ตอนที่ 59
ไม่อยู่ร่วมโลก
“เจ้า…”ชายร่างใหญ่พูดขณะมองไป๋จูเหวินที่พึ่งเดินกลับมาที่ลานประลองหลังจากหามอาจารย์จิ้งจอกกลับออกไปแล้ว แต่เดิมมันคิดว่าไป๋จูเหวินเป็นพวกมีเส้นมีสาย เลยสามารถเข้าสำนักได้โดยไม่ต้องทำการทดสอบ เพราะอยู่ดีๆชายเจ้าสำอางก็พาไป๋จูเหวินไปและพวกไปเสียก่อนที่การทดสอบจะเริ่มเสียอีก แต่เมื่อครู่ก็เห็นแล้วว่าไป๋จูเหวินไม่จำเป็นต้องใช้เส้นสายเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมไม่ฆ่ามันซะ”ชายร่างใหญ่ถามพลางมองไปทางประตูที่อาจารย์เต่าพาอาจารย์จิ้งจอกแดงออกไป
“เมื่อครู่เป็นการทดสอบเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องฆ่ากันนี่นา”ไป๋จูเหวินว่าพลางกระพริบตาปริบๆ
“แต่มันเป็นอสูร เจ้าควรฆ่ามันก่อนที่มันจะฆ่าเจ้า”ชายร่างใหญ่ว่าพลางกำหมัดแน่น
“เห็นได้ชัดว่าอสูรตนเมื่อครู่เป็นอสูรเลี้ยง เราไม่ควรฆ่าอสูรเลี้ยงของผู้อื่น”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองดวงตาของชายร่างใหญ่ ดวงตาของมันแข็งกร้าวอย่างน่าประหลาด มันดูชิงชังอสูรเป็นพิเศษเลยทีเดียว
“อสูรล้วนไว้ใจไม่ได้”ชายร่างใหญ่กัดฟันแน่น แต่ทางไป๋จูเหวินกลับส่ายหน้าช้าๆ
“มีอสูรมากมายที่ไว้ใจไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกตน”ไป๋จูเหวินตอบยิ้มๆก่อนที่ชายชราที่เคยเจอแถวหน้าประตูสำนักจะเดินออกมาหลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายเมื่อครู่
“เอาล่ะ เนื่องจากเกิดเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น การต้อนรับศิษย์ใหม่ขอให้จบลงเพียงเท่านี้ พวกเจ้าตามอาจารย์จื่อไปท่านจะพาพวกเจ้าไปที่ห้องของพวกเจ้า”สิ้นเสียงชายชรา ชายเจ้าสำอางก้เดินออกมาราวกับจะเข้ามารับว่าตนเองคืออาจารย์จื่อที่ถูกเรียก
“พวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้าง”อาจารย์จื่อหรือชายเจ้าสำอางเดินออกมาพลางหยิบม้วนกระดาษพร้อมพู่กันมาเตรียมจะจดชื่อของทั้งสี่ลงไป
“ข้ามีนามว่าไป๋จูเหวิน”ไป๋จูเหวินตอบพลางประสานมือให้อาจารย์จื่อ
“ข้าต้าชิง”ต้าชิงที่อยู่ข้างๆแนะนำตัวพลางประสานมืออีกคน
“ข้าต้าเฉิน”ต้าเฉินเองก็แทบจะแนะนำตัวในเวลาเดียวกกัน ทำให้อาจารย์จื่อค่อยๆจดรายระเอียดลงไปในม้วนกระดาษช้าๆ
“ข้าชื่อหยงเวย”ชายร่างใหญ่ว่าพลางสงบท่าทีลง พออีกฝ่ายเป็นมนุษย์มันก็ไม่มีท่าทีดุดันอีกต่อไป
“อืม ดีมากข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ห้องของพวกเจ้า”อาจารย์จื่อว่าพลางหันหลังเตรียมจะพาศิษย์ทั้งสี่เข้าหอพัก
“เดี๋ยวก่อน”แต่ก่อนจะไป ชายชราก็ห้ามพวกตนเอาไว้เสียก่อน
“มีออะไรหรือขอรับท่านเจ้าสำนัก”อาจารย์จื่อถามพลางประสานมือให้อีกฝ่าย
“ถึงจะเกิดเรื่องขึ้น แต่ผลการทดสอบก็ไม่เปลี่ยน ข้าขอประกาศว่า หยงเวย และ ไป๋จูเหวิน ผ่านการทดสอบด่านแรก”ได้ยินเช่นนั้นเหล่าศิษย์รอบๆต่างๆก็ส่งเสียงพูดคุยกันเป็นการใหญ่ การทดสอบด่านแรกแม้จะไม่ยากมากมายอะไร เพียงแสดงฝีมือให้อาจารย์อสูรตนใดก็ได้พอใจก็สามารถผ่านได้แล้ว แถมการที่คนมีฝีมือเข้ามาทำการทดสอบผ่านตั้งแต่วันแรกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร บางครั้งถึงกับมีคนมาทำการทดสอบ 3 อย่างเสร็จในวันเดียวแล้วขอออกจากสำนักในวันนั้นเลยเพื่อไปเข้ากุ่มนักล่าอสูรก็มีมาแล้ว
แต่ที่เหล่าศิษย์ต่างวิจารณ์กันนั้นเพราะการลงมือเกินกว่าเหตุของหยงเวย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนหยงเวยก็เป็นฝ่ายลงมือก่อนเพราะอาจารย์จิ้งจอกบอกเองว่าหยงเวยผ่านแล้ว แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหยงเวยก็ไม่ยอมหยุด แต่เจ้าสำนักกลับไม่ต่อว่า แถมยังให้มันผ่านการทดสอบอีกต่างหาก ส่วนอีกเรื่องที่พวกมันนำมาพูดคุยก็หนีไม่พ้นเรื่องของไป๋จูเหวิน พวกมันพากันวิจารณ์ฝ่ามือที่มันใช้ออกมาว่ามาจากสำนักใด แต่พวกมันก็ไม่มีทางได้คำตอบอยู่แล้ว
“เราเป็นสำนักล่าอสูร ข้าไม่คิดว่าความเกรียดชังต่ออสูรจะเป็นเรื่องให้ต่อว่าได้”เจ้าสำนักว่าพลางหันหลังเดินกลับไป ทำให้เหล่าศิษย์ยิ่งพูดคุยกันอย่างออกรสมากขึ้น แต่พูดตามตรง การที่มีคนเกรียดอสูรต้องหารจะเป็นนักล่าอสูรคงไม่ใช่เรื่องแปลก เอาจริงๆสมัยก่อนมีแต่นักล่าอสูรแบบหยงเวยเสียด้วยซ้ำ
สำนักเขี้ยวมังกร ไม่ค่อยเหมือยสำนักธารโลหิตนักหรือควรจะบอกว่าสำนักธารโลหิตแตกต่างจากสำนักอื่นๆมาเกินไปกันแน่ดี อย่างแรกเลยคือกฎของสำนักเขี้ยวมังกรค่อยข้างเข้มงวด ตอนเช้าฝึกฝนวิชาฝีมือหรือพลังวิญญาณตอนบ่ายศึกษาข้อมูลเดียวกับอสูร ศิษย์ทุกคนต้องสวมใส่เครื่องแบบไม่ว่าจะในหรือนอกสำนัก โดยเครื่องแบบของสำนักเขี้ยวมังกรจะเป็นชุดสีขาวตัดขอบด้วยสีเขียวเข้มตกแต่งด้วยลายเกร็ดมังกรดูดีไม่น้อย โดยชุดของพวกไป๋จูเหวินถูกศิษย์พี่นำมาให้แล้วตั่งแต่เข้าพักที่หอของสำนัก ส่วนการออกนอกสำนักไม่ได้ห้ามแต่อย่างไรเพียงแต่ต้องรายงานอาจารย์หรือเจ้าสำนักว่าจะออกไปเท่านั้น
อาจจเพราะสำนักเขี้ยวมังกรเป็นสำนักส่งผ่านศิษย์ให้กับสำนักเขี้ยวมังกร ทำให้ศิษย์ในสำนักมีไม่มากนัก เรียกได้ว่าพอปั้นเสร็จก็ส่งต่อไปยังกลุ่มนักล่าอสูรในทันทีเลย ทำให้ศิษย์ของสำนักเขี้ยวมังกรมีไม่มากนัก เรียกได้ว่าแม้จะเป็นใหญ่ที่อยู่ในเมืองหลวงก็มีศิษย์แค่พันกว่าคนเท่านั้น เมื่อเทียบกับสำนักใหญ่ๆที่อื่นนับว่าคนน้อยกว่ามาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถดูถูกสำนักเขี้ยวมังกรได้ เพราะการเป็นสำนักย่อยนั่นหมายความว่าสำนักเขี้ยวมังกรยังมีกลุ่มนักล่าอสูรหนุนหลังอยู่ ทำให้สำนักเขี้ยวมังกรเป็นสำนักที่มีสิทธิ์พิเศษพอตัวเลยทีเดียว
ตูม! ขณะพักผ่อนอยู่ในห้อง เสียงๆหนึ่งก็ดึงไป๋จูเหวินออกมาจากห้องเสียก่อน ปกติแล้วเหล่าศิษย์จะไปฝึกฝนวิชากันที่ลานหินกลางสำนัก แต่เสียงนี้กลับมาจากหน้าหอพักนี่เอง
“ยากกกก”ทันทีที่ออกมานอกห้อง ไป๋จูเหวินก็พบกับหยงเวยที่เดินทางมาที่หอพักพร้อมกับตนกำลังฝึกซ้อมดาบอยู่คนเดียว ที่รอบกายของมันมีรอยแตกของพื้นหินท่าทางจะมาจากเสียงเมื่อครู่เป็นแน่
ฟุบๆ!! เสียงใบดาบของหยงเวยรุนแรงรวดเร็วอย่างมาก หากดูดีๆจะพบว่าวิชาดาบของมันเหนือกว่าวิชาดาบของสำนักธารโลหิตอย่างดาบธารโลหิตเสียอีก แถมมันเองยังมีฝีมือมากทีเดียว หากไม่นับเรื่องคุ้มคลั่งตอนสู้กับอสูรแล้วมันนับเป็นยอดนักดาบทีเดียว
“ใคร”หลังจากไป๋จูเหวินมองอยู่สักพัก อยู่ๆหยงเวยก็หันมาทางไป๋จูเหวินที่ยืนอยู่ห่างจากมันเกือบร้อยเมตร แม้ไป๋จูเหวินจะไม่ได้ตั้งใจหลบซ่อนนักแต่มันก็สามารถสัมผัสะถึงตัวตนของไป๋จูเหวินได้อย่างรวดเร็วไม่น้อย
“เจ้านี่เอง”หยงเวยลดดาบลงหลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายคือไป๋จูเหวิน มันเห็นฝ่ามือเพลิงพิโรธของไป๋จูเหวินแล้ว ตัวมันในตอนนี้ไม่สามารถเอาชนะได้แน่ๆ
“ขอโทษด้วย ข้าแค่มาดูเท่านั้นว่าเสียงอะไร”ไป่จูเหวินยิ้มรับพลางเดินเข้าไปหาหยงเวยที่ลดอาวุธลงแล้ว
“ขอโทษด้วยที่ทำเสียงดัง ข้ายังไม่ชินกับวิชานี้นัก”หยงเวยตอบพลางเริ่มตั้งท่าดาบอีกครั้ง พออีกฝ่ายไม่ใช่อสูรแล้วหยงเวยก็ไม่มีท่าทีดุดันเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไร”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางมองท่าดาบของหยงเวย ตั้งแต่ออกมาจากเขตอสูร ผุ้ใช้วิชาอาวุธที่ไป๋จูเหวินเคยเจอ ผู้ยอดเยี่ยมที่สุดย่อมเป็นอู๋หมิงที่เคยได้ประลองด้วยครั้งหนึ่ง ส่วนรองลงมากลับเป็นชายในกลุ่มของเหม่ยหลินที่เคยพยายามจับตัวไป๋จูเหวินเอาไว้ นอกจากนั้นก็มีเพียงนักดาบระดับธรรมดาๆเท่านั้น หากเทียบคนเหล่านั้นกับหยงเวยตรงหน้า ฝีมือของมันคงใกล้เคียงกับชายจากกลุ่มของเหม่ยหลินมากที่สุดนับตั้งแต่เคยเห็นมา
“ทำไมท่านถึงเกรียดอสูรงั้นหรือ”ไป๋จูเหวินถามหลังจากมองท่าดาบของหยงเวย ตอนที่มันใช้กับจิ้งจอกแดงมันเล็งโจมตีแต่จุดตาย แถมสายตามุ่งร้ายยังเห็นได้อย่างชัดเจน
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเจ้า”หยงเวยว่าพลางฝึกซ้อมท่าดาบต่อ แต่เดิมอสูรเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายอยู่แล้ว แม้บางพวกจะไม่โจมตีผู้อื่นก่อน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นอันตรายกับมนุษย์ทั่วไปทั้งสิ้น หากหยงเวยเจอเรื่องร้ายเพราะอสูรจนฝังใจ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ ในหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่ได้มีกำลังทหารคุ้มกันอย่างในเมือง ก็มีอสูรบุกเข้าโจมตีอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ไป๋จูเหวินที่โตมาโดยมีอสูรน้อยใหญ่รุมล้อมไม่ค่อยเข้าใจความแค้นที่มีต่ออสูรเท่าไหร่
“นี่เจ้าจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม”หยงเวยถามพลางพลางหยุดร่ายดาบอย่างกระทันหัน
“ข้ายืนอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ”ไป๋จูเหวินถามพลางเอียงคอสงสัย
“ก็…เรื่องของเจ้าเถอะ”หยงเวยถอนหายใจพลางเดินไปที่อื่นเพื่อจะฝึกวิชาของตนต่อ
“……”
“แล้วเจ้าจะตามข้ามาทำไม”หยงเวยว่าพลางหันมามองไป๋จูเหวินที่เดินตามตนเองมา
“ข้าแค่ยังไม่หายสงสัยเท่านั้น”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มรับ ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากหยงเวยปูดโปนขึ้นมาทันที
“เดินตามข้ามาก็ไม่ได้คำตอบหรอก”หยงเวยว่าพลางเดินกลับไปยังจุดเดิม แล้วเริ่มฝึกซ้อมอีกครั้ง
“…….”แต่ไม่ว่าหยงเวยจะเริ่มฝึกซ้อมไปนานแค่ไหนไป๋จูเหวินก็ยังยืนมองมันอยู่อย่างนั้น อันที่จริงมันกำลังพยายามเดาว่าหยงเวยมีเรื่องอะไรกันแน่ โชคดีที่ไป๋จูเหวินยังหลับตาอยู่หยงเวยเลยไม่ทราบว่ามันโดนมองไปทั่วทั้งตัวเพื่อหาว่ามีบาดแผลจากอสูรบนร่างของมันหรือไม่ แถมบางครั้งยังโดนไป๋จูเหวินใช้ดวงตาสีเขียวและสีม่วงตรวจสอบอีกต่างหาก สร้างความอึดอัดให้กับหยงเวยไม่น้อย
“เจ้าอยากจะรู้ให้ได้ใช่หรือไม่”หยงเวยว่าพลางทุบดาบลงกับพื้น
“ถูกต้อง”ไป๋จูเหวินตอบตามตรง มันอยากรู้จริงๆ
ฉึก! หยงเวยแทงดาบลงพื้นจนทะลุ ก่อนจะนั่งลงอย่างเหนื่อยใจ
“หมู่บ้านของข้าถูกอสูรตนหนึ่งทำลาย เท่านั้นล่ะ”หยงเวยว่าพลางมองท่าทีของไป๋จูเหวิน
“เรื่องก็มีเท่านี้ เจ้าไปได้แล้ว”หยงเวยว่าพลางจับด้ามดาบลุกขึ้นมาฝึกซ้อมอีกครั้ง แต่ไป๋จูเหวินก็ยังไม่ไปไหน ทำเอาหยงเวยสุดจะทน
“พอแล้ว ข้าจะกลับห้องของข้า”หยงเวยทนไป่จูเหวินที่นั่งมองการฝึกของมันต่อไปไม่ไหว มันเก็บดาบเดินกลับขึ้นห้องของมันไปด้วยท่าทีหัวเสีย หากเป็นคนอื่นมันจะไล่ไปให้ไกล แต่เห็นได้ชัดว่าตนสู่ไป๋จูเหวินไม่ได้ มันก็ได้แต่เป้นฝ่ายหนีไปเองเท่านั้น