ตอนที่ 688

Elixir Supplier

688 เสียใจ

 

“อืม ฉันคงต้องพึ่งนายกับเสี่ยวฮุยแล้วล่ะนะ” เฉาเหมิงพูด

 

“ปล่อยให้พวกเราจัดการเรื่องนี้เองครับ” เฉาเหอพูด

 

ที่ด้านนอกห้องพักคนไข้ คนทั้งสี่ในแก็งค์กำลังรวมตัวกันอยู่

 

“นี่ สองคนนั้นมันเป็นใครกันเหรอ?” หนึ่งในนั้นถามขึ้นมา

 

“จะไปรู้เหรอ แล้วฉันไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนด้วย” อีกคนพูด “พวกนั้นอาจจะแค่มาช่วยเราเป็นการชั่วคราวเท่านั้นก็ได้”

 

“แล้วถ้าพวกมันเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาล่ะ ทำไมหัวหน้าถึงได้ดูเชื่อใจขนาดนั้นด้วย?” คนที่สามถาม

 

“หรือว่าหัวหน้าจะผิดหวังในตัวพวกเรา?” คนที่สองถาม

 

ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น เฉาเหอและเฉาฮุยก็เดินออกมา

 

“เราคงต้องส่งตัวหัวหน้าไปรักษาที่ปักกิ่ง” เฉาเหอพูด

 

“ปักกิ่งเหรอ?” หนึ่งในสี่คนถาม “ก็ได้”

 

คนทั้งสี่ไม่เคยไปปักกิ่งมาก่อนเลย พวกเขาจึงอยากจะไปที่นั่นเพื่อดูว่ามันเป็นยังไง แล้วการที่พวกเขาคอยดูแลหัวหน้าอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเขาก็ได้เงินสำหรับกินดื่มในทุกๆวัน ถึงมันจะไม่ได้มากมายอะไร แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพวกเขาไม่ได้อะไรเลย

 

“ฉันไปทำเรื่องส่งตัวก่อนนะ” เฉาเหอพูด “ดูแลหัวหน้าด้วยล่ะ”

 

“ดูเหมือนว่าพี่เขาจะยังไม่อยากยอมแพ้นะ” เฉาฮุยพูดขึ้นมา หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาไกลแล้ว “นายต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่องให้ได้นะ”

 

“ฉันลองพยายามคุยกับเขาดูแล้ว แต่พี่ก็เอาแต่สนใจเรื่องเงินอย่างเดียวเลย” เฉาฮุยพูด

 

“แต่ยังไงเขาก็ต้องมีชีวิตยืนยาวพอที่จะได้ใช้เงินด้วย” เฉาเหอพูด “ฉันรู้สึกว่า ถ้าพี่ไปรักษาตัวที่ปักกิ่งแล้ว มันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คิดน่ะสิ”

 

“ลองดูไปก่อนเถอะ” เฉาฮุยพูด

 

ภายในห้องคนไข้ เฉาจื่อเจินจ้องมองเพดานอยู่ ดวงตาของเขาไร้ประกาย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความโง่ของตัวเองและความเสียใจ เขาไม่น่ามาที่นี่เลย เขาไม่ควรเข้าร่วมกับแก็งค์นี้ แล้วทำร้ายพ่อของตัวเองแบบนี้เลย

 

อาการของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าคนอื่นๆ รวมไปถึงเฉาเหมิงด้วย พวกเขาอาเจียนทุกครั้งที่ทานอะไรเข้าไป ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ทานอะไรเลย และต้องอยู่โดยพึ่งพาสารอาหารจากสายน้ำเกลือ แต่เฉาจื่อเจินนั้นต่างออกไป

 

นอกจากอาการเหล่านั้นแล้ว จมูกและหูของเขายังมีเลือดไหลออกมาเป็นครั้งคราว ในทุกๆสามวัน เขาจะมีอาการเวียนศีรษะและมีปัญหาด้านการได้ยินกับดมกลิ่น ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงจะสูญเสียทั้งการได้ยินและการดมกลิ่น โชคร้ายที่แม้แต่แพทย์ก็ยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร ดังนั้น แพทย์จึงไม่สามารถรักษาอาการป่วยของเขาได้

 

เฮาจื่อเจินรู้ถึงสาเหตุของเรื่องนี้ มันเป็นเพราะฝีมือของหวังเย้า เขาและคนอื่นๆต้องป่วยหนักแบบนี้ล้วนเป็นฝีมือของชายหนุ่มคนนั้น

 

ตอนนี้ เขารู้สึกอยากจะไปที่หมู่บ้านกลางเขาและคุกเข่าลงตรงหน้าคลินิก เขายินดีทำทุกอย่าง ขอแค่สามารถทำให้เขาหายจากอาการเหล่านี้ก็พอ ตราบใดที่เขายังสามารถรักษาชีวิตของตัวเองได้ จะให้เขาเข้าไปอยู่ในคุกเขาก็ยอม แต่ตอนนี้ แม้แต่จะลุกขึ้นนั่งก็ยังทำไม่ได้ จะไปที่ไหนก็คงจะไม่ได้

 

เฉาจื่อเจินถอนหายใจ เขาพูดออกมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ฉันเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจริงๆ”

 

 

ที่สนามบินห่ายชิว

 

“เดินทางปลอดภัยนะ” หวังเย้าพูด

 

“ถ้ามีเรื่องอะไร คุณต้องบอกฉันนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

การเดินทางมาในครั้งนี้ของเธอได้จบลงแล้ว เธอหยุดเรียนมาหลายวันแล้ว แต่ยังไงเธอก็ต้องกลับไปเรียนเพื่อให้จบตามเวลา

 

ก่อนจะไป หวังเย้าก็ได้กอดเธอเอาไว้ “ดูแลตัวเองดีดีนะ”

 

หลังจากยืนมองเธอจนลับสายตาไปแล้ว หวังเย้าก็หมุนตัวเดินออกไป เขายืนอยู่ด้านนอกสนามบินและมองดูเครื่องบินที่กำลังทะยานขึ้นฟ้าและหายลับไป

 

เมื่อสิบกว่าวันก่อน ซูเสี่ยวซวีก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่แบบนี้เช่นเดียวกัน และในตอนนี้ ก็เป็นตาของเขาบ้างแล้ว

 

ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีรถสองคันเดินทางออกจากห่ายชิวและมุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง

 

หวังเย้าขับรถกลับไปที่หมู่บ้านและตรงไปที่คลินิก ประตูถูกเปิดเอาไว้ ด้านในไม่ใช่คนไข้แต่เป็นเพื่อนของเขา

 

เจิ้งชื่อฉง, เจิ้งเหว่ยจวิน, หวูชู, เวินหว่าน, จงหลิวชวน, และน้องสาวของเขา ได้มาหาหวังเย้าเพื่อถามว่าจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไงและต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาหรือไม่

 

“ขอบคุณ ขอบคุณทุกคนมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

เขาคิดดูดีดีแล้ว และได้ตัดสินใจเชิญทุกคนไปทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารใกล้บ้าน เขาได้โทรไปที่ร้านอาหารและจองโต๊ะเอาไว้

 

ตอนเย็น คนที่เขาเชิญก็มาถึง โชคดีที่เขาจองโต๊ะใหญ่เอาไว้ที่ร้าน

 

“ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงและช่วยเหลือผมนะครับ เหล้าแก้วนี้ขอดื่มให้ทุกคนนะครับ” หวังเย้าชูแก้วขึ้นและดื่มเหล้าเข้าไป

 

“ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้นหรอก”

 

“มันเป็นเรื่องที่เราต้องทำอยู่แล้วครับ”

 

นอกจากคนที่ป่วยอยู่แล้ว คนที่เหลือก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าคนป่วยที่มารักษากับหวังเย้าและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านได้มารวมตัวกันแบบนี้ ถึงพวกเขาจะเคยเจอหน้ากันและทักทายกันบ้าง แต่นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มานั่งรวมกันแบบนี้ มันเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะได้คุยกันมากขึ้นและกลายเป็นเพื่อนกัน

 

ในระหว่างมื้ออาหาร แขกทุกคนและเจ้ามือต่างก็มีความสุข พวกเขาทานอาหารยาวไปจนถึงสามทุ่ม

 

หวังเย้ากลับบ้านไปทักทายพ่อแม่ของเขา ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพียงลำพัง ที่ตีนเขาหนานชาน ต้นไม้ที่เขาปลูกกำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี ลมพัดต้นไม้ส่ายไปมา

 

เขาเดินเข้าไปตรงหน้าต้นไม้และตบไปที่ลำต้นของมัน “โตเร็วๆนะ”

 

หลังจากที่เดินขึ้นไปถึงบนเขาแล้ว ก็มีแสงไฟส่องลอดออกมาจากกระท่อมและมีเสียงท่องคัมภีร์เต๋าดังออกมาให้ได้ยิน

 

วันต่อมา คลินิกเปิดทำการ มีคนไข้สองคนมาในตอนเช้า และในตอนบ่ายมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ในความคิดของหวังเย้านั้น คนไข้แต่ละคนไม่ได้อาการหนักอะไรเลย

 

เขาติดต่อไปหาหลี่ชื่อหยูและสั่งซื้อต้นไม้มาอีกหลายคันรถ เมื่อมีเวลาว่าง หวังเย้าจึงดูแผนการที่วางเอาไว้และจัดการปรับปรุงบางส่วน

 

ในโลกอินเตอร์เนต ข่าวที่เกี่ยวกับคลินิกยังไม่ซาลง และดูเหมือนจะมีมากขึ้นเรื่อยๆด้วย

 

เช้าวันต่อมา รถบรรทุกได้ขนต้นไม้เข้ามาในหมู่บ้าน หลังจากตรวจคนไข้เสร็จแล้ว หวังเย้าก็ปิดประตูคลินิก ต้นไม้ถูกขนลงที่ตีนเขาเหมือนอย่างเคย

 

“คุณปลูกต้นไม้เก่งมากเลยนะครับ!” หลี่ชื่อหยูพูด ต้นไม้ที่หวังเย้าปลูกดูเติบโตเป็นอย่างดีทุกต้น

 

“ก็พอได้ครับ” หวังเย้าพูด

 

“ถ้าคุณไม่อยากเป็นหมอแล้ว อย่าลืมบอกผมแล้วกันนะครับ!” หลี่ชื่อหยูพูดหยอก “วันนี้ ผมขนต้นไม้มาให้สามคันรถนะครับ”

 

“ดีครับ” หวังเย้าพูด

 

“อยากให้ผมช่วยอะไรไหมครับ?” หลี่ชื่อหยูถาม “ผมไม่คิดเงินหรอกะครับ”

 

“ขอบคุณนะครับ แต่ผมทำเองไหว” หวังเย้าพูด

 

เมื่อต้นไม้ถูกขนลงจนหมดแล้ว เขาก็เริ่มงานไปตามจุดที่วางเอาไว้, ขุดหลุม, เอาต้นไม้ลงปลูก, และรดน้ำ เขาคุ้นเคยกับขั้นตอนเหล่านี้ดี ซานเซียนก็ลงมาจากเขาเพื่อมาช่วยเขาด้วย

 

เขาใช้มือหนึ่งถือต้นไม้เอาไว้และใช้อีกมือตักดินใส่หลุม ซานเซียนมีหน้าที่ในการดูว่าต้นไม้ตรงหรือไม้ และบางครั้งก็ช่วยเขาจับต้นไม้เอาไว้

 

ต้นไม้ถูกนำมาส่งเพิ่มในตอนกลางวัน ก่อนที่ต้นไม้ที่มาในช่วงเช้าจะทันได้ปลูกเสร็จ พ่อแม่ของหวังเย้าก็ตามมาช่วยด้วยเช่นเดียวกัน

 

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน จงหลิวชวนและน้องสาวของเขาก็เดินขึ้นเขาเพื่อออกกำลัง เมื่อผ่านมาทางหวังเย้า พวกเขาก็ได้เสนอความช่วยเหลือ

 

“ทำไมหมอถึงได้ปลูกต้นไม้เยอะแยะแบบนี้ล่ะคะ?” จงอันซินถาม

 

“เพื่อให้สภาพแวดล้อมสวยงาม แล้วก็อากาศจะได้บริสุทธิ์ขึ้นยังไงล่ะ” หวังเย้าตอบ

 

“อืม อากาศบนเขาลูกนี้ก็สดชื่นจริงๆนั่นแหละ” จงหลิวชวนพูด

 

เพราะอากาศบนเขาให้ความสดชื่น เขาและน้องสาวจึงมักจะขึ้นมาเดินบนนี้ในตอนที่อากาศเย็นลงเล็กน้อย

 

“ทุ่งนาแถวนี้ถูกทิ้งเอาไว้ ผมก็เลยเอมาปลูกต้นไม้แทน” หวังเย้าพูด “ดูสิครับ มีทั้งเชอร์รี่, แอพริคอต, และแอปเปิ้ล ผลไม้พวกนี้จะออกผลในปีหน้า อย่าลืมมาเก็บไปกินกันล่ะ!”

 

“ได้เลยค่ะ” จงอันซินหัวเราะออกมาและตั้งใจทำงานมากขึ้น

 

บนใบหน้าของจงหลิวชวนมีรอยยิ้มบางๆปรากฏให้เห็น

 

“ขอบคุณนะครับ วันนี้ผมขอเลี้ยงข้าวเย็นพวกคุณนะ” หวังเย้าพูด

 

“ขอบคุณครับ หมอหวัง วันนี้ผมซื้อปลาตัวใหญ่มาตัวหนึ่ง” จงหลิวชวนพูด “ผมทำความสะอาดเอาไว้แล้ว และคิดว่าจะเอามาตุ๋น หมออยากมากินกับเราไหมครับ?”

 

“เอ่อ คงไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด

 

ส่วนต้นไม้ทั้งหมดที่ขนมาในวันนี้ พวกเขาได้ใช้เวลาทั้งวันในการปลูก หลังจากที่ปลูกเสร็จแล้ว ป่าทรงครึ่งวงกลมก็ได้ปรากฏอยู่ตรงตีนเขา แม้ว่าพวกมันจะดูน้อยไปหน่อยก็ตาม ตอนนี้ก็เหลือถนนเพียงสายเดียวจะสามารถใช้เดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานได้

 

“ซานเซียน นายคิดว่ายังไง?” หวังเย้าถาม

 

โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!

 

เมื่อยืนอยู่บนยอดเขาหนานชาน ก็จะสามารถเห็นได้ว่า ที่ด้านล่างของเนินเขาจะมีป่ารูปพระจันทร์ครึ่งเสี่ยวปรากฏให้เห็น

 

“โครงสร้างพื้นฐานก็ได้แล้ว” หวังเย้าพูด “ขั้นต่อไปก็คือการเติมต้นไม้เข้าไปเพิ่ม เพื่อขยายขอบเขตของป่าตรงตีนเขาให้กว้างมากขึ้น”

 

 

ที่ปักกิ่ง

 

“หมอบอกได้ไหมครับ ว่าพี่ชายของผมป่วยเป็นอะไร?” หลังจากที่ย้ายโรงพยาบาลเรียบร้อยและทำการตรวจแล้ว เฉาเหอก็ไปที่ห้องทำงานของแพทย์เพื่อสอบถามเกี่ยวกับอาการของเฉาเหมิง

 

“พวกเขามีอาการแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” แพทย์ถาม

 

“ก็เป็นมาเกือบจะสิบวันแล้วครับ” เฉาเหอพูด

 

“งั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว และอาศัยแค่สารอาหารจากน้ำเกลือเท่านั้นสินะครับ” แพทย์พูด “อาการของเขามองไปในแง่ดีไม่ได้เลย แล้วกระเพาะของเขาก็เริ่มแสดงบาดแผลให้เห็นแล้วบางส่วน”

 

“แผลเหรอครับ?”