้ว หลังเที่ยงข้านัดหมายกับเว่ยเซิ่งอี๋เอาไว้ ขอตัวลา!”
ว่าจบก็ไม่ให้โอกาสซ่งไจ้สุ่ยรั้งตัวไว้ พลันสะบัดชายเสื้อแล้วจากไปทั้งเช่นนี้
“ท่าน…” ซ่งไจ้สุ่ยขัดเคืองขึ้นมาน้อยๆ เพียงแต่เว่ยซินหย่งยังคงยืนกรานว่าจะไป แม้ว่าห้องส่วนตัวในหอน้ำชานี้จะสงบเงียบนัก แต่ข้างนอกกลับมีคนขวักไขว่ไปมา นางเองจึงไม่อาจให้สาวใช้เข้าไปดึงเขาเอาไว้ หากทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาและทำให้คนสนใจ ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีข่าวลือใดออกมาหรือไม่? เมื่อร้องเรียกไปคำหนึ่ง จึงได้แต่กระทืบเท้าอย่างชิงชัง
ห้องส่วนตัวนี้แบ่งเป็นชั้นในและนอก ตอนที่ซ่งไจ้สุ่ยกระทืบเท้า ซ่งไจ้เจียงที่ดื่มน้ำชารออยู่ที่ห้องชั้นนอกก็เดินเข้ามาแล้ว และเอ่ยกับน้องสาวว่า “ท่านอาหกเว่ยไปแล้ว พวกเรากลับกันหรือไม่?”
“เฮ่อ กลับสิเจ้าคะ” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยพลางรับหมวกคลุมหน้าที่เซี่ยจิ่งส่งมาให้อย่างกลัดกลุ้ม
ในบรรดาลูกหลานตระกูลเลื่องชื่อ ซ่งไจ้เจียงเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าจิตใจดี ทว่าเมื่อเขามากับน้องสาวที่ยังไม่ออกเรือน เพื่อมาพบกับท่านอาเพียงในนามที่อยู่ในวัยหนุ่มผู้หนึ่งตลอดสองสามครั้งมานี้ ขากลับเขาก็อดจะขยับเข้าไปข้างรถม้าและเตือนซ่งไจ้สุ่ยอ้อมๆ ด้วยเสียงเบาว่า “เจ้ามีคำพูดจะพูดกับท่านอาหกเว่ยก็ไม่จำเป็นต้องมาพูดต่อหน้า แม้จะไม่ไว้ใจบ่าว คราหน้าข้าจะมาถ่ายทอดคำพูดให้เจ้าเอง ออกมาพบบ่อยครั้งเช่นนี้ หากเรื่องแพร่งพรายออกไปก็จะไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย”
“เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” ในใจของซ่งไจ้สุ่ยยังคงคิดถึงเรื่องของจางลั่วหนิง จึงตอบรับไปส่งๆ คำหนึ่ง ปล่อยม่านรถลงแต่กลับสั่งชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งว่า “ส่งกระจกพกของพวกเจ้าให้แก่คนขับรถม้าจากทางหน้าต่าง ให้คนขับคอยสังเกตดูข้างหลังรถ ดูว่าจางลั่วหนิงผู้นั้นยังตามพวกเรามาอยู่หรือไม่?”
คนขับรับทราบงานนี้ผ่านทางหน้าต่างรถ และจงใจเดินทางให้ช้าลงตามคำของ ซ่งไจ้สุ่ย เลี้ยวไปไม่ทันสองครั้ง คนขับรถก็กระแอมคำหนึ่ง เซี่ยจิ่งรีบเปิดม่านรถขึ้นแล้วโผล่หัวออกไปถามว่า “เป็นอย่างไร?”
“คุณชายใหญ่ตระกูลจางผู้นั้นยังคงตามหลังเรามาจริงดังว่า” คนขับเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “ยามนี้จะทำเช่นใด?”
“ทำเช่นใด?” ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเยาะพลางเงยข้างขึ้น “ไปขอให้พี่รองพาคนกลุ่มหนึ่ง ไปล้อมตัวจางลั่วหนิงไว้ในตรอกข้างหน้า แล้วสอบถามเขาต่อหน้าให้ชัดเจน!”
คนขับไม่ได้รู้ว่าที่ซ่งไจ้สุ่ยออกมาสองสามครั้งนี้ล้วนเพื่อมาพบกับเว่ยซินหย่ง นึกแต่เพียงว่าระยะนี้คุณหนูบ้านตนอารมณ์ไม่ใคร่ดี คุณชายรองจึงพาน้องสาวออกมาผ่อนคลาย ส่วนเว่ยซินหย่งนั้นก็เพียงบังเอิญได้พบเท่านั้น
แล้วตัวจางลั่วหนิงก็มีชื่อเสียงว่าเป็นคนเจ้าชู้ เมื่อได้ยินเซี่ยจิ่งพูดมาจากข้างหลังว่าคล้ายว่าจางลั่วหนิงจะคอยตามพวกตนมาตลอดหลายครั้งนี้ คนขับและ องครักษ์จึงพากันคิดไปแง่ร้ายกันหมด ทุกคนล้วนรู้สึกว่าจางลั่วหนิงจะต้องบ้าตัณหา แม้แต่บุตรีเพียงคนเดียวของนายท่านบ้านตน ทั้งยังเป็นคู่หมายของบุตรชายตระกูลซูแห่งชิงโจวก็ยังกล้าตามมาและคิดฝันเพ้อเจ้อ จึงพากันเอามือถูหมัดขึ้นมาทันใด
เมื่อซ่งไจ้เจียงได้ยินองครักษ์พูดจาปั้นเติมเสริมแต่งก็พลันขมวดคิ้ว กล่าวว่า “คนผู้นี้ก็เป็นบุตรหลานในตระกูลใหญ่ จะไร้มารยาทดังนี้ได้อย่างไร?”