ตอนที่ 687

Elixir Supplier

687 ต้องการเงินหรือต้องการชีวิต?

 

“เราจะไปที่ไหนหันคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เป็นเขาลูกหนึ่งชื่อว่า เขาฟู่หลาย” หวังเย้าพูด “ผมก็ยังไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนเหมือนกัน”

 

หากพูดตามจริง ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะเดินทางไปเขาฟู่หลาย พวกเขาควรจะรอให้ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นตอนที่ใบแปะก๋วยจะกลายเป็นสีเหลืองทั้งหมด ในเวลานั้น ผู้ที่มาเยี่ยมชมก็จะได้เห็นภาพความงดงามจนแทบลืมหายใจ และคนส่วนใหญ่เลือกมาที่เขาฟู่หนานก็เพื่อจะได้มาดูต้นแปะก๋วยต้นนี้

 

“แล้วที่เนื้อแกะที่นั่นก็ดังมากด้วยนะ” หวังเย้าพูด

 

“โอ้โห ถ้าอย่างนั้นเราจะกินเนื้อแกะกันตอนเที่ยงนี้ใช่ไหมคะ? แล้วคุณไปที่นั่นบ่อยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ไม่ ผมเคยขับผ่านที่นี่แค่สองครั้งเท่านั้น” หวังเย้าพูด

 

ถึงที่นี่จะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านของเขา แต่หวังเย้าก็เคยขับผ่านไปแค่สองครั้งเท่านั้น มันเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าเหลียนชานเกือบสองเท่า เศรษฐกิจของที่นี่ก็ดีกว่าด้วย และมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่าด้วยเช่นกัน

 

เขาฟู่หลายไม่ได้สูงมาก และยังเล็กกว่าเนินเขาหนานชานด้วย ในเวลานี้ของปี ซึ่งไม่ใช่ทั้งวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดตามเทศกาล จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก

 

บนเขามีวัดที่ดูเก่าแก่ตั้งอยู่ด้วย หลังจากหวังเย้าและซูเสี่ยวซวีเข้าไปในวัด พวกเขาก็ได้เห็นต้นแปะก๋วยต้นใหญ่ตั้งอยู่ด้านใน มันมีขนาดใหญ่มากและตั้งอยู่ภายในบริเวณของวัด กิ่งก้านและใบของมันปกคลุมครึ่งหนึ่งของบริเวณวัด ลำต้นของมันก็มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งต้องใช้คนหลายคนจับมือกันเพื่อที่จะสามารถโอบรอบลำต้นของมันได้ เมื่อยืนอยู่ใต้ต้นแปะก๋วย ก็จะให้ความรู้สึกเย็นสบาย

 

“ฉันว่า ต้นแปะก๋วยต้นนี้จะต้องมีอายุอย่างน้อยๆก็พันปีเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีเงยหน้าขึ้นมองต้นแปะก๋วย ใบของมันช่วยป้องกันแสงแดดที่ส่องลงมา

 

“ก็อาจจะใช่” หวังเย้าพูด

 

เธอเดินไปรอบต้นแปะก๋วยอยู่หลายรอบและถ่ายรูปกับมันไปหลายภาพ

 

“นี่คืออะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีชี้ไปที่เส้นด้ายสีแดงที่ห้อยอยู่ตามต้นไม้

 

“คนที่มาที่นี่เขามาขอพรอธิษฐานกันน่ะ แล้วก็เอาเส้นด้ายสีแดงห้อยไว้กับต้นไม้ ผมได้ยินมาด้วยนะว่า คนที่มาขอพรที่นี่มักจะสมปรารถนากัน” หวังเย้าพูด

 

“งั้นเราก็ขอพรด้วยสิคะ” ซูเสี่ยวซวีเสนอขึ้นมา

 

“เอาสิ” หวังเย้าพูด

 

พวกเขาไปขอพรที่ใต้ต้นแปะก๋วย ซูเสี่ยวซวีหลับตาลงและประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เธอขอพรด้วยความตั้งใจจริง

 

หลังจากขอพรเสร็จแล้ว พวกเขาก็พากันเดินไปรอบๆตัววัด ที่เหลียนชานก็มีวัดเก่าแก่อยู่ด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ตัววัดได้รับความเสียหายในระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมและสังคม การที่วัดยังสามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว แต่ภายในก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว

 

ซูเสี่ยวซวีดูเหมือนจะมีความเชื่อในวัดอย่างมาก เธอยังเข้าไปขอพรกับพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ภายในด้วย หวังเย้าเพียงแค่ยืนมองเธอเฉยๆเท่านั้น

 

ที่มุมหนึ่งของวัด มีพระชรารูปหนึ่งตั้งโต๊ะอยู่ เขาหลับตาและพิงไปกับเก้าอี้ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะกำลังหลับอยู่

 

“หมอหวัง ตรงนั้นมีดูดวงด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูด “เราไปดูกับเขากันดีไหมคะ?”

 

“ไปสิ” หวังเย้าพูด

 

บทสนทนาของพวกเขาได้ปลุกพระรูปนั้นให้ตื่นขึ้นมา “มีอะไรให้อาตมาช่วยเหรอ?”

 

“เราอยากรู้ว่าในอนาคตของพวกเราจะเป็นยังไงค่ะ ท่านพระอาจารย์” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“อาตมาไม่ใช่พระอาจารย์หรอก อาตมาเป็นแค่พระรูปหนึ่งเท่านั้น” พระพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วโยมอยากจะรู้เรื่องอะไรล่ะ? หน้าที่การงาน, การแต่งงาน, หรือเรื่องครอบครัวล่ะ?”

 

“ทั้งหมดเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เธอและหวังเย้าบอกรายละเอียดของแต่ละคน ทั้งวันเดือนปีเกิดและปีนักษัตรของตัวเอง พระรูปนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

“โยมมาจากครอบครัวมีฐานะ อาจจะเป็นครอบครัวที่มีอำนาจมากด้วย ถ้าดูจากโหงวเฮ้งบนใบหน้าของโยมแล้ว โยมเป็นผู้ที่มีโชค เมื่อดูจากวันเดือนปีเกิดของโยมแล้ว โยมได้เคยประสบเคราะห์กรรมในช่วงอายุยี่สิบต้นๆ และเกือบเอาชีวิตของโยมไป มันไม่ง่ายเลยที่จะรอดมาได้” พระพูดเสียงเบา

 

“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพยักหน้าซ้ำๆ

 

“มันเป็นเคราะห์กรรมที่ถูกลิขิตมาเพื่อให้โยมได้ผ่านมันไป หลังจากนั้น อนาคตของโยมก็จะมีแต่ความสดใสและราบรื่นไปตลอด” พระพูด

 

“แล้วเรื่องการแต่งงานล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“โยมจะมีชีวิตการแต่งงานที่มีความสุข” พระพูด

 

แล้วพระก็หันหน้าไปทางหวังเย้า

 

“ดูจากวันเดือนปีเกิดของโยมแล้ว ชีวิตของโยมไม่ได้มีโชคมากนัก แต่ถ้าดูจากโหงวเฮ้งแล้ว…” พระจับจ้องไปที่ใบหน้าของหวังเย้าและส่ายหน้า

 

“มีอะไรเหรอคะท่าน?” ซูเสี่ยวซวีถามขึ้นมาด้วยความกังวล ในขณะที่หวังเย้ากลับยังสงบอยู่ได้

 

“อาตมาบอกไม่ได้” พระพูด “โยมฝึกทางเต๋าเหรอ?”

 

“อ่อ ใช่ครับ” หวังเย้าพูดด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่า พระรูปนี้จะรู้เรื่องนี้ด้วย และเริ่มสนใจพระรูปนี้มากขึ้น “ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับ ว่าทำไมท่านถึงรู้ว่าผมฝึกทางเต๋า?”

 

“อาตมาแค่ใช้ความรู้สึกคาดเดาเอาเองเท่านั้น” พระพูด

 

“ท่านเดาถูกแล้วล่ะครับ ผมกำลังฝึกทางเต๋าอยู่” หวังเย้าพูด

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลก ที่อาตมาจะไม่สามารถดูโหงวเฮ้งของโยมออกได้” พระพูด

 

“ดูไม่ได้เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ด้วยการที่โยมฝึกฝนมาทางนี้ มันก็จะทำให้ชีวิตของโยมเปลี่ยนไปด้วย” พระพูด “ชีวิตของโยมจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โหงวเฮ้งของโยมจะเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราว อีกสามปีข้างหน้า ใบหน้าของโยมก็อาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ โยมลองคอยสังเกตดูใบหน้าของตัวเองบ่อยๆก็ได้ แล้วโยมก็จะเห็นเองว่ามันเปลี่ยนจริงๆไหม”

 

“ท่านเคยเจอคนที่ฝึกทางธรรมหรือทางเต๋าบ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เคยสิ อาตมาเคยพบอยู่คนหนึ่ง” พระพูด

 

“ผมขอถามได้ไหมครับ ว่าเขาอยู่ที่ไหน?” หวังเย้าต้องการเจอกับคนที่ฝึกทางธรรมหรือทางเต๋ามาตลอด เพราะตัวเขาต้องการรู้ว่า พวกเขาฝึกอะไรและอย่างไร

 

“เขาเป็นพระรูปหนึ่งอยู่ที่เขาอู่ไถ เขามีความเข้าใจในเรื่องพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และเป็นเกจิอาจารย์ของแท้” พระพูด

 

“เขาอู่ไถที่ชานซีใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ใช่” พระพูด

 

เขาอู่ไถถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงทางด้านศาสนาพุทธ

 

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะครับ” หวังเย้าพูด

 

พวกเขาถวายปัจจัยให้กับทางวัด ก่อนที่จะพากันออกมา

 

“คุณอยากไปเจอพระรูปนั้นที่เขาอู่ไถใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ใช่ ผมอยากจะลองไปเจอเขาดู” หวังเย้าพูด

 

“งั้นเราไปด้วยกันนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ได้สิ” หวังเย้าพูด

 

หลังลงมาจากเขาฟู่หลายแล้ว พวกเขาก็ไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในแถบนี้ ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อในเรื่องของเนื้อแกะ มันเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ ตอนที่พวกเขาไปถึงก็เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี ดังนั้น ภายในร้านจึงเต็มไปด้วยลูกค้าอยู่หลายโต๊ะ แต่รสชาติของซุปเนื้อแกะกลับไม่ได้เลิศรสอะไร เพราะเมื่อมีลูกค้าสั่งเป็นจำนวนมาก เชฟของทางร้านจึงไม่สามารถการันตีว่ารสชาติของอาหารทุกจานจะเหมือนกันหมดได้

 

หลังทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็ขับรถกลับไปที่เหลียนชาน

 

ทนายความของซูเสี่ยวซวีที่เดินทางมาจากปักกิ่งได้ปรึกษากับจางเผิงเกี่ยวกับคดีของหวังเย้า พวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้ ทั้งหมดที่ต้องทำก็คือรอเวลาขึ้นศาลเท่านั้น

 

ศาลได้เปิดการพิจารณาคำขออุทธรณ์ของหวังเย้า คำตัดสินในครั้งนี้แตกต่างจากคำตัดสินแรกอย่างสิ้นเชิง หวังเย้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น และนี่ถือว่าเป็นคำตัดสินสุดท้าย

 

เฉาเหอไม่ได้คิดจะยื่นขออุทธรณ์กับคำตัดสินนี้ เรื่องทั้งหมดจึงเหมือนกับการละเล่นของเด็กเล็กๆเท่านั้น

 

“หาเจอรึยังคะ ว่าเฉาเหอคนนี้เป็นใคร?” ซูเสี่ยวซวีหันไปถามชูเหลียนในตอนที่พวกเธอกำลังนั่งฟังคำตัดสินอยู่

 

“เจอแล้วค่ะ” ชูเหลียนพูด

 

หลังจากผู้พิพากษาประกาศคำตัดสินสุดท้ายออกมาแล้ว ทุกคนที่อยู่ในศาลต่างก็แยกย้ายกันออกไป หวังเย้ารับเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับเฉาเหอมาอ่านในรถ

 

เฉาเหอมาจากหมู่บ้านที่ยากจนมากแห่งหนึ่ง เขาสำเร็จการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศจีน และเรียนจบสองปริญญาตรีทางด้านจิตวิทยาและกฎหมาย เขาเป็นนักศึกษาเรียนดีและยังได้รับทุนการศึกษาจากทางมหาวิทยาลัยทุกปีด้วย

 

“หืมมม เขาเป็นคนฉลาดมากเลยนะเนี่ย” หวังเย้าพูด “แล้วทำไมถึงได้มาทำงานให้คนอย่างเฉาเหมิงได้ล่ะ?”

 

“พวกเขามีแซ่เดียวกัน แล้วบ้านเกิดที่บ้านเกิดพวกเขาก็อาศัยอยู่บ้านใกล้ๆกันด้วยค่ะ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นญาติกันก็ได้” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

 

ขณะเดียวกัน เฉาเหมิงก็ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลห่ายชิว

 

“หมอคะ พี่ชายของผมกับเพื่อนของเขาป่วยเป็นอะไรกันแน่?” เฉาฮุยถามแพทย์

 

“บอกตามตรงนะครับ เราไม่สามารถหาสาเหตุของอาการที่พวกเขาเป็นอยู่ได้เลย” แพทย์พูด เขาไม่เคยเจออาการป่วยแบบนี้มาก่อนเลย “ร่างกายของเขาต่อต้านอาหารทุกอย่างที่กินเข้าไป ทันทีที่เขาเริ่มกิน กระเพาะของเขาก็จะถูกกระตุ้นและทำให้อาเจียนออกมา เราพยายามหยุดอาการของเขาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลเลย”

 

“แต่จะให้พวกเขาอยู่แบบนี้ไปตลอดก็คงจะไม่ได้” เฉาฮุยพูด

 

“ถ้าคุณไม่อยากจะรอ คุณก็สามารถทำเรื่องขอส่งตัวพวกเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นดูก็ได้นะครับ บางที หมอจากโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่านี้อาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง” แพทย์พูด

 

ในเมื่อเขาไม่สามารถทำให้คนอาการดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาพอจะทำได้ก็คือปล่อยให้คนไข้มองหาสถานที่รักษาที่อื่นแทน

 

“ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ” เฉาฮุยพูด

 

“ยินดีครับ” แพทย์พูด

 

ในตอนที่เฉาฮุยเดินออกมาจากห้องทำงานของแพทย์ เฉาเหอก็กลับมาที่โรงพยาบาลพอดี

 

“เรื่องที่ศาลเป็นยังไงบ้าง?” เฉาฮุยถาม

 

“เขาชนะ เขามีกลุ่มทนายจากปักกิ่งมาว่าความให้” เฮาเหอพูด “ฉันว่า ผู้พิพากษาดูเหมือนจะถูกกดดันจากหัวหน้าของเขาด้วย พวกเขาติดสินทุกอย่างไปตามคำร้องของอีกฝ่าย หัวหน้า ผมว่าเราควรจะยอมแพ้ได้แล้วนะ ถ้าหัวหน้ายังคิดจะสู้กับหวังเย้าต่อ แม้แต่ชิวิตก็อาจจะไม่เหลือเลยนะครับ”

 

ที่เฉาเหอต้องการจะยอมแพ้ก็เพราะเฉาเหมิงที่นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล หลังจากที่เฉาเหมิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟังแล้ว เฉาเหอก็ค่อนข้างมั่นใจว่า อาการที่เฉาเหมิงและคนที่เหลือเป็นอยู่ในเวลานี้ เกิดจากฝีมือของหวังเย้า หลังจากที่เขาได้ทำความรู้จักหวังเย้ามากขึ้น เฉาเหอก็ได้รู้ว่า หวังเย้าเป็นแพทย์ที่มีฝีมือทั้งในเรื่องการรักษาอาการปวดศีรษะ, ปวดขา, โรคหัวใจ, และอาการเส้นเลือดอุดตัน หวังเย้าสามารถรักษาได้แทบทุกโรค

 

แพทย์ที่สามารถรักษาคนให้หาย ก็สามารถทำให้คนป่วยได้นเช่นกัน เฉาเหอสันนิษฐานว่า เฉาเหมิงจะถูกหวังเย้าวางยาเข้า แต่เขาก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง