ตอนที่ 265 จำต้องบำเพ็ญคู่

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 265 จำต้องบำเพ็ญคู่

แม่นางถาวฮวามุ่ยปาก มองแผ่นหลังของซูม่อที่หันหลังกลับ กระทืบเท้าไปมา สายตาพลันตกที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ด้วยความกรุ่นโกรธเล็กน้อย “เจ้านี่มัน เหตุใดถึงไม่ช่วยกันเลย”

หลังจากกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ นางก็วิ่งตามซูม่อไป คาดไม่ถึงว่าจะเด็ดดอกไม้ด้วยกัน

ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ราวกับรู้สึกว่าทั้งหมดนี้มิเป็นความจริงสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงหันไปมองซูเจวี๋ย

ซูเจวี๋ยยิ้มอย่างขมขื่น ขยับหมวกเล็กน้อย “คิดว่านางคงบ้าผู้ชายจริง ๆ นั่นแหละ ใต้หล้านี้มีพวกตัวประหลาด 5 คน บ้าผู้ชายเยี่ยนถาวฮวา เจ้าโง่หลีมู่ป๋าย คนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ คลั่งกระบี่หนิงฝาเทียน ทั้งยังมีจอมหลงทิศสุ่ยหยุนเจียน ต่างก็เป็นคนจากยุทธภพ มิใช่ทายาทหลักของทั้งสี่นิกาย แต่เป็นผู้สืบทอดวิชาที่หายสาบสูญของตระกูล ต่างมิได้ง่ายดายเลย”

คาดไม่ถึงว่าจะยังมีคนโง่กับพวกหลงทิศอีกด้วย !

ฟู่เสี่ยวกวนจดจำห้านามนี้เอาไว้ ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดอยู่ในใจ แต่ก็มิได้ไต่ถาม

เขาหันมองเยี่ยนถาวฮวาและซูม่อ ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นมา และเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าคิดว่าซูม่อจะชอบหงจวงหรือแม่นางถาวฮวากัน”

ซูเจวี๋ยส่ายหน้า “เรื่องของโชคชะตา ต่อให้เป็นท่านอาจารย์เกรงว่าก็ยากที่เข้าใจ”

ซูซูกลับกล่าวขำ ๆ “ข้ากลับรู้สึกว่าหญิงบ้าผู้ชายผู้นี้ดีกว่า ในอารามก็มีภูเขาท้ออยู่ และนางก็มีนามว่าถาวฮวาพอดี บรรพบุรุษท่านอาจารย์มิสามารถตบแต่งกับแม่นางถาวฮวาของเขาได้ หากศิษย์น้องเล็กสามารถตบแต่งได้ เยี่ยงนั้นก็จะเป็นการบรรลุความปรารถนาของบรรพบุรุษท่านอาจารย์มิใช่หรือ”

“อย่าพูดพล่อย ๆ ” ซูเจวี๋ยตำหนิซูซูอย่างดุดันหนึ่งประโยค ซูซูแลบลิ้นปลิ้นตา ลอบคิดในใจว่าหากศิษย์พี่รองอยู่ที่นี่ ย่อมส่งเสริมช่วงเวลาราวกับสวรรค์นี้ให้ลุล่วงเป็นแน่

เพียงไม่นานซูม่อและนางก็กลับมา ในตะกร้าเต็มไปด้วยดอกท้อ ใบหน้าของแม่นางถาวฮวาเต็มไปด้วยความชื่นมื่น และพูดคุยกับฟู่เสี่ยวกวนไปตลอดทาง “พอรู้ว่าพวกเจ้าจะมาที่นี่ ท่านปู่ก็ไปล่าแกะบนเขามาได้ 1 ตัว กำลังย่างอยู่พอดี ไปกันเถอะ”

นางชำเลืองมองซูม่ออย่างจงใจอยู่ในทีอีกครา ก่อนจะหันหลังกลับและพาคนทั้งกลุ่มเดินลึกเข้าไปสวนท้อ

ที่นี่มีอาคารเล็กสองชั้นหนึ่งหลัง

รั้วไผ่ด้านนอกอาคารเล็กปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ ดอกไม้เถาจำนวนมากกำลังเบ่งบาน

ภายในลานด้านนอกอาคารเล็กมีต้นท้อใหญ่ตั้งอยู่ 1 ต้น มีศาลาไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นท้อหนึ่งหลัง ภายในศาลาไม้มีกองไฟสุมอยู่ใจกลาง

ไฟกำลังลุกโชน ชายชราที่อยู่ในชุดผ้าป่านผู้หนึ่งกำลังแขวนแกะตัวหนึ่งที่จัดการเสร็จแล้วไว้กับคานศาลาไม้

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็ชำเลืองมองเล็กน้อย และหันหน้ากลับไปและย่างแกะต่อ

“ท่านปู่ ข้าพาแขกกลับมาแล้ว พวกเขามิเสียค่าใช้จ่าย ท่านคงจำได้”

ชายชราผู้นั้นประหลาดใจขึ้นมา แล้วจึงหันหลังกลับไปมองอีกครา ทันใดนั้นก็ดีใจขึ้นมา ริมฝีปากแย้มยิ้ม “ดี ดี ๆ ให้ปู่ลองเดาก่อนว่าคือชายผู้ใด…”

หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือชี้ ซึ่งไปทางซูม่ออย่างพอดี “เป็นเขาใช่หรือไม่ ? ”

“ท่านปู่ช่างมีดวงตาที่เฉียบคมอย่างแท้จริง…”

ซูม่อรีบกล่าวในทันที “มิใช่…”

“อะไรคือใช่ไม่ใช่กัน สำนักเต๋าดูแคลนกันรึ ถึงแม้ข้าจะสู้เจ้าจมูกโคนั่นไม่ได้ แต่จะเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับเจ้ารึ ? ” ในระหว่างที่ชายชราผู้นั้นกล่าวมือก็คว้ามีดหั่นหมูเดินปรี่เข้ามาด้วยท่าทีดุดัน เยี่ยนถาวฮวารีบรุดออกมา “ไอหยา ท่านปู่รีบร้อนอันใดกัน ข้าขอบอกกับท่านก่อนเลย หากท่านทำเขากลัวจนหนีนะ เหอะ ๆ ข้าจะไม่แต่งงานไปทั้งชีวิต”

ราวกับว่าคำพูดนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง ชายชราผู้นั้นเก็บมีดทันพลัน ราวกับเปลี่ยนไปราวกับคนละคน และยิ้มอย่างขออภัย “อ่า ขอโทษด้วย ต้องขอโทษด้วย พวกเจ้ารีบนั่งกันเถิด… ถาวฮวาไปนำสุราดอกท้อที่ดีที่สุดมา ปู่จะดื่มกับพวกเขา”

“ด้านนอกหนาวเกินไปแล้ว พวกเจ้าเข้ามานั่งข้างในเถิด เนื้อแกะย่างของข้าสุกเมื่อไหร่จะเชิญพวกเจ้าออกมาอีกครา”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกขัดอยู่บ้างเล็กน้อย นั่งอยู่ภายในห้องรับรองของอาคารเล็ก และหันมาถามกับซูเจวี๋ยอีกครา “นี่… แท้จริงแล้วคือเรื่องอันใดกันแน่”

“เล่าไปก็คงจะยาว ตระกูลเยี่ยนนี้มิใช่ตระกูลเก่าแก่ของราชวงศ์หยู แต่เป็นของแคว้นฝาน เป็นตระกูลที่สืบทอดวิชาที่หายสาบสูญไป…” กล่าวถึงตรงนี้ซูเจวี๋ยก็เงียบครุ่นคิดไปชั่วขณะ ราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูด

“วิชาที่หายสาบสูญไปของตระกูลเยี่ยนนั้นไม่เหมือนกับทั่วไป”

“มิเหมือนตรงไหนกัน”

“ประการแรกคืออายุห้ามเกิน 20 ปี”

“ประการที่สอง จำต้อง… บำเพ็ญคู่ ! ”

ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้างพลัน

ยังมีทักษะเยี่ยงนี้อยู่จริง ๆ หรือ

ซูม่อยังจะบ้าปฏิเสธอีกหรือ!

เขาหันมองไปทางซูม่อ และหัวเราะร่า “ข้ารู้สึกดีอย่างมาก”

ซูม่อจ้องเขาเขม็ง จนเกือบจะพูดออกไปว่าเจ้ารู้สึกดีก็เอาสิ นึกขึ้นมาได้ว่าหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็อยู่ที่นี่ จึงมิสามารถพูดออกไปได้โดยปริยาย

“กำลังภายในของตระกูลเยี่ยนมีนามว่าดอกไม้ผลิขั้นสอง จำต้องใช้สุราดอกท้อนี้เป็นสื่อกลาง ข้าคาดว่าจุดประสงค์ที่สองปู่หลานคู่นี้มาที่นี่ก็เพื่อสุราดอกท้อ และเมื่อลองดูอายุของเยี่ยนถาวฮวา คาดว่าก็น่าจะ 18 ปีได้แล้ว ส่วนเจ้า…” ซูเจวี๋ยหันมองไปทางซูม่อ “เจ้าก็ใกล้จะ 18 ปีแล้ว”

“มิใช่ ศิษย์พี่ใหญ่…”

ซูเจวี๋ยโบกมือไปมา “เจ้าคือศิษย์น้องเล็กของสำนักเต๋า ท่านอาจารย์เคยกล่าวกับข้าไว้ว่า การฝึกเพื่อเพิ่มระดับของเจ้านั้นยากยิ่ง ในใต้หล้านั้นมีเพียง 2 หนทางที่จะช่วยให้เจ้าเพิ่มระดับได้ ประการที่หนึ่งคือคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ผู้สืบทอดวิชาวาดเปิดชั้นฟ้าจากตระกูลเหยียนแห่งราชวงศ์อู๋ หนทางนี้คือการยืมใช้กำลังภายนอกมาบีบขยายเส้นลมปราณ ผู้ถ่ายทอดต้องมีกำลังภายในพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างมาก หลังจากที่ถ่ายทอดจนสำเร็จ กำลังภายในของผู้ถ่ายทอดทั้งหมดจะถ่ายเข้าสู่ร่างของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็จะไร้โอกาสฝึกฝนอีกต่อไป ดังนั้นวิชาวาดเปิดชั้นฟ้านี้นอกจากเพื่อผู้สืบทอดของตระกูลเหยียนเองแล้ว ในประวัติศาสตร์ของตระกูลการถ่ายทอดให้แก่คนภายนอกมีเพียง 1 ครั้งเท่านั้น นั่นคือผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเหยียนถ่ายทอดให้แก่องค์จักรพรรดิในเวลานั้นเมื่อสามร้อยปีก่อน”

“และหนทางที่สองก็คือดอกไม้ผลิขั้นสองของตระกูลเยี่ยน สิ่งที่เรียกว่าขั้นสอง ก็คือการชำระล้างแก่นแท้อีกครา เพื่อสร้างพื้นฐานวิทยายุทธ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่เจ้าในอนาคต ดังนั้น… ศิษย์พี่ใหญ่คิดว่า การที่ท่านอาจารย์สั่งให้เจ้าลงจากเขามาติดตามฟู่เสี่ยวกวน เกรงว่าจะมีความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ ท่านอาจารย์มิได้อยู่ ณ ที่นี้ ข้าในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ แม่นางถาวฮวาทั้งเฉลียวและฉลาด ดูเหมาะกับเจ้ายิ่ง ข้าได้ตัดสินใจแทนเจ้าแล้ว”

ซูม่อรู้สึกไม่ยุติธรรม “ศิษย์พี่ใหญ่…”

“เจ้าอย่าได้พูดให้มากความอีก การเดินทางไปราชวงศ์อู๋ครานี้ เจ้าควรอยู่ที่นี่ และรอพวกข้าเดินทางกลับมา”

“แต่ข้าชอบหงจวง”

สุดท้ายซูม่อก็พูดประโยคนั้นออกไป แต่กลับทำให้ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่นประหลาดใจกันถ้วนหน้า

ซูเจวี๋ยยังคงนิ่งเฉย เขาขยับหมวกไปมา และเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉื่อยชาว่า “เจ้าเป็นบุรุษ ควรเรียนรู้จากฟู่เสี่ยวกวน!”

……

…..

……

…..

ควรเรียนรู้จากฟู่เสี่ยวกวนกับผีสิ !

คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่บีบคั้นหัวใจนัก !

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่ดี โดยเฉพาะสายตาคับแค้นใจที่มาจากหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลาน

เขามิกล้าพูดอะไร กลับเป็นซูม่อที่พูดขึ้นมา

“ฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวว่า เรื่องระหว่างคนสองคนควรมีความรู้สึกต่อกัน อย่างน้อยข้าและหงจวงก็เคยอยู่ด้วยกันมาช่วงเวลาหนึ่ง แต่เยี่ยนถาวฮวา…”

เยี่ยนถาวฮวาที่โอบกอดโถสุราเดินข้ามผ่านประตูมาพอดี “ข้าทำไมกัน ความรู้สึกสามารถหล่อเลี้ยงกันได้นี่ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดว่าข้าเป็นสตรีใจง่ายที่หลงรักเจ้าในทันทีที่พบเจอ หากเป็นเยี่ยงนั้น สองปีก่อนหน้านั้นข้าก็แต่งเข้าวังไปแล้ว แต่พอดีเกลียดชังองค์ชายสามแคว้นฝานของพวกเรา ข้าถึงได้มาที่นี่กับท่านปู่ ท่านย่ายังเคยกล่าวกับข้าว่า หากมีคนที่ชอบก็ควรไล่ตามอย่างกล้าหาญ จนวันนี้ได้พบกับเจ้า ใจของข้าก็รู้สึกชมชอบ ดังนั้นข้าต้องไล่ตามอย่างแน่นอน ส่วนเจ้าจะตอบรับหรือไม่…”