ตอนที่ 320 ของขวัญจากจวนราชครู
หลังจากงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของติ้งกั๋วกงจบลง แขกทั้งหลายก็แยกย้ายกลับจวนของตน พวกคนของจวนโหวก็เช่นกัน
หลี่ซื่อที่กำลังจักขึ้นรถม้าพลันได้ยินเสียงเรียกของอันหลิงเกอดังมาจากด้านหลังเสียก่อน
เมื่อนางหันหลังไปก็ได้เห็นใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มบางของอันหลิงเกอเข้าพอดี
“คุณหนูใหญ่ มีเรื่องอันใดหรือ ? ”
มุมปากของอันหลิงเกอโค้งขึ้นเล็กน้อย ใบหน้ายังดูอ่อนโยนเช่นเดิม “ข้าจักมาบอกอี๋เหนียงว่าพอกลับจวนแล้วให้คนนำภาพเด็กหรรษาส่งมอบให้ติ้งกั๋วกงด้วย ถือว่าเป็นน้ำใจจากจวนโหวของเรา”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก หลี่ซื่อก็รู้สึกโกรธจนอยากกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้
อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่ายังมาได้ยินพอดีจึงได้แต่เหลือบมองหลี่ซื่อด้วยแววตาดุดัน “ข้าบอกให้เจ้าเอาของพวกนั้นคืนเกอเอ๋อตั้งนานแล้ว นางมิใช่เด็กและถึงวัยต้องเรียนรู้เรื่องการดูแลสิ่งต่าง ๆ ในจวน ของที่มารดานางทิ้งไว้ก็ต้องส่งต่อให้นาง แต่ยึดเอาไว้มิยอมคืนเช่นนี้ เจ้ามีจุดประสงค์อันใดกันแน่ ? ”
“ข้าจักกล้ายึดของเหล่านี้ไว้ได้อย่างไรเจ้าคะ” หลี่ซื่อหัวเราะแห้งออกมา สีหน้าดูมิค่อยเป็นธรรมชาติ “ข้าแค่คิดว่าคุณหนูใหญ่งานยุ่ง ต้องเข้าวังอยู่บ่อย ๆ จึงกลัวว่านางมิมีเวลาจัดการเรื่องพวกนี้ ข้าจึงเลือกคนไปดูแลให้ก่อนเจ้าค่ะ”
นางผลักเรื่องนี้ไปให้คนรับใช้ทันทีแล้วสื่อเป็นนัยว่าของที่ฮูหยินใหญ่อันทิ้งไว้ก็มีคนรับใช้ของจวนเป็นผู้ดูแล ส่วนนางมิได้เข้าไปวุ่นวายอยู่แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเผยรอยยิ้มที่แฝงความนัยออกมา หลี่ซื่อจึงรีบกล่าวทันที “ท่านแม่โปรดวางใจ เมื่อกลับถึงจวนแล้ว ข้าจักสั่งให้ผู้ดูแลนำกุญแจมอบคืนคุณหนูใหญ่ทันทีและจักมิแตะต้องของพวกนั้นเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของนางยิ้มแย้ม แต่ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดและโกรธแค้นผสมปนเปกันไปหมด
สตรีชั้นต่ำเยี่ยงฮูหยินใหญ่อันช่างโชคดีเสียจริง ทั้งที่เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาแต่มิรู้เหตุใดจึงหาเงินทองได้มากมายเพียงนั้น ของในห้องเก็บสมบัติหากนำมาเปลี่ยนเป็นเงินก็คงกองเต็มห้องเป็นแน่
เดิมทีนางนึกจักฮุบของพวกนั้นเอาไว้และแบ่งส่วนหนึ่งเป็นสินเดิมของอีเอ๋อ อีกส่วนหนึ่งแบ่งให้เหยียนเกอร์เอ๋อ ต่อไปเมื่อเหยียนเกอร์เอ๋อเป็นขุนนางจักได้เอาไว้ใช้
แต่ตอนนี้เรื่องที่มรดกของฮูหยินใหญ่อันอยู่ในการดูแลของนาง ทุกคนก็รู้กันทั่ว หากนางยังยึดไว้มิยอมปล่อย ผู้อื่นคงได้เอานางไปนินทาทั่วบ้านทั่วเมืองแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงรับคำ จากนั้นจึงหมุนตัวขึ้นรถม้าไป
จังหวะที่นางหันกลับ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลี่ซื่อก็เปลี่ยนเป็นดุดันทันที
แต่ยังปกปิดเอาไว้อย่างดีจึงมิมีใครทันเห็นท่าทีเยี่ยงนี้
เมื่อกลับถึงจวน ปี้จูก็ถามถึงเรื่องงานเลี้ยงที่จวนติ้งกั๋วกงว่างานสนุกหรือไม่
หมิงซินจึงยิ้มให้และแววตาก็แฝงไว้ด้วยความภูมิใจ “คุณหนูเลียนแบบภาพวาดของอาจารย์จางจนติ้งกั๋วกงชมว่าฝีมือวาดภาพของคุณหนูยอดเยี่ยมไร้ที่ติ”
“คุณหนูเก่งมากเจ้าค่ะ” ปี้จูเอ่ยชมอย่างจริงใจ นางยังจำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนนางและคุณหนูยังโดนหลี่ซื่อและอันหลิงอีกดขี่ คุณหนูก็อดทนโดยไร้ปากเสียงใดจนมองมิเห็นทางได้ก้าวขึ้นมาแสดงความโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ คนภายนอกจึงรู้เพียงว่าอันหลิงอีของจวนโหวฉลาดและมีความสามารถ แต่มิมีใครรู้จักคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวสักคนเดียว
แต่ผู้ใดจักนึกว่าภายในเวลามิกี่เดือน คุณหนูใหญ่จักเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนถึงเพียงนี้ มิเพียงฉลาดหลักแหลมและหนักแน่นขึ้น แม้แต่ทักษะเหล่านี้ก็โดดเด่นจนทำให้ทุกคนตกตะลึง
ขณะที่นายบ่าวกำลังมีความสุข ฝั่งเฉินเฉินเมื่อกลับถึงจวนก็มิลืมให้คนส่งของขวัญมาให้อันหลิงเกอโดยบอกว่าเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ
คนต้อนรับวิ่งเข้ามารายงานฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมรอยยิ้ม ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้รู้ว่าที่แท้ตอนพวกอันหลิงเกออยู่ในสวนก็มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
นางฟังคำบอกเล่าจากคนของจวนราชครู “โชคดีที่สาวใช้ข้างกายคุณหนูใหญ่มีไหวพริบดีจึงช่วยคุณหนูของพวกเราได้ทัน มิเช่นนั้นพวกเราคงมิกล้านึกว่าจักเกิดอันใดขึ้นเลยเจ้าค่ะ”
คนที่มาเป็นแม่นมผู้สุภาพเรียบร้อย มีใบหน้าผอมเล็กแต่ดวงตาดูเป็นคนมีไหวพริบมิน้อย
นางส่งกล่องที่ถืออยู่ในมือให้สาวใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ขณะนั้นก็เอ่ยชื่นชมมิหยุด “คุณหนูของเราพอตกน้ำก็มิค่อยสบาย ท่านหมอจึงสั่งให้พักผ่อนมากๆ ดังนั้นจึงมิสามารถมาที่นี่ด้วยตนเองได้จึงให้ข้าน้อยนำของขวัญมามอบแทน หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงมิว่าอันใดเจ้าค่ะ”
“มิได้ หามิได้” ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากแม่นมแล้ว จึงรู้ว่าอันหลิงอีเป็นคนผลักเฉินเฉินตกน้ำ
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจึงเผยความรู้สึกผิดออกมา แต่ยังแฝงไปด้วยความอึดอัด “เพราะข้าสั่งสอนหลานสาวมิดี นางจึงไปล่วงเกินคุณหนูเฉินจนเกือบกลายเป็นความผิดใหญ่หลวงเสียแล้ว”
แม้ว่าแม่นมคนนั้นจักมามอบของขวัญเพื่อเป็นการขอบคุณ แต่ประโยคที่นางกล่าวออกมาทั้งหมดกลับเป็นการตั้งใจฟ้องเรื่องอันหลิงอีเสียมากกว่า
ตอนอยู่ที่ศาลา เฉินเฉินเห็นแก่หน้าของอันหลิงเกอจึงมิได้เอาเรื่องเอาราวอีก แต่ท่านราชครูรักหลานสาวมาก นานทีเฉินเฉินจักออกจากจวนแต่พอกลับมานางเกิดมิสบายจึงรีบถามไถ่ว่าเกิดอันใดขึ้น
ตอนที่ทราบว่าหลานสาวถูกอันหลิงอีผลักตกน้ำก็โมโหเป็นอย่างมากจนอยากบุกมาที่จวนโหวเพื่อถามหาความยุติธรรมจากอันอิงเฉิง
ทว่าสาวใช้ข้างกายของเฉินเฉินห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน นางบอกว่าสาวใช้ของอันหลิงเกอเป็นคนช่วยเฉินเฉินขึ้นมา เขาจึงหยุดการกระทำ
ผู้ที่ทำให้เฉินเฉินตกน้ำเป็นคนของจวนโหว แต่ผู้ที่ช่วยเฉินเฉินก็เป็นคนของจวนโหว ท่านราชครูรู้สึกลำบากใจขึ้นมา ดูท่าเขาคงมิสามารถตำหนิจวนโหวได้
แม้มิสามารถเอาผิดทั้งจวนโหวได้ก็ยังสามารถเอาผิดคนร้ายตัวจริงได้
ท่านราชครูจึงตัดสินใจให้แม่นมที่ดูแลเรื่องต่าง ๆ ในเรือนของเฉินเฉินนำของขวัญมายังจวนโหวโดยบอกว่าเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณอันหลิงเกอ และยังสั่งให้แม่นมเล่าเรื่องเฉินเฉินตกน้ำอย่างไรให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียดอีกด้วย
ทว่าตอนที่เฉินเฉินถามขึ้น ท่านราชครูกลับปิดบังโดยบอกเพียงว่าเขาซาบซึ้งที่อันหลิงเกอช่วยเฉินเฉินเอาไว้จึงให้คนนำของขวัญไปมอบให้เท่านั้น
เฉินเฉินจึงมิได้สงสัยอันใดอีก ทั้งยังเป็นคนเลือกของขวัญเองด้วย เมื่อเลือกเสร็จแล้วนางก็ทานยาแล้วนอนพักผ่อน
ทางด้านแม่นมเมื่อมาถึงจวนโหวก็ทำตามที่ท่านราชครูสั่งไว้โดยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในศาลาอย่างละเอียด แต่ปากบอกว่ามาเพื่อขอบคุณอันหลิงเกอเท่านั้น ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าปั้นยากเต็มทน
นางอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่โดนคนภายนอกมาฟ้องร้องต่อหน้า มิหนำซ้ำคนที่ถูกฟ้องยังเป็นหลานสาวของตนอีกด้วย ราวกับมาบอกนางว่าสั่งสอนหลานสาวมิได้เรื่องอย่างไรอย่างนั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกทำหน้ามิถูกจึงฝืนยิ้มให้แม่นมคนนั้นและรอจนอีกฝ่ายออกไปแล้วจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมโทสะ “ไปเรียกเกอเอ๋อกับอีเอ๋อมาพบข้า”
เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีอาการโกรธอย่างมาก สาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาหลายปีจึงมิกล้ากล่าวอันใด เพียงก้มหน้ารับคำแล้วไปตามอันหลิงเกอกับอันหลิงอีทันที
ตอนที่อันหลิงเกอได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกพบนั้นภายในใจก็พอคาดเดาได้ว่าเพราะเหตุใด ซึ่งสาวใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าทราบดีว่าคุณหนูใหญ่เป็นที่โปรดปรานจึงแอบกระซิบบางอย่างให้ทราบ