ตอนที่ 690

Elixir Supplier

690 พูดคุยในวงเหล้า

 

ในคลินิกของหวังเย้า มีคนไข้มาตรวจคนหนึ่ง ชายชรามีอาการปวดศีรษะและนอนหลับไม่สนิท หลังจากที่ได้นวดแล้ว ชายชราก็รู้สึกดีขึ้นมาในทันที

 

“แค่นี้เหรอ? ฉันไม่ต้องกินยาเหรอหมอ?” ชายชราถาม

 

“อาการของคุณตาไม่ได้หนักมาก ดังนั้น คุณตาก็ไม่จำเป็นต้องกินยาหรอกครับ” หวังเย้าตอบ

 

“ดีดี ขอบคุณนะ หมอเก่งมากจริงๆ” ชายชราพูด

 

“ชมเกินไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

เขามองออกว่า ชายชรามีท่าทีกังวลในตอนที่เขามาถึง หวังเย้าพอจะเดาได้ว่า มันเป็นเพราะเรื่องที่มีคนตายภายในคลินิกของเขา และนั่นก็ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ช่วงหลังมีคนไข้ลดลงด้วย ในเวยป๋อก็มีคนเข้ามาพิมพ์แสดงความคิดเห็นว่า เขากำลังปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นและบอกให้เขาอธิบายเพื่อไขข้อสงสัยของทุกคน แต่หวังเย้าก็ไม่ได้ออกมาพูดอะไรทั้งนั้น

 

“อาจารย์” พันจวินมาที่คลินิกในตอนเช้า

 

เมื่อไม่มีคนไข้ หวังเย้าก็สามารถสอนเขาได้มากขึ้นและเอาแต่ละเคสการรักษาของเขามาให้พันจวินได้อ่าน “ถ้าพี่เอาพวกนี้ไปอ่าน พี่ก็อาจจะเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นก็ได้นะครับ”

 

พวกมันคือประสบการณ์การรักษาของหวังเย้า และบางที มันอาจจะถูกนำไปตีพิมพ์ในอนาคตก็เป็นได้ มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขามาก

 

“ขอบคุณมากนะ อาจารย์” พันจวินก็รู้ถึงความสำคัญของสมุดบันทึกเล่มนี้เช่นเดียวกัน

 

“บันทึกพวกนี้สามารถอ่านได้แค่ที่นี่เท่านั้นนะครับ ผมคงให้ยืมไม่ได้” หวังเย้าพูด

 

“โอเค” มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก พันจวินจึงให้ความสำคัญกับมันมาก

 

หวังเย้านั่งอ่านคัมภีร์เต๋าอยู่ข้างๆเขา “ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามผมได้นะครับ”

 

“อืม” พันจวินค่อยๆอ่านไปอย่างช้าๆ เขาพยายามจดจำทุกรายละเอียด ความรู้อย่างมีระบบระเบียบถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปใช้ในการวินิจฉัยโรค แค่รู้วิธีการนวดถือว่ายังไม่พอ แต่ยังต้องมีความรู้ในเรื่องของระบบประสาทและสาเหตุของโรคด้วย การรักษาจะต้องเป็นไปตามอาการของโรค รวมไปถึงการฝังเข็ม, การนวด, และการให้ยาด้วย

 

“โอเค พักสักหน่อยเถอะครับ” หวังเย้าพูดเสียงเบา มันเป็นเวลาเที่ยงแล้ว

 

พันจวินวางบันทึกในมือลง สิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในนั้นราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยสีสัน และทำให้เขาเสพติดการอ่านมัน

 

เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวแพทย์ พ่อของเขาเป็นหมอยาจีนผู้มากประสบการณ์ ทั้งเขาและพี่สาวต่างก็เรียนแพทย์ ถึงเขาจะเรียนจบมาทางแพทย์แผนตะวันตก แต่เขาก็พอมีพื้นฐานของแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง เขาสามารถทำความเข้าใจมันได้ แต่ก็ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญ เขาทำได้เพียงเข้าใจ แต่ไม่สามารถไปลึกกว่านี้ได้

 

ประโยชน์อีกอย่างที่เขาได้รับก็คือ เขาได้รู้ถึงความสามารถและขีดจำกัดของตัวเอง เมื่อหวังเย้าบอกให้หยุด เขาก็หยุดทันที การไม่โลภจนเกินไปก็ถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญเช่นเดียวกัน

 

“ไปกินข้าวกันดีกว่าครับ” หวังเย้าพูด

 

เขาไม่ได้จ่ายเงินค่าจ้างให้กับพันจวิน แต่ทุกครั้งที่พันจวินมา หวังเย้าก็มักจะเลี้ยงข้าวเขาอยู่เสมอ อาหารกลางวันมาพร้อมกับเครื่องเคียงสองสามอย่างและเหล้าหนึ่งโถเล็ก

 

“อาจารย์ มาดื่มตอนนี้มันจะดีเหรอ?” พันจวินถาม

 

“ได้อยู่แล้ว” หวังเย้าพูด

 

“อะไรนะ?” พันจวินถาม

 

“ไม่มีอะไรหรอกครับ” หวังเย้าพูด “พี่ไม่ต้องทำหน้าที่ผ่าตัด แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีคนไข้มาที่คลินิกด้วย แค่นั้นเองครับ”

 

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ดี” พันจวินพูด

 

เขาเป็นคนชอบดื่ม แต่หน้าที่การงานของเขากลายเป็นอุปสรรค เขาไม่สามารถดื่มในขณะที่ต้องรักษาคนไข้ได้ และเขาก็อาจจะต้องทำการผ่าตัดได้ทุกเมื่อ หากเขาทำผิดกฎ เขาก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก

 

ฝั่งตรงข้ามกับร้านอาหารเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ทางทิศใต้เป็นภูเขาลูกหนึ่ง เขาลูกนั้นเต็มไปด้วยต้นเกาลัด และลมที่พัดมาจากบนเขาก็ให้ความรู้สึกสดชื่น

 

หลังจากดื่มไปได้สองสามแก้วแล้ว พันจวินก็เริ่มพูดมากขึ้น “อาจารย์ สำนักของเราจะมีเราสองคนเท่านั้นเหรอ?”

 

“อืม ตอนนี้ก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ” หวังเย้าพูด

 

“ฉันว่า อาจารย์น่าจะหาลูกศิษย์อีกสักสองคนนะ” พันจวินพูด

 

“ทำไมล่ะ?” หวังเย้าถาม

 

“ความสามารถของอาจารย์ควรจะถูกส่งต่อให้คนอื่น” พันจวินพูด “ฉันถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว ส่วนเรื่องเทคนิคการนวด ขอแค่ฉันทำได้สักครึ่งหนึ่งของอาจารย์ฉันก็พอใจแล้ว ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องการจับชีพจร, การฝังเข็ม, แล้วก็การจ่ายยาอีก เราต้องการคนมารับช่วงต่อเรื่องพวกนี้นะ”

 

หวังเย้าไม่ได้บอกกับพันจวินว่า มันคือภารกิจที่เขาจะต้องส่งต่อชื่อเสียงของแพทย์ปรุงยา

 

“ผมเคยคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่เจอคนที่ใช่น่ะสิ” หวังเย้าพูด

 

ความสามารถนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้ อย่างน้อยๆ คนคนนี้จะต้องเป็นคนที่ใช่และไม่มีความคิดที่เลวร้าย มันจะดียิ่งกว่านี้หากมีพื้นฐานในเรื่องนั้นๆมาก่อน และต้องเป็นคนที่หวังเย้าคุ้นเคยด้วย มีคนไม่มากที่จะมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่หวังเย้าต้องการ การจะได้เป็นลูกศิษย์ของเขาก็ต้องมีโชคด้วย

 

หลังจากทานอาหารกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินกลับไปที่คลินิกอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดคุยกันไปตลอดทาง

 

“หมู่บ้านนี้ดีจังเลยนะ” พันจวินพูด

 

หลังจากมาที่นี่หลายครั้งแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกชอบที่นี่ขึ้นมา มันเป็นสถานที่เงียบสงบที่หาจากที่อื่นไม่ได้ แม้แต่ในตัวเมืองเหลียนชานที่อยู่ไม่ไกลกันมาก

 

“ถ้าชอบ พี่ก็ซื้อบ้านที่นี่สักหลังสิ อีกหน่อยราคาอาจจะขยับขึ้นก็ได้นะ!” หวังเย้าพูดเล่น

 

“ซื้อบ้านเหรอ? ดี ฉันจะซื้อไว้สักหลังแล้วกัน” พันจวินพูด “อาจารย์ ที่นี่จะกลายเป็นฐานของสำนักเราด้วยรึเปล่า?”

 

“ครับ” หวังเย้าพูด

 

“ดีล่ะ ฉันจะซื้อเอาไว้ตอนนี้เลย แล้วมันก็จะต้องมีมูลค่าเพิ่มในอนาคตแน่!” พันจวินพูดอย่างมั่นใจ

 

หวังเย้ามองถนนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ภายในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น มีถนนในหมู่บ้านที่มีความกว้างไม่ถึง 3 เมตรด้วยซ้ำ และมันยังเป็นเพียงถนนสายเดียวที่มีอยู่ในหมู่บ้านอีกด้วย ถนนอยู่ติดกับบ้านหลายหลัง, รวมทั้งกำแพงบ้านสีขาวละหลังคาสีแดง มันคือบ้านที่มีให้เห็นอยู่ทั่วในทางตอนเหนือของประเทศ สองฟากถนนขนาบข้างด้วยเนินเขาซีชานและเนินเขาดงชาน ที่มีต้นไม้, วัชพืช, เนินเขาลูกเล็กๆและก้อนหิน

 

คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาไม่มีใครคิดที่จะอยู่ในหมู่บ้าน พวกเขาเลือกที่จะไปซื้อบ้านอยู่ในตัวเมืองเหลียนชานกันมากกว่า หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะเลือกไปอยู่ในเมือง หากไม่มีเหตุจำเป็น ก็คงจะไม่มีใครคิดกลับมาที่หมู่บ้านอีก คนหนุ่มสาวไม่มีใครอยากทำอาชีพเกษตรกรกัน

 

เมื่อเวลาผ่านไป หมู่บ้านก็จะเหลือเพียงคนเฒ่าคนแก่ บางที ในอีก 30-40 ปีให้หลัง หมู่บ้านแห่งนี้ก็อาจจะเลือนหายไป เรื่องนี้เป็นสถานการณ์ปกติที่มักจะเกิดขึ้นในแถบชนบท: การย้ายเข้าสู่สังคมเมืองและทอดทิ้งชนบท

 

แต่มันจะไม่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านที่หวังเย้าอยู่ และตัวเขาก็มั่นใจในเรื่องนี้มาก

 

อยู่ๆก็มีรถคันหนึ่งบีบแตรใส่พวกเขาที่ด้านหลัง หวังเย้าหันหลับไปมองและเห็นว่าเป็นรถเบนซ์ที่มีป้ายทะเบียนของต่างเมือง คนขับเร่งเครื่อง เครื่องยนต์ส่งเสียงกระหึ่มในตอนที่ขับผ่านพวกเขาไป

 

“นี่มันในหมู่บ้านนะ ไม่ควรขับเร็วขนาดนี้เลย” พันจวินขมวดคิ้ว

 

“บางทีอาจจะเป็นเรื่องฉุกเฉินก็ได้” หวังเย้าพูด

 

พวกเขาเดินต่อไปอย่างช้าๆและเดินผ่านมาพบกับไก่ตัวหนึ่งที่นอนตายอยู่บนถนน ตามตัวของมันยังคงมีเลือดไหลออกมาอยู่ ดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะตายไปได้ไม่นานนี้เอง

 

“หรือมันจะถูกรถคันนั้นชนเข้า?” พันจวินพูด

 

“น่าสงสารนะ” หวังเย้าพูด “ถ้าเลี้ยงต่อไปอีกสักหน่อย คงจะเอาไปทำอาหารได้อร่อยเลยล่ะ”

 

“หืม อาจารย์ชอบกินไก่เหรอ?” พันจวินถาม

 

“ก็ไม่เชิง ไปกันเถอะ” หวังเย้าพูด

 

เมื่อเดินไปถึงที่คลินิก พวกเขาก็เจอเข้ากับรถคันที่เพิ่งจะขับผ่านพวกเขาไป

 

“พวกเขามาตรวจที่คลินิกเหรอ?” พันจวินพูด

 

หวังเย้าหาวออกมา “ผมง่วงแล้ว บ่ายนี้ผมไม่รับคนไข้”

 

ทั้งสองเดินไปที่คลินิกอย่างไม่รีบร้อน พันจวินเดินไปเปิดประตู

 

“โอ้ เร็วเข้า สองคนนั้นไงที่เป็นหมอน่ะ!” มีหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆสองคนลงมาจากตัวรถ ทั้งสองแต่งตัวทันสมัยและน่ามอง พวกเธอเดินตามหวังเย้าและพันจวินเข้าไปในคลินิก

 

เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินเข้าไปในคลินิก ก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านใน “บ่ายนี้ไม่รับคนไข้ พวกคุณกลับไปเถอะ”

 

“หา?!” ทั้งสองตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้กลับไปในทันที พวกเธอเดินเข้าไปด้านในและเห็นชายทั้งสองกำลังดื่มชากันอยู่

 

“ไม่ได้ยินที่ผมบอกเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“แต่การที่เราจะมาที่นี่ได้มันไม่ง่ายเลยนะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูด “หมอช่วย…”

 

“ไม่ครับ บ่ายนี้ผมไม่รับคนไข้ ถ้าจะมาก็มาอีกทีพรุ่งนี้แล้วกัน” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีนิ่งสงบ

 

“เรายินดีจ่ายเพิ่ม” หญิงสาวอีกคนพูด

 

หวังเย้านวดขมับและคิดในใจ พวกคนรวยสมัยนี้อวดดีกันจริงๆ!

 

“ผมไม่รับ” หวังเย้าพูด “ออกไป!”

 

เขาพูดเสียงดังจนก้องกังวานอยู่ให้หูของพวกเธอทั้งสอง

 

“ไปกันเถอะ ไว้เราจะกลับมาอีกทีพรุ่งนี้นะคะ!” หญิงสาวลากเพื่อนอีกคนของเธอออกไป

 

“เป็นแค่หมอ ยังจะมาอวดดีแบบนี้อีก!” หญิงสาวที่ถูกเพื่อนลากออกไปรู้สึกไม่พอใจ เธอพูดออกมาเสียงดังเพื่อให้หวังเย้าได้ยิน

 

“อย่าพูดเสียงดังสิ” เพื่อนของเธอพูด “ฉันอยากจะมาตรวจกับเขาเอง แล้วหมอคนนี้ก็เก่งมากเลยนะ”

 

“เก่งงั้นเหรอ? ฉันได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งจะฆ่าคนไปนี่” หญิงสาวอีกคนพูด

 

“ถ้าเธอไม่อยากจะตรวจกับเขา เราก็กลับกันเถอะ” เพื่อนของเธอพูด