ตอนที่ 264 แม่นางถาวฮวาแห่งเปียนเฉิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 264 แม่นางถาวฮวาแห่งเปียนเฉิง

สายฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิ

ยามพลบค่ำ

ณ เมืองเปียนเฉิง !

นี่คือเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งที่อยู่ใต้สุดแห่งเขตแดนราชวงศ์หยู

สิ่งก่อสร้างและบ้านเรือนค่อนข้างคร่ำครึ แต่หลังจากที่สายฝนนี้โปรยปราย มองไปกลับคล้ายกาแฟที่เข้มข้นกลมกล่อม

ภายใต้แสงสนธยา ทำให้ภาพตรงหน้าคล้ายกับภาพที่วาดด้วยพู่กันและน้ำหมึก

ภูเขาฉีซานอันสูงใหญ่ยังคงมืดมิด ตรอกซอยในเมืองเปียนเฉิงก็เงียบสงบ

ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนหยุดพักลงที่นี่ แน่นอนว่าพวกเขามิได้พักในศาลาพักม้าอีก แต่เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเฟิงหลิง

ในช่วงฤดูนี้แทบจะไม่มีผู้เข้าพักจากต่างแดน ดังนั้นในโรงเตี๊ยมจึงค่อนข้างจะเงียบสงัด มีเพียงเสียงกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูดังกรุ๊งกริ๊งท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน

ขบวนของพวกเขาได้เหมาโรงเตี๊ยมนี้ทั้งหมด เถ้าแก่เนี้ยวิ่งเข้ามาต้อนรับด้วยท่าทางดีอกดีใจ ใช้เวลาอยู่ประมาณ 2 เค่อทุกคนจึงได้จัดแจงเข้าสู่ที่พัก นางเดินกลับมายังโต๊ะต้อนรับแล้วนั่งนับเงินในมือแล้วนึกในใจว่า พ่อค้าจากเมืองจินหลิงคาดว่าใกล้เดินทางมาแล้ว นางสามารถนำเงินเหล่านี้ไปหาซื้อเครื่องสำอางจากหอเยียนจือได้สักเล็กน้อย

ฟู่เสี่ยวกวนให้ความสนใจกับเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ยิ่งนัก หลังจากพักผ่อนชั่วครู่เขาก็ได้พาหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและศิษย์จากสำนักเต๋าทั้งสี่ลงมายังทางเข้าประตูโรงเตี๊ยม

เขามองดูกระดิ่งลมพวงเก่าที่แขวนอยู่ จากนั้นหันหลังกลับไปแล้วเอ่ยถามว่า “เถ้าแก่เนี้ยมีนามว่าอะไรรึ ? ”

เถ้าแก่เนี้ยยิ้มขึ้นแล้วตอบว่า “ข้าน้อยแซ่เฟิง นามว่าหลิง รวมกันเป็นเฟิงหลิง”

ฟู่เสี่ยวกวนยักคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “เหตุนี้โรงเตี๊ยมจึงชื่อว่าเฟิงหลิง ?”

“ก็มิใช่เสียทีเดียว แต่เป็นเพราะข้าชอบเสียงของกระดิ่งลม (ภาษาจีนเรียกว่าเฟิงหลิง) ท่านคงมิทราบว่าที่เมืองเปียนเฉิงนี้เงียบเหงาทำการค้ายากยิ่ง สามีข้าไปล่าสัตว์ในภูเขาฉีซาน อีกไม่กี่วันจะมีบรรดาพ่อค้าเดินทางมา ของป่าเหล่านั้นจะได้นำมาขายเพื่อดำรงชีวิตและปากท้อง”

สิ่งนี้ฟู่เสี่ยวกวนคาดเดาไว้อยู่แล้ว เป็นเพราะการค้าของทั้งสองประเทศยังไม่เจริญ จึงมิมีผู้เข้าพักมากนัก นอกเสียจากที่แห่งนี้จะกลายเป็นพื้นที่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ มิเช่นนั้น…มันคงจะเป็นได้เพียงเมืองติดชายแดนธรรมดา ๆ ตลอดไป

“ในเมืองนี้มีอะไรอร่อย ๆ กินหรือไม่ ? ”

“จากที่นี่เดินไปประมาณ 1 ลี้ก็จะพบตรอกเจ็ดก้าว ในตรอกนั้นมีสวนท้ออยู่ ด้านในสวนท้อมีภัตตาคารมิมีชื่อ แต่อาหารของเขานับว่าเลิศรสที่สุดในเมืองเปียนเฉิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราดอกท้อของเขา ช่างเลิศรสไร้คำบรรยาย ท่านเชิญไปลองดื่มด้วยตนเองเถิด”

ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ จึงได้พากันเดินไปทางสวนท้อ

เมื่อคืนที่ได้พูดคุยกับแม่ทัพหยูและภรรยาของเขา ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนคลายความกังวลไปได้ไม่น้อย เนื่องจากเขาเชื่อมั่นว่าสองสามีภรรยานั้นมิได้ประสงค์ร้ายต่อเขา

และเมื่อได้รับรายงานจากซูเจวี๋ย พบว่าที่เมืองเปียนเฉิงมีพวกชาวยุทธอยู่ แต่มิใช่อันธพาล พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ อาทิเช่นที่เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยให้ฟังถึงภัตตาคารในสวนท้อนั้น

เมืองเปียนเฉิงเล็กเสียเพียงนี้ จะไปมีอันตรายได้เยี่ยงไร

ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธการอารักขาจากเซวียผิงกุย เนื่องจากต้องการให้พวกเขาพักผ่อนอย่างเต็มที่ในโรงเตี๊ยมเฟิงหลิงนั้น และเดินทางต่อไปยังภูเขาฉีซานวันรุ่งขึ้น หากจะมีอันตรายใด คาดว่าคงเป็นที่ทางเดินเท้าของภูเขาฉีซานอย่างแน่นอน

เมื่อเซวียผิงกุยครุ่นคิดดู ก็รู้สึกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมามีเหตุมีผล ดังนั้นจึงได้พาทหารม้าทั้งห้าร้อยนายเข้าพักผ่อน ให้พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับ เพื่อเก็บแรงเอาไว้เผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจจะพบในวันพรุ่งนี้

ที่ตรอกเจ็ดก้าวมิได้มีเพียงแค่เจ็ดก้าวดังชื่อ

แต่ก็มิได้ยาวมาก หากยืนอยู่ต้นทางสามารถมองเห็นถนนทั้งสายได้

และสวนท้อนั้นค่อนข้างจะสะดุดตา ตั้งอยู่ที่สุดสายปลายถนน ดอกท้อบานสะพรั่ง สีแดงงามตา

ซูซูยืนแบกกล่องฉินเอาไว้แล้วพิจารณาสวนท้อจากภายนอก นางส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “งดงามสู้ดอกท้อในสำนักเต๋ามิได้”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าสวนท้อนี้งดงามยิ่ง กิ่งก้านแผ่ขยาย ดอกใบเบ่งบานสดใส ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาว่า “ดอกท้อในสำนักเต๋าเป็นเยี่ยงไร ? ”

“อืม…” ซูซูครุ่นคิด นางดูคล้ายกับมิรู้ว่าจะใช้คำใดมาอธิบายได้ จึงได้ตอบไปว่า “เอาเป็นว่าในเดือนสามของแต่ละปี ที่ภูเขาดอกท้อมีดอกท้อบานสะพรั่งไปทั่วทั้งภูเขา เบ่งบานท่ามกลางกลีบเมฆ หากมีฝนปรอยลงมา เมฆเหล่านั้นก็จะบางลง คล้ายกับผ้าบาง ๆ ปกคลุมอยู่ บนดอกไม้เหล่านั้นมีหยดน้ำค้างเกาะอยู่ ช่างงดงามเหนือคำบรรยาย”

แท้จริงแล้วในสำนักเต๋ามีภูเขาดอกท้อ !

สวนท้อแห่งนี้จะไปเทียบกับภูเขาดอกท้อได้เยี่ยงไรเล่า

ซูม่อเองก็แบกกล่องดำนั้นไว้แล้วเดินติดตามฟู่เสี่ยวกวนมา เขาเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ท่านอาจารย์กล่าวว่าเหล่านั้นคือต้นท้อที่บรรพบุรุษปลูกเอาไว้ เนื่องจากในปีนั้นเขาหลงรักสตรีนางหนึ่งมีนามว่าถาวฮวา”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา ยังมิทันจะรอฟังประโยคต่อไป เขาก็หันหลังกลับไปเอ่ยถามว่า “แล้วเยี่ยงไรต่อ ?”

“จบแล้ว ! ดังนั้นที่สำนักเต๋าจึงมีภูเขาดอกท้อ”

เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะเอ่ยถามว่าสุดท้ายแล้วเขาได้อยู่กินกับแม่นางถาวฮวาผู้นั้นหรือไม่ แต่ทว่าในสวนกลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมาเสียก่อน

เป็นสตรีสวมชุดสีเขียว ผมยาวดำขลับ ในมือถือร่ม ที่สะเอวแขวนตะกร้าสานเอาไว้ นางเดินตรงมาทางพวกเขา

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเห็นได้ว่านางเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม รูปร่างผอมสูง คิ้วและดวงตางดงาม แก้มแดงเรื่อ

นางยืนอยู่ต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน มองซ้ายมองขวา จากนั้นสายตาของนางก็ละจากฟู่เสี่ยวกวนไปยังซูม่อที่อยู่ด้านหลังเขา ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นแววตาของแม่นางผู้นี้เป็นประกาย

“หลบไปหน่อย !” นางโยนตะกร้าไปให้ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนรับไปตามสัญชาตญาณ แต่ทว่านางใช้มือที่ว่างอยู่นั้นตบบ่าเขา

ฟู่เสี่ยวกวนเดินถอยห่างออกมาเล็กน้อย สายตาของแม่นางผู้นั้นยังไม่ละไปจากซูม่อ ทำให้ซูม่อเริ่มขนลุกขนชัน นางหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าช่างรูปงามเสียจริง ! ”

นางยังคงจ้องไปยังซูม่อ ฝ่ายซูม่อนั้นอายเสียจนหน้าแดง นางจึงหัวเราะออกมาว่า “รูปงามจริง ๆ ข้าชอบเจ้า !”

ซูม่อตกตะลึงอ้าปากค้างอย่างเขินอาย

เขามิเคยพบสตรีที่เปิดเผยเช่นนี้มาก่อน และมิเคยพบเห็นวิธีสารภาพรักที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ มิรู้ว่าควรตอบกลับไปว่าเยี่ยงไร เขาทำตัวไม่ถูกเลยเสียจริง

“ฮ่า ๆ ! ข้ามีนามว่าถาวฮวา หนึ่งในห้าชือแห่งใต้หล้า ฮวาชือก็คือข้า”

ซูเจวี๋ยขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ซูโหรวหยุดปักด้ายในมือของนางแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ส่วนซูซูเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางเหลือเชื่อว่า “เจ้าคือฮวาชือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจ รู้เพียงแต่ว่าสตรีที่อาจารย์ปู่ของพวกเขารักนั้นนามว่าแม่นางถาวฮวา เพียงชั่วพริบตาแม่นางที่นามว่าถาวฮวาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา น่าประหลาดยิ่ง ส่วนเรื่องฮวาชือ…เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าคำนี้ไม่ดีเท่าใดนัก แต่ทว่านางกลับรู้สึกภูมิใจ

แม่นางถาวฮวากล่าวว่า “แน่นอน เป็นข้ามิผิดเพี้ยน” เมื่อครุ่นคิดชั่วครู่ นางก็ได้เอ่ยถามออกมาว่า “หากพวกเจ้าต้องการรับประทานอาหาร จงเด็ดดอกท้อใส่ตะกร้านี้ให้เต็ม แต่หากเพียงมาเดินชม…หลังจากชมแล้วเจ้าอยู่ต่อได้หรือไม่ ? ”

ประโยคสุดท้ายนั้น นางมองไปทางซูม่อ

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวัง และเป็นประกายอย่างชัดเจน

แต่ทว่าซูม่อกลับหยิบตะกร้าจากมือฟู่เสี่ยวกวนไปแล้วโค้งคำนับนางอย่างสุภาพกล่าวว่า “ขออภัยแม่นาง พวกเราเดินทางมารับประทานอาหาร ข้าจะไปเด็ดดอกท้อให้ประเดี๋ยวนี้”