ตอนที่ 689

Elixir Supplier

689 ในตอนนั้น เขาคือพระพุทธเจ้า

 

การที่อาการรุนแรงขึ้นถือเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับคนไข้ทุกราย เฉาเหอมีสีหน้าแย่ลง “หมอช่วยอธิบายเพิ่มได้ไหมครับ?”

 

“คุณต้องการทราบเรื่องอะไรครับ?” แพทย์ถาม “ผมขอพูดตรงๆเลยแล้วกันนะครับ ที่ผมต้องการจะบอกก็คือ มันเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเนื้อร้ายครับ”

 

“อะไรนะครับ? มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?” เฉาเหอถาม

 

“งั้นคุณลองบอกผมมาสิครับ อะไรบ้างที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดเนื้อร้ายได้?” แพทย์ถาม

 

“การเปลี่ยนแปลงของยีนส์ครับ” เฉาเหอพูด

 

“อืม เรื่องการเปลี่ยนแปลงของยีนส์ดูเหมือนจะไกลไป เรามาพูดอะไรที่เข้าใจง่ายกว่านี้ดีกว่านะครับ มะเร็งเริ่มเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภายในร่างกายของมนุษย์ และเมื่อร่างกายของมนุษย์ได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยภายนอก” แพทย์พูด “คุณเฉาเหมิงก็อยู่ในปัจจัยนั้นเช่นกัน เขาไม่สามารถกินอะไรได้เลย เมื่อเขาเริ่มกิน ร่างกายของเขาก็จะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง อวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์ล้วนมีหน้าที่ของมันเอง กระเพาะและลำไส้มีหน้าที่ในการย่อยสลายอาหาร พวกมันจำเป็นต้องคงสภาพการทำงานของตัวเองโดยการรับอาหารเข้ามา ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกมันก็จะเริ่มเกิดปัญหาเหมือนกับบ้านเปล่าหลังหนึ่ง ถ้าคุณทิ้งบ้านหรือทุ่งนาเป็นเวลานานเกินไป พวกวัชพืชก็จะเริ่มเติบโตขึ้นในบริเวณนั้น ถ้ากระเพาะและลำไส้หยุดการทำงานเป็นเวลานานเกินไป มันก็จะมีปัญหาเช่นเดียวกัน”

 

“หมอพอจะแนะนำอะไรได้บ้างไหมครับ?” เฉาเหอถาม

 

“ตอนนี้ยังไม่มีครับ ผมได้จัดการประชุมขึ้นเพื่อปรึกษาเรื่องอาการของคุณเฉาเหมิงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ บางที หมอคนอื่นอาจจะพอมีทางรักษาเขาได้” แพทย์พูด

 

“ขอบคุณมากนะครับ” เฉาเหอพูด

 

“ยินดีครับ” แพทย์พูด

 

หลังเดินออกมาจากห้องทำงานของแพทย์แล้ว เฉาเหอก็รู้สึกกดดันขึ้นมา

 

“หมอว่ายังไงบ้างเหรอ?” เฉาฮุยที่เพิ่งกลับจากไปทำธุระถาม

 

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เฉาเหอส่ายหน้า

 

มันไม่ดีสักนิดเลยต่างหาก

 

เฉาเหอเอาแต่เงียบอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาว่า “บางทีเธออาจจะพูดถูก พี่ใหญ่ของพวกเราควรไปยอมรับความผิดของตัวเอง คนที่ทำกับเขาก็คงจะสามารถแก้ยกเลิกสิ่งที่เขาทำลงไปกับพี่ใหญ่ได้”

 

“เธอไปหมู่บ้านที่หวังเย้าอยู่หน่อยได้ไหม?” เฉาเหอถาม “อย่าเพิ่งบอกพี่ใหญ่ล่ะ”

 

“ได้” เฉาฮุยพูด

 

วันต่อมา เฉาฮุยเดินทางไปที่หมู่บ้านของหวังเย้าด้วยตัวเอง ไม่นาน เธอก็หาคลินิกของหวังเย้าพบ ด้านในไม่มีคนไข้อยู่เลย เธอเคาะประตูและเดินเข้าไปด้านใน

 

“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เฉาฮุยพูด

 

“สวัสดีครับ” หวังเย้าพูดด้วยความแปลกใจ

 

เฉาฮุยดูเป็นคนมีการศึกษาและหน้าตาค่อนข้างดี แต่หน้าตาของเธอดูเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด “ฉันชื่อว่า เฉาฮุย ค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่เฉาเหมิง”

 

“ผมรู้ว่าคุณคือใคร นั่งก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด

 

เฉาฮุยมาจากหมู่บ้านห่างไกลในส่วนกลางของประเทศจีน เธอจบการศึกษาในขณะการบันชีจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศจีน เธอและเฉาเหอมาจากหมู่บ้านเดียวกัน หวังเย้าคิดไม่ออกเลยว่า คนอย่างเฉาเหอและเฉาฮุยจะมาทำงานให้คนอย่างเฉาเหมิงได้ยังไง เขาประหลาดใจมากที่คนหนุ่มมากความสามารถถึงสองคนมาทำงานให้กับเศษสวะอย่างเฉาเหมิงได้

 

เขารู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมเฉาเหอและเฉาฮุยถึงได้จงรักภักดีต่อเฉาเหมิง คนสองคนที่ควรจะมีอนาคตที่สดใส กลับเลือกมาทำงานให้กับแก็งค์อาชญากรรมแบบนี้ไปได้

 

“ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับ ว่าทำไมคนแบบคุณถึงมาทำงานให้กับเฉาเหมิงได้?” หวังเย้าถาม “ที่ถามก็เพราะสงสัยเท่านั้น”

 

“เฉาเหอกับฉันเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน แล้วหมู่บ้านที่พวกเราอาศัยอยู่ก็ยากจนมากๆ” เฉาฮุยมองไปที่นอกหน้าต่างในขณะที่เธอกำลังพูดอยู่ เธอกำลังคิดย้อนกลับไปในอดีตของตัวเอง “คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะทำไร่เพื่อยังชีพ เราก็ไม่ถึงกับไม่มีข้าวให้กินเลย แต่พวกเราก็ไม่เคยกินอิ่มเหมือนกัน โรงเรียนที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปแปดกิโล ฉันต้องเดินไปเรียนทุกๆวัน ตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ฉันก็ต้องนอนอยู่ที่โรงเรียน อาหารของที่โรงเรียนแทบจะกินไม่ได้เลย ฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่า ฉันจะต้องเรียนให้หนัก เพื่อที่จะสามารถสอบเข้ามหาลัยดีดีได้ แล้วจากนั้น ชีวิตของฉันก็จะเปลี่ยนไป ฉันไม่ต้องการอยู่ในหมู่บ้านนั้นอีกต่อไปแล้ว”

 

เฉาฮุยหยุดไปช่วงหนึ่งและเล่าต่อว่า “ครอบครัวของฉันอยากให้ฉันลาออกจากโรงเรียน เพราะฉันยังมีน้องชายอยู่อีกสองคน พ่อแม่ของฉันเลยอยากให้ฉันทำงานหาเงิน เพื่อส่งน้องชายทั้งสองไปเรียนที่โรงเรียน คุณก็คงจะรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาในแถบชนบท เด็กผู้หญิงก็เหมือนกับขยะ พ่อของฉันยังบอกอีกว่า ถึงฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ไม่สามารถหาเงินมาส่งฉันได้อยู่ดี ฉันเลยบอกไปว่า ฉันจะขอทุนเรียนเอง แต่คนที่บ้านก็ยังไม่พอใจเรื่องนี้ ฉันเลยไม่กลับไปที่บ้านสองเดือนและยืมเงินจากครูที่โรงเรียนเพื่อซื้อของกิน”

 

“ดื่มน้ำสักหน่อยสิครับ” หวังเย้าเอาน้ำให้เฉาฮุยแก้วหนึ่ง

 

“ขอบคุณค่ะ” เฉาฮุยพูด “แล้วฉันก็เรียนต่อไปจนถึงปีสุดท้ายของชั้นมัธยมปลาย แต่ในปีนั้นแม่ของฉันก็เกิดป่วยขึ้นมา เธอต้องใช้เงิน 40,000 หยวนในการรักษา เงินจำนวนนั้นในตอนนี้อาจจะไม่ได้สูงอะไร แต่มันเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับครอบครัวของฉันในตอนนั้นเลย พ่อของฉันใช้เงินเก็บทั้งหมดและยังต้องไปขอยืมเงินจากคนอื่นเพื่อเอาไปรักษาแม่ของฉัน แล้ววันหนึ่ง เขาก็บอกให้ฉันลาออกจากโรงเรียนซะ”

 

“ฉันเสียใจจนร้องไห้” เฉาเหอพูด “คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้น ที่รู้ว่าชีวิตในโรงเรียนของฉันเป็นยังไง นักเรียนที่มาจากในเมืองได้กินไก่ทอด, เค้ก, และไอศกรีมตลอด แต่ฉันกลับไม่เคยได้มีโอกาสลิ่มลองมันเลยสักครั้ง ฉันได้กินแต่หมั่นโถวกับผัก เสื้อผ้าของฉันก็เก่ากว่าคนอื่น ทุกคนมองมาที่ฉันด้วยสายตาดูถูก แต่ฉันก็อยู่มาได้จนเกือบจะเรียนจบ แล้วสุดท้าย ฉันก็ต้องล้มเลิกความฝันของตัวเอง”

 

“ในตอนนั้นเอง ที่พี่เฉาเหมิงเข้ามาในชีวิตของฉัน” เฉาฮุยพูด “เขาเข้ามาถามว่าฉันร้องไห้ทำไม ฉันก็เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของฉันให้เขาฟัง หลังจากที่ฟังจบ เขาก็สูบบุหรี่และเงียบอยู่นาน จากนั้น เขาก็ตามฉันกลับไปที่บ้านและเอาเงินให้กับครอบครัวของฉันเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลแม่ เขาบอกกับเราว่า ขอแค่ให้ฉันเรียนต่อ เราก็ไม่จำเป็นต้องคืนเงินเขาสักหยวน เขายินดีที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนของฉันทั้งหมด ในตอนนั้น เขาเป็นเหมือนพระพุทธเจ้าในสายตาของฉันเลยล่ะ”

 

หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเรื่องราวของเธอ เขาไม่คิดว่า เศษสวะอย่างเฉาเหมิงจะเสนอความช่วยเหลือให้กับครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดี

 

“ฉันสามารถสอบเข้ามหาลัยได้สำเร็จ เขาช่วยจ่ายเงินค่าเรียนให้กับฉันในสองปีแรก ถ้าไม่มีเขา ฉันก็คงจะเรียนชั้นมัธยมไม่จบ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย” เฉาฮุยพูด “ชีวิตของฉันก็คงจะต่างกับตอนนี้มาก ฉันคงจะต้องแต่งงานกับคนที่ฉันไม่ได้ชอบและมีลูกกับเขา ฉัน แล้วก็ต้องใช้ชีวิตอย่างคนยากคนจนต่อไป และได้แต่หวังว่า ชีวิตลูกๆของฉันในอนาคตจะต่างดีกว่าตัวเอง”

 

อยู่ๆหวังเย้าก็รู้สึกเศร้าใจกับชีวิตของเฉาฮุย “แล้วเฉาเหอก็มีปัญหาแบบเดียวกับคุณใช่ไหม?”

 

“ค่ะ อาจจะดีกว่าฉันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ต่างกันมาก” เฉาฮุยพูด

 

เฉาเหมิงช่วยเหลือเด็กสองคนในวันที่มืดมนที่สุดในชีวิตของพวกเขา ในเวลานั้น เฉาเหมิงก็เปรียบเสมือนดังพระเจ้าในสายตาของคนทั้งสอง ไม่ว่าเขาจะเลวร้ายแค่ไหน แต่เขาก็ได้ได้การช่วยเหลือและเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั้งสองจะจดจำบุญคุณนี้เอาไว้และตอบแทนมันกลับไปให้เขา เมื่อเฉาเหมิงทำเรื่องผิดกฎหมาย พวกเขาก็จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ พวกเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพระพวกเขาเพียงแค่อยากจะช่วยคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาเท่านั้น

 

หลังจากอธิบายเรื่องที่ทำไมเธอและเฉาเหอถึงมาทำงานกับเฉาเหมิงให้หวังเย้าฟังแล้ว เฉาฮุยก็เริ่มพูดถึงจุดประสงค์ที่เธอมาในวันนี้

 

“หมอหวัง คุณสามารถรักษาพี่ใหญ่ของเราได้ไหมคะ?” เฉาฮุยถาม

 

“ได้สิ” หวังเย้าพูด

 

“แล้วเราต้องทำยังไง คุณถึงจะยอมช่วยเขาคะ?” เฉาฮุยถาม

 

“ผมต้องการให้เขาสารภาพกับตำรวจในสิ่งที่เขาทำ และบอกว่าใครเป็นคนที่สั่งให้เขาทำเรื่องพวกนี้” หวังเย้าพูด

 

อย่างที่คาดไว้จริงๆ เฉาฮุยคิด “ฉันไม่คิดว่าเขาจะรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครนะคะ”

 

“ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เขาไปสารภาพผิดกับตำรวจ แล้วก็ยอมรับโทษไปซะ” หวังเย้าพูด

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไปบอกเขาเอง” เฉาฮุยพูด

 

“โอเคครับ แล้วผมก็คิดว่า พวกคุณน่าจะเลิกทำงานให้เขาได้แล้วนะครับ” หวังเย้าพูด

 

เฉาฮุยยิ้ม เธอและเฉาเหอกำลังคืนหนี้บุญคุณที่ได้รับจากเฉาเหมิงอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่มันจบหมดเสียที

 

บางทีอาจจะเป็นตอนที่เฉาเหมิงถูกส่งเข้าคุกไปแล้ว เธอและเฉาเหอก็อาจจะสามารถออกจากแก็งค์ได้ในที่สุดก็เป็นได้ ถึงหลายปีมานี้ พวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมกระทำผิดกับคนเหล่านั้น แต่พวกเขาก็คอยช่วยเหลือเฉาเหมิงอยู่เสมอ

 

บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ที่พวกเขาจะหยุดทำงานให้กับเฉาเหมิงสักที เฉาฮุยคิด

 

หลังเธอออกมาจากคลินิกของหวังเย้าแล้ว เธอก็โทรไปหาเฉาเหอ

 

“เธอกลับมาได้แล้วล่ะ” เฉาเหอพูด

 

ในเมื่อพวกเขายืนยันได้แล้วว่า อาการป่วยของเฉาเหมิงเป็นฝีมือของหวังเย้า สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ การทำให้เฉาเหมิงยอมสารภาพผิด แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่า เฉาเหมิงจะยอมฟังพวกเขาหรือไม่

 

หลังจากที่เฉาฮุยกลับไปแล้ว หวังเย้าเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เธอพูดเอาไว้ ความยากจนมักจะทำให้คนหลงทำผิดอยู่เสมอ เขาเดาว่า คงจะมีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนกับเฉาเหอและเฉาฮุย

 

น่าเสียดาย! หวังเย้าถอนหายใจออกมา

 

มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด หวังเย้ากำลังนั่งมองดูท้องฟ้าอยู่ด้านนอกกระท่อม ซานเซียนก็นอนอยู่ข้างๆเขา

 

“นายรู้อะไรไหมซานเซียน วันนี้ฉันได้เจอกับเด็กสาวที่น่าสงสารคนหนึ่งล่ะ” หวังเย้าพูด

 

เขาเชื่อว่า สิ่งที่เฉาฮุยเล่ามาเป็นเรื่องจริง เพราะเขาได้เคยอ่านประวัติของคนทั้งสองมาก่อนหน้านี้แล้ว เขารู้ความเป็นมาของเธอ แต่ไม่ได้รู้ว่าเธอเคยผ่านอะไรมาบ้าง

 

โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเฮ่าเสียงต่ำ

 

“พรุ่งนี้ จะมีพายุฝนสินะ” หวังเย้าพูด

 

เขาเดินขึ้นไปบนยอดเขาในเช้าของอีกวัน ท้องฟ้าดูมืดครึ้ม เขาจึงไม่ได้ฝึกการหายใจหรือฝึกฝนร่างกาย เขาทำเพียงแค่ยืนมองท้องฟ้า, สิ่งรอบตัว, และมุมที่อยู่ไกลออกไปของหมู่บ้าน

 

เขาไม่รู้ว่า เนินเขาหนานชานเริ่มเติบโตสูงขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็ยังคงเติบโตอยู่เรื่อยๆ หวังเย้าไม่รู้ว่าเนินเขาหนานชานจะสูงขึ้นได้แค่ไหน เขาไม่คิดจะเข้าไปควบคุมมัน แล้วเขาก็ควบคุมมันไม่ได้อยู่แล้วด้วย เพราะเนินเขาหนานมีจิตวิญญาณของมันเอง

 

ท้องฟ้ามืดครึ้มไปตลอดทั้งวัน