จงซานคลี่ยิ้มพยักหน้าออกมาทันที “เช่นนั้น ข้าก็รอต้อนรับใต้เท้าเย่แล้ว”
“เชิญ” เย่จื่อหนานกล่าว
จงซานเองก็ยิ้มเอ่ย “เชิญ”
จงซานเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยเม่ยเดินตามมา เอ่ยเสียงนิ่งว่า “การหยิบยื่นน้ำใจครั้งนี้เพื่อเชิญเย่จื่อหนานร่วมงานเลี้ยง ใต้เท้าจงช่างลำบากนักเชียว”
จงซานยักไหล่ เอ่ยทีเล่นทีจริง “ถึงเป็นลูกสาวที่เก็บได้มาอย่างง่ายดายระหว่างทาง แต่อย่างไรก็ต้องใส่ใจบ้าง อีกอย่าง เย่จื่อหนานดำรงตำแหน่งขุนนางระดับสองครึ่งขั้น ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายสำหรับข้า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนของฝ่ายตรงข้าม”
“ถูกต้อง” เยี่ยเม่ยยิ้มพยักหน้า
พวกเขาเข้าใจดี ถึงฮ่องเต้ไม่นับว่าฉลาดนัก แต่เรื่องพื้นฐานเช่นนี้พระองค์ก็ยังทรงเข้าพระทัย ราชสำนักในเวลานี้ต้องการการถ่วงดุลอำนาจ ดังนั้นเมื่อซือถูจ้าวจากไปแล้ว เวลานี้ย่อมไม่ปล่อยให้จงซานเป็นใหญ่
มิเช่นนั้นสิ่งที่ถูกสั่นคลอนก็คือความมั่นคงและรากฐานของฮ่องเต้แล้ว ดังนั้นฮ่องเต้ย่อมให้คนที่อยู่นอกกลุ่มจงซานดำรงตำแหน่งต้าซือคงแทน ส่วนคนไร้จุดยืนอย่างเย่จื่อหนาน จงซานไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ฮ่องเต้ก็ไม่พระทัยเช่นกัน
ดังนั้นตำแหน่งสูงเช่นนี้ ฮ่องเต้ย่อมไม่ยกให้เขา เพียงแต่ฮ่องเต้ปฏิเสธหลังจากจงซานเสนอออกมา ดังนั้นเห็นแก่ที่เย่จื่อหนานมีความสามารถ ไม่ว่าอย่างไรก็สมควรชดเชยให้เขาเสียหน่อย
เยี่ยเม่ยแสดงความเห็น “ในระยะเวลาสั้นๆ พวกเราไม่อาจเคลื่อนไหวอะไรอีกแล้ว ต่อไปก็ต้องใส่ใจเรื่องความรักหนุ่มสาวเสียหน่อย ช่วยจงรั่วปิงกับเซี่ยโหวเฉินเถอะ”
จงซานพยักหน้า ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “เกรงว่าพวกเราต้องเตรียมการป้องกันอะไรไว้หน่อย”
เยี่ยเม่ยคลี่ยิ้มออกแล้วจ้องจงซาน “ซือถูจ้าวใช่หรือไม่”
หลังจากเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ซือถูจ้าวตระหนักได้ว่าตัวเองไม่อาจได้พระทัยของฮ่องเต้กลับมาอีกแล้ว ยากจะไม่ให้เขาหาทางอื่นอีก รอเขากลับไปคิดได้ชัดเจนแล้ว ต้องมุ่งความสนใจไปที่เสินเซ่อเทียนแน่
จงซานพยักหน้า “ตาแก่นี่ ไม่มีทางยอมออกจากราชสำนักแน่ ดังนั้นมีโอกาสมากที่ซือถูจ้าวจะไปหาเสินเซ่อเทียน บอกว่าเขาสงสัยพวกเรา ฝ่าบาทเชื่อใจเสินเซ่อเทียนไม่น้อย ผลกระทบที่เสินเซ่อเทียนมีต่อฝ่าบาทยิ่งใหญ่มาก ทันทีที่ตาแก่นั่นทำเช่นนี้ พวกเราต้องยุ่งยากแน่”
เยี่ยเม่ยพยักหน้าเอ่ยเสริมอีกว่า “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเราก็ทำได้แค่รอดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ แล้ว เพราะในเวลานี้ หากลงมือสังหารซือถูจ้าว เสินเซ่อเทียนจะยิ่งสงสัยเข้าไปกันใหญ่ แม้แต่ฮ่องเต้ก็จะทรงระแวงสงสัยด้วย”
อย่างไรเสียซือถูจ้าวก็เพิ่งออกจากราชสำนัก ไม่มีทางคุกคามใครได้มากแน่
ในเวลานี้หากเขาตายแล้ว เช่นนั้นก็จะมีคนเชื่อมโยงว่าซือถูจ้าวรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ หรือไม่ก็กระจายข่าวที่มีคนไม่อยากให้เขาเอ่ยออกไป
เสินเซ่อเทียนฉลาดระดับไหน ไม่ช้าก็คงจะเชื่อมโยงเรื่องราวมาถึงพวกนางได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าก่อนหน้านี้เสินเซ่อเทียนก็เริ่มสงสัยแล้ว
ดังนั้น…
ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจแตะต้องซือถูจ้าวได้
จงซานถอนใจ “ถูกแล้ว ดังนั้นพวกเราทำได้แค่เพิ่มความระมัดระวังเท่านั้น”
……
สถานที่ตั้งเดิมราชสำนักจงเจิ้ง
ภูเขาแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก เฉิงเสี่ยวจวนหน้าคล้ำง้ำงอถูกจิ่วหุนที่ใบหน้าไร้อารมณ์มัดไว้กับต้นไม้
‘ภาพตัดไปที่เหตุการณ์ก่อนหน้า’
เวลาราวๆ หนึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้ เฉิงเสี่ยวจวนที่ได้รับคำสั่งให้แอบตามพวกจิ่วหุนถูกนักฆ่าหนุ่มพบตัว ดังนั้นนางจึงถูกลากตัวออกมา ใช้ดาบพาดคอ เค้นถามว่าตามพวกเขามาเพื่ออะไร
นางย่อมไม่กล้าตอบตามจริง จวินซ่างสงสัยพวกเขาแล้ว ถึงสั่งให้นางตามมา
ด้วยเหตุนี้นางได้แต่ตอบว่านางชอบเขา เพราะว่าเขาช่วยนางไว้ นางจึงอยากใช้ร่างกายตอบแทน ความจริงคำพูดนี้เดิมทีก็เพื่อรักษาชีวิตนางเท่านั้น แต่หลังจากเอ่ยออกมาแล้ว นางก็ไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่เหมาะสมตรงไหน
กระทั่งยามเอ่ย นางหน้าแดงเกินควบคุมได้เพราะสารภาพความในออกมา
อายุของนางกับจิ่วหุนไล่เลี่ยกัน เป็นช่วงเวลาที่มีอารมณ์ราวกับสตรีแรกรุ่น เขาช่วยนางไว้ หญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้า คนผู้นี้ไม่เหมือนจวินซ่างที่เป็นเจ้านาย ทำได้แต่มองอยู่ไกลๆ ดังนั้น…
เหมือนมีระลอกคลื่นกระเพื่อมอยู่ในหัวใจนาง คำพูดที่สารภาพออกมาอย่างน้อยก็มีครึ่งหนึ่งที่เป็นความจริง
หวังว่าหลังจากฟังคำพูดของนางแล้ว จะตอบรับกลับมาบ้าง
แต่ว่า…
คาดไม่ถึงว่าหลังจากจิ่วหุนฟังคำพูดจนจบด้วยสีหน้านิ่งเฉยก็แทงกระบี่หมายสังหารนาง ไม่รักถนอมบุปผาเลยสักนิด หรือไม่เปลี่ยนความคิดหลังจากนางสารภาพรักเลย
ยังเป็นเซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาช่วยพูดให้ บอกว่านางก็แค่ชอบเขา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ไม่ชอบก็ปล่อยคนไปเสีย ไม่จำเป็นต้องฆ่าคน ถึงช่วยเก็บชีวิตของนางกลับมาได้
แต่จิ่วหุนยังคงตีหน้าเย็นชา จับเฉิงเสี่ยวจวนมัดไว้กับต้นไม้
ซ้ำยังผนึกวรยุทธ์นางไว้ด้วย
ผ่านไปราวๆ สามชั่วยาม นางจึงสามารถโคจรกำลังภายในคลายเถาวัลย์ที่มัดนางไว้ออกได้ น้ำเสียงเบาราวสัตว์ตัวน้อยของจิ่วหุน เตือนนางโดยไม่แฝงอารมณ์ใดๆ “หากให้ข้าพบตัวเจ้าอีก เจ้าตายแน่”
เมื่อพูดจบ จิ่วหุนก็ก้าวออกไป
เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาแทบจะมองเฉิงเสี่ยวจวนด้วยความสงสารเป็นตาเดียว ส่ายหน้าตามจิ่วหุนจากไป
อย่างไรเสียเฉิงเสี่ยวจวนก็เป็นสตรี
ถึงจะเป็นคำสารภาพรักครึ่งเท็จของนาง แต่ก็เป็นคำสารภาพรักจริงๆ ซ้ำยังขายหน้าครั้งใหญ่ ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกเจ็บใจ อยากร้องไห้อยู่บ้าง ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้ร้องออกมา เพียงรู้สึกว่าหัวใจของนางคล้ายกลวงเปล่า ปวดใจอย่างสุดซึ้ง
ส่วนหลังจากพวกจิ่วหุน เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาจากไป
เมื่อจากมาไกลแล้ว จิ่วหุนถามเบาๆ “เหตุผล”
ตลอดการเดินทางเขาไม่ใช่คนช่างพูดนัก เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาเข้าใจในตัวเขาอยู่บ้าง ครั้งนี้ได้ยินคำถาม เซียวเซ่อหยางก็ตอบตามตรง “เสินเซ่อเทียนสั่งการนางมาแน่ หลังพบพวกเราแล้วคงเกิดความสงสัย ดังนั้นนางถึงได้ติดตามมา หากพวกเราฆ่านางจริงๆ บางทีเสินเซ่อเทียนอาจจะยิ่งระแวงสงสัย คิดว่านางคงรู้อะไรที่ไม่สมควรรู้เข้าถึงถูกพวกเราฆ่าปิดปาก เมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งยุ่งแล้ว”
โอวหยางเทาเสริมต่อ “กลับกันหากปล่อยนางเป็นอิสระ พวกเราไม่สู้จัดการด้วยเหตุผล ในทางตรงกันข้ามก็จะพิสูจน์ว่าพวกเราไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นนางคงไม่อาจมีชีวิตรอดกลับไปแล้ว อีกอย่างนางยังไม่ทันสืบอะไรได้ ก็นับว่าไม่มีอำนาจคุกคามพวกเรา”
จิ่วหุนรับฟัง ไม่ตอบแต่ก็ถือว่ายอมรับอย่างเงียบๆ
ในหน้ายังคงเย็นชาเดินมุ่งหน้าต่อไป
โอวหยางเทาที่พูดมากกลับทนไม่ไหวเอ่ยว่า “แต่ข้าดูจากท่าทีแม่นางผู้นั้น คล้ายจะชอบเจ้าจริงๆ นะ หลังจากสารภาพออกมาแล้ว หน้ายังแดงเลย ท่าทางขวยเขินอย่างที่สุด หลังจากถูกเจ้าปฏิบัติด้วยความแล้งน้ำใจก็จวนเจียนจะร้องไห้ ข้ารู้สึกเห็นใจนาง”
โอวหยางเทามองออก เซียวเซ่อหยางก็มองออก เพียงแต่เขาไม่ใช่คนปากมาก ดังนั้นจึงไม่พูดอะไร
พวกเขาทั้งสองนึกว่าหากพูดอย่างนี้ออกไป เจ้าเด็กจิ่วหุนที่ไร้อารมณ์มาตลอดทาง จะมากจะน้อยก็ต้องมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง หรือกระทั่งเขินอายบ้าง
อย่างไรเสียจิ่วหุนก็ยังเป็นหนุ่มน้อย ทั้งยังไม่แต่งงานไม่มีแม้แต่คนในดวงใจด้วยซ้ำ ส่วนเฉิงเสี่ยวจวนผู้นั้นก็ดูไม่เลวในบรรดาสตรียุคนี้ ความสามารถของนางไม่อาจดูแคลนได้ไม่เช่นนั้นเสินเซ่อเทียนคงไม่ใช้งานนาง ซ้ำยังเป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันอีกด้วย
รูปโฉมรูปร่างก็นับว่าดี หากจิ่วหุนหวั่นไหวความจริงก็เป็นเรื่องปกติไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่คิดๆ แล้วเมื่อครู่เขาจะสังหารคนอยู่ท่าเดียว เช่นนั้นคงไม่หวั่นไหวแล้ว
แต่…ต่อให้ไม่หวั่นไหวบ้าง อย่างไรก็สมควรเขินบ้างสิ…
จากนั้น…
พวกเขาคิดมากเกินไป
หลังจากจิ่วหุนได้ยินคำพูดของพวกเขาก็ยังคงไร้อารมณ์เหมือนเดิม คล้ายกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เดินสาวเท้ากว้างๆ จากไป ทำให้โอวหยางเทา
สงสัยด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่ตัวเขาคงไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นคนผู้นี้ถึงไม่ตอบสนองเลยสักน้อย
เพียงชั่ววูบเดียว เขารู้สึกว่าจุกอยู่ที่อก
ช่างเถอะ เจ้าหนุ่มนี่เป็นพวกไร้อารมณ์ของแท้ ในใจพะวงถึงพี่สาวเขาเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้ โอวหยางเทาก็ตื่นตระหนก หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่จะคิดกับเยี่ยเม่ย…
ยามนี้เขาพลันไม่กล้าคิดต่อแล้ว
……
ตำหนักเขาหลิงซาน
เสินเซ่อเทียนที่กำลังอาบแดดอยู่ ฟังคำรายงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักจากเป่ยเจี้ยนเกอ เขามุ่นคิ้ว น้ำเสียงน่าเกรงขามค่อยๆ ถามว่า “ความหมายของเจ้าคือฝ่าบาทเตรียมประหารองค์ชายรอง”
“ถูกต้อง เพราะว่าองค์ชายรองให้ร้ายองค์ชายใหญ่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ฝ่าบาททรงให้โอกาสองค์ชายรองอธิบายแล้ว….” เป่ยเจี้ยนเกอรายงาน
เสินเซ่อเทียนในยามนี้พลันลืมตาขึ้น ถาม “องค์ชายรองตอบว่าอย่างไร”
หากเป่ยเฉินอวี้ไม่ยอมรับ อย่างนั้นบางทีอาจพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้มีปัญหา
เป่ยเจี้ยนเกอตอบ “นอกจากเขียนว่าถูกปรักปรำลงในกระดาษแล้ว องค์ชายรองไม่พูดอะไรอีก ฝ่าบาทสั่งให้เขาเล่าเรื่องปิ่นปักผมออกมาให้ชัดเจน ว่าไปตกอยู่ในมือนักร้องหญิงนางนั้นได้อย่างไร องค์ชายรองก็ไม่ตอบ ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า เรื่องนี้องค์ชายรองคงหนีไม่พ้นแล้ว”
หากเป่ยเฉินอวี้เป็นผู้บริสุทธิ์จริง ต้องอธิบายเรื่องปิ่นปักผมออกมาแน่ แต่เขาจนปัญญาอธิบาย เช่นนั้นก็หมายความว่าตัวเขามีปัญหาจริงๆ
เสินเซ่อเทียนฟังคำตอบของเป่ยเจี้ยนเกอ ความสงสัยในแววตาก็ค่อยๆ สงบลง
แต่ยังเสริมอีกประโยคว่า “เรื่องนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ยสอดมือเข้ามายุ่งหรือไม่”
เป่ยเจี้ยนเกอตอบ “ตอนนั้นฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เยี่ยเม่ยพาองครักษ์ค้นหาร่องรอยของนักร้องหญิงทั่วเมือง คนของเยี่ยเม่ยพบตัวนางที่หลังประตูจวนองค์ชายรองจริง แต่ว่า…”
เป่ยเจี้ยนเกอเล่ามาถึงตรงนี้แล้วหยุดชะงักเล็กน้อย
เล่าต่อว่า “ตามที่ได้ฟังมาเยี่ยเม่ยหาได้ออกจากจวนด้วยซ้ำ นางรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน แม่ทัพฉินเป็นคนจับได้ ส่วนแม่ทัพฉินกับแม่ทัพหวังที่ถูกสังหารมีการคบหากันส่วนตัว ถึงตอนนี้เป็นผู้ใต้บัญชาของเยี่ยเม่ย แต่ก็ไม่ได้ภักดีเท่าไรนัก ดังนั้น…”
ดังนั้นเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวพันกับเยี่ยเม่ยแล้ว
เล่ามาถึงยามนี้ เป่ยเจี้ยนเกอเสริมต่อว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากเกิดเรื่องแล้ว ฝ่าบาททรงขับองค์ชายใหญ่ออกจากค่ายทหารองครักษ์ เรื่องนี้เซี่ยฉุนเหวยเป็นคนทูลเสนอ เยี่ยเม่ยยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเคย”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้วสีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างว่องไว
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่เกี่ยวกับเยี่ยเม่ย ยิ่งไม่เกี่ยวพันเลยสักนิด ยิ่งทำให้เสินเซ่อเทียนรู้สึกแปลกประหลาด แต่เมื่อคิดขึ้นมา ก่อนหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนบอกว่า วันนี้เขามีความคิดเป็นฮ่องเต้ อยากให้เยี่ยเม่ยเป็นฮองเฮา
จู่ๆ เสินเซ่อเทียนก็ไม่อยากใส่ใจมากมายอีก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาหวังจะเห็น ดังนั้นต่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยทำอะไรไปเพื่อชิงบัลลังก์บ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เพียงแต่…
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เป่ยเฉินอวี้ก็คือลูกของฝ่าบาท ส่วนเขาเสินเซ่อเทียนจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ลูกชายคนนี้ของฮ่องเต้ หากมีมลทินจริงๆ เขาก็ย่อมไม่นิ่งดูดายได้
เมื่อคิดเช่นนี้ จึงเอ่ยว่า “องค์ชายรองถูกประหารหรือยัง”
เป่ยเจี้ยนเกอตอบ “ยัง ฝ่าบาทต้องการให้ประหารหลังฤดูสารท แต่ข้ารู้สึกว่าฮ่องเต้ทรงอยู่ในความเดือดดาลถึงตัดสินใจเช่นนี้ ดูท่าจะมากจะน้อยอย่างไรฝ่าบาทก็คงหักใจไม่ได้อยู่บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไร กษัตริย์ก็ตรัสแล้วไม่คืนคำ”
ดังนั้นยามเมื่อฮ่องเต้ได้สติกลับมา เกรงว่าจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
แต่แม่ทัพหวังก็เสียชีวิตไปแบบนี้จริงๆ ขุนพลคนหนึ่ง หาใช่ชีวิตบ่าวที่มีสัญญาทาส ดังนั้นฝ่าบาทจำเป็นต้องให้คำตอบกับแม่ทัพหวังและบรรดาขุนศึกทั้งหลาย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…
องค์ชายรองย่อมตายแน่นอน
เสินเซ่อเทียนกลับสงบนิ่งไปสักพัก น้ำเสียงน่าเกรงขามของเขาค่อยๆ เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะไปเยี่ยมองค์ชายรองที่คุกหลวงเสียหน่อย”
เป่ยเจี้ยนเกอรีบถาม “จวินซ่างเห็นว่าเรื่องนี้มีพิรุธหรือ”
เสินเซ่อเทียนพยักหน้า “แน่นอน”
ต่อให้เขาเข้าใจเป่ยเฉินอวี้ไม่มากนัก หากนักร้องหญิงนั่นเป็นคนของเป่ยเฉินอวี้จริง ดูท่าเป่ยเฉินอวี้สมควรฆ่าคนปิดปากไปนานแล้ว จะปล่อยให้เยี่ยเม่ยจับคนได้อย่างไรกัน
ในขณะนี้เอง มีคนเข้ามารายงาน “จวินซ่าง เสนาบดีซือถูขอเข้าพบขอรับ”
คราวนี้เป่ยเจี้ยนเกอก็เอ่ยว่า “จวินซ่าง ผู้น้อยยังไม่ทันรายงานอีกเรื่อง เสนาบดีขอเกษียณกลับบ้านเกิดแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงอนุญาต”