เสินเซ่อเทียนหัวใจเต้นระส่ำ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คาดคิดเลยว่า เขาจะได้ฟังข่าวที่ไร้เหตุผลเช่นนี้
เขาเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ให้เสนาบดีซือถูเข้ามา”
“ขอรับ” บ่าวตอบรับคำ รีบออกไปเชิญคนแล้ว
สักครู่หนึ่งซือถูจ้าวมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเสินเซ่อเทียน หลังจากเขากลับถึงจวน ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาใคร่ครวญสองสามวันก็ฉุกคิดได้ทันทีว่า โอกาสพลิกสถานการณ์เพียงอย่างเดียวของเขาอยู่ที่เสินเซ่อเทียนแล้ว
หากเสินเซ่อเทียนยังไม่ยอมช่วยเขาล่ะก็ อนาคตในราชการของเขาคงดับสูญแล้ว
ระหว่างตัวเขากับเสินเซ่อเทียนไม่มีการคบหากัน ดังนั้นเขาได้แต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ว่าเสินเซ่อเทียนจะเห็นแก่หน้าฝ่าบาท เห็นแก่ที่เขาระแวงสงสัยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยจากใจจริง ให้ความสำคัญกับความเห็นเขาไปจนกระทั่งยอมช่วยเขาสักครั้ง
เสินเซ่อเทียนเห็นซือถูจ้าวไม่มีทีท่าว่าจะแสดงความเคารพเลย อย่างไรเสียในราชสำนักเป่ยเฉินเขาเป็นถึงคนที่อยู่เหนือคนนับหมื่นอยู่ใต้คนคนเดียวอย่างแท้จริง ทว่าเสินเซ่อเทียนยังคงทักทายอย่างเกรงใจ “ท่านเสนาบดี”
สีหน้าของซือถูจ้าวพลันฉายแววหดหู่ขึ้นทันที เอ่ยว่า “จวินซ่างอย่าเรียกขุนนางชราอย่างข้าว่าเสนาบดีอีกเลย ตำแหน่งนี้หาได้เป็นของข้าขุนนางชราอีก บัดนี้เป็นของจงซานไปแล้ว”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้วไม่ตอบกลับ แสดงท่าทางไม่ยี่หระ ไม่ได้แสดงถึงความเห็นใจออกมาตรงๆ ซ้ำไม่ตำหนิฮ่องเต้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ซือถูจ้าวจึงคาดการณ์ความคิดของเสินเซ่อเทียนไม่ออก ได้แต่เอ่ยปากด้วยตัวเองว่า “ที่ข้าผู้เฒ่ามาวันนี้ มีเรื่องหลายเรื่องอยากปรึกษากับจวินซ่าง”
เสินเซ่อเทียนยังคงเกรงอกเกรงใจดังเดิม อนุญาตว่า “ท่านเสนาบดีเชิญเอ่ยมาเถิด”
ซือถูจ้าวรีบเสนอความคิด “ข้าสงสัยว่าเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีจิตคิดไม่ซื่อ จวินซ่างฟังแล้วอาจคิดว่าข้าทำเพื่อล้างแค้นส่วนตัว ดังนั้นถึงได้เอาแต่เป็นปรปักษ์กับพวกเขา ยอมรับว่าข้ามีความแค้นกับพวกเขาจริงๆ แต่…สิ่งที่ข้าระแวงสงสัยพวกเขาล้วนเป็นความจริงแท้อย่างแน่นอน”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว พยักหน้าน้อยๆ ซือถูจ้าวสงสัยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างไรเสียตัวเขาก็เกิดความสงสัยมาก่อน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซือถูจ้าวเป็นคนที่ภักดีต่อองค์ชายใหญ่ มุ่งหวังให้องค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ แต่ว่าหลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยโลดแล่นอยู่ในราชสำนัก องค์ชายใหญ่ก็เริ่มสูญเสียอำนาจ ซือถูจ้าวสงสัยเช่นนี้ยิ่งสมเหตุสมผลนัก
เสินเซ่อเทียนพยักหน้า มองโต๊ะไม่ไกลออกไป เอ่ยปาก “ไม่สู้นั่งสนทนากันเถอะ “
“ได้” นี่คือสิ่งที่ซือถูจ้าวต้องการพอดี ตลอดทางมาเขามัวแต่กังวลว่าเสินเซ่อเทียนจะไม่สนใจเขาสักน้อย เพราะคนอย่างเสินเซ่อเทียนไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตามาก่อน ไม่เคยไว้หน้าใครเลยสักนิด บางครั้งยังไม่ยอมพบหน้า เรื่องที่เป่ยเฉินเสียงขอเข้าพบแล้วถูกปฏิเสธ ซือถูจ้าวก็เคยได้ยินมาบ้าง
นับประสาอะไรกับเขาที่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเสนาบดีอีกแล้ว ไม่แน่ว่ายิ่งไม่อาจพบคนได้อีก คิดไม่ถึงว่าพบแล้วยังไม่พอ เสินเซ่อเทียนยังยินยอมพูดคุยอย่างละเอียดกับเขา นี่ก็หมายความว่าในใจของเสินเซ่อเทียนก็สงสัยสองคนนั้นเช่นกัน
ก็ยิ่งหมายความว่า…
เป้าหมายของตนในวันนี้มีโอกาสสำเร็จสูง
ซือถูจ้าวค่อยๆ เริ่มเล่าออกมาทีละน้อยๆ ความเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวทั้งหลายในระยะนี้ เขาสัมผัสได้ว่าต้องเกี่ยวพันกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย
หลังจากวิเคราะห์ถึงตอนท้าย เขาเอ่ยขึ้นอีกว่า “ความจริงข้ารู้ จวินซ่างให้ความสำคัญกับองค์ชายสี่มาตลอด ท่านเห็นว่าการที่องค์ชายสี่ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์อาจจะดีต่ออนาคตของราชสำนักเป่ยเฉินมากที่สุด แต่…ข้าหาได้คิดปลุกปั่นความสัมพันธ์ของท่านกับองค์ชายสี่ จวินซ่างเคยคิดหรือไม่ว่าด้วยนิสัยเช่นนั้นขององค์ชายสี่ ต่อให้กลายเป็นฮ่องเต้แล้ว เขาจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของราชสำนักเป่ยเฉินมาเป็นอันดับแรกหรือเปล่า”
ความจริงในจุดนี้ เสินเซ่อเทียนและซือถูจ้าวต่างรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย
เสินเซ่อเทียนยิ่งเข้าใจดียิ่ง ครั้งก่อนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเคยเอ่ยปากบอกกับเขาเอง เป็นเพราะเยี่ยเม่ยคิดอยากอยู่เหนือคน ดังนั้นเขาจึงเริ่มสนใจในบัลลังก์
เสินเซ่อเทียนเองก็นับว่าเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยว่า “ต่อให้เขาไม่สนใจกิจการใหญ่หลวงและอนาคตของเป่ยเฉิน เพื่อสตรีที่เขารักอยากเป็นคนเหนือคนแล้ว ข้าเชื่อว่าเขาก็จะทุ่มเทแรงใจ”
เสินเซ่อเทียนกล่าวเช่นนี้ ซือถูจ้าวพลันสะอึกไปแล้ว ไม่อาจใช้จุดนี้โจมตีได้อีก
แต่ว่าเขาก็หยิบยกอีกเรื่องขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว “แต่จวินซ่างเคยคิดหรือไม่ว่า พวกเขาสองคนตอนนี้ มุ่งมั่นสั่งสมกำลังทหาร หาใช่ต้องการความไว้วางใจจากฝ่าบาททั้งหมด หากมีวันใดวันหนึ่ง กำลังทหารในมือของพวกเขาเริ่มมีมากกว่าฝ่าบาท เช่นนั้นผลลัพธ์…”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมลงทันที
ซือถูจ้าวกล่าวต่ออีก “จวินซ่างจะรับรองได้อย่างไรว่าหลังจากพวกเขาได้กำลังทหารไปแล้ว หากอดทนรอไม่ไหวคิดครองบัลลังก์ บุกวังหลวงก่อกบฏเป็นอันตรายต่อฝ่าบาทเล่า ข้าหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาในเวลานี้ ทุกอย่างยังทันการณ์อยู่ รอจนพวกเขาควบคุมกำลังทหารจำนวนมากเกินไปในราชสำนักจนถึงขั้นไม่อาจควบคุมได้ เกรงว่าจวินซ่างก็ไร้กำลังแก้ไขเช่นกัน”
คำพูดของเขานี้ทำให้เสินเซ่อเทียนสงบและใคร่ครวญอย่างจริงจัง
ถัดมาซือถูจ้าวก็กล่าวอีก “ยามนี้ความเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อพวกเขาไม่ใช่น้อยๆ ข้าก็แค่เอ่ยคำสงสัยเยี่ยเม่ยไม่กี่คำในท้องพระโรงเท่านั้น เสนาบดีแห่งราชสำนักก็ถูกฝ่าบาทขับไล่ออกจากท้องพระโรง ถึงข้าเป็นคนขอลาเกษียณด้วยตัวเอง แต่ว่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักต่างก็มองออกว่า ฝ่าบาทไม่คิดรั้งข้าไว้จริงๆ เพื่อเรื่องเล็กเช่นนี้ เสนาบดีที่ดำรงตำแหน่งขุนนางใหญ่ถูกปลดลง นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ก่อตั้งราชสำนักเป่ยเฉินมา”
ระหว่างพูดไปอารมณ์ของซือถูจ้าวก็ยิ่งปะทุขึ้นมา “จวินซ่างลองคิดดู ความไว้ใจที่ฝ่าบาทมีให้พวกเขา ภายหน้ามอบกำลังทางทหารให้พวกเขามากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลใช่หรือไม่”
เมื่อเสินเซ่อเทียนฟังมาถึงบัดนี้ น้ำเสียงน่าเกรงขามของเขาเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ความหมายของเจ้า ข้าเข้าใจแล้ว”
ซือถูจ้าวมองสีหน้าเสินเซ่อเทียน ก็เข้าใจว่าเสินเซ่อเทียนรับฟังคำพูดของตนไปแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็คลายใจลง
กล่าวต่อว่า “ถึงข้ามีใจกลับราชสำนักอีก แต่ที่มีมากกว่าก็คือข้าคิดเตือนจวินซ่าง กันไม่ให้เมื่อถึงเวลาเกิดเรื่องน่าตระหนกที่ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ ไม่ว่าอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยก็เป็นศัตรูของข้าจริง ดังนั้นข้าก็มีความเห็นแก่ตัว ไม่อยากเห็นศัตรูมีความสุข”
เขาจงใจกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อแสดงความจริงใจ
ทว่าเสินเซ่อเทียนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า จิ้งจอกเฒ่าตรงหน้าคิดยืมมือเขา ความไว้ใจที่ฮ่องเต้มีให้เขา ช่วยเหลือตนกลับสู่ตำแหน่งเสนาบดี
เสินเซ่อเทียนไม่ให้สัญญาอะไรทั้งนั้น ทั้งไม่แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ด้วย
เพียงยิ้มให้ซือถูจ้าว “เจตนาของท่านเสนาบดี ข้าเข้าใจกระจ่างแล้ว ข้าจะจัดการตามเหตุผล ไม่ให้ฝ่าบาทตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน”
เมื่อไม่ได้รับคำสัญญาช่วยคืนตำแหน่งให้ตนจากเสินเซ่อเทียน จิตใจของซือถูจ้าวก็จมดิ่งเป็นอย่างมาก ถึงกระทั่งเกิดความรู้สึกว่าที่เขาตั้งอกตั้งใจมา รวมถึงความหวังล้วนไม่เป็นผลอันใดแล้ว
แต่ว่า…
คิดดูแล้ว ไม่ว่าพูดอย่างไรก็นับว่าได้โจมตีศัตรูครั้งหนึ่ง นับว่าเขารักษาเกียรติไว้ได้จึงลุกขึ้นเตรียมจากไป “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว ”
เสินเซ่อเทียนพยักหน้า กวาดตามองเป่ยเจี้ยนเกอ “ส่งแขก”
“ขอรับ”
เป่ยเจี้ยนเกอรีบเป็นตัวแทนเสินเซ่อเทียนส่งคนออกไป
ไม่ช้า เป่ยเจี้ยนเกอกลับมา เสินเซ่อเทียนก็ถามเขาทันที “เฉิงเสี่ยวจวนมีส่งข่าวกลับมาบ้างหรือเปล่า”
เป่ยเจี้ยนเกอส่ายหน้า “ยังไม่มี แต่ว่าจวินซ่าง นางคงไม่ได้เกิดเรื่องกระมัง”
คิดถึงวันนั้นที่เขาขี้ขลาด บุรุษผู้หนึ่งไม่ยอมรับภารกิจ กลับส่งสตรีอย่างเฉิงเสี่ยวจวนไปแทน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเฉิงเสี่ยวจวน ในใจของเป่ยเจี้ยนเกอคงเต็มไปด้วยความเสียใจ
ว่าไปแล้ววันนั้นเขาไปหาเจ้างูตัวนั้น ความจริงไม่ได้เสียแรงไปเท่าไรก็นำกลับมาได้ เพราะว่างูถูกจิ่วหุนทำร้ายบาดเจ็บอยู่ก่อน มันเสียเลือดมาก ไม่มีวิธีห้ามเลือดเลย ตอนที่เขาไปถึงมันก็เหลือลมหายใจรวยรินแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เสียแรงแม้แต่น้อยนิด แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่เฉิงเสี่ยวจวนกำลังเผชิญอยู่นั้น อืม…
แต่เขาก็ยังไม่เสียใจ เทียบกับการตายภายใต้คมดาบของจิ่วหุน เขายังยินยอมมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกผิดหลังจากเฉิงเสี่ยวจวนตายไปมากกว่า นอกจากจงรักภักดีต่อจวินซ่างแล้ว การมีชีวิตอยู่ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ใช่แล้ว
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว มุ่นคิ้วแต่ไม่พูดอะไร
ด้วยความสามารถของจิ่วหุน หากเฉิงเสี่ยวจวนลอบตามไปแต่ถูกจับได้ พวกจิ่วหุนมีปัญหาจริงๆ เช่นนั้น เฉิงเสี่ยวจวนแทบไม่เหลือทางรอดเลย
ดังนั้นเสินเซ่อเทียนสั่งการว่า “หากภายในสองวันยังไร้ข่าวนางก็ส่งคนไปหา อยู่ต้องพบคน ตายต้องพบศพ”
“รับทราบ” เป่ยเจี้ยนเกอตอบรับทันที
เสินเซ่อเทียนสั่งอีกว่า “ไปสืบมาว่าระยะนี้เยี่ยเม่ยทำอะไรอยู่”
“ขอรับ” เป่ยเจี้ยนเกอหมุนกายจากไปในบัดดล
……
ตกดึก
เสินเซ่อเทียนฉวยโอกาสในยามมืดมิด เดินเนิบๆ เข้าไปในคุกหลวง
เยี่ยเม่ยยืนอยู่นอกคุกไม่ไกลเท่าไรนัก มองเสินเซ่อเทียนเดินเข้าไป มุมปากนางยกยิ้มขึ้นน้อยๆ นางรู้แล้วว่าซือถูจ้าวไปหาเสินเซ่อเทียน แต่นางเดาว่าต่อให้ซือถูจ้าวไม่ไปหาเขา เกิดเรื่องใหญ่โตในราชสำนักสองสามวันนี้ เสินเซ่อเทียนไม่อาจนิ่งนอนใจได้
ขณะที่นางอยู่ในห้วงความคิด
ไอพลังชั่วร้ายอันแสนคุ้นเคยส่งมาจากด้านหลังนาง น้ำเสียงชวนฟังของเขาแฝงความแปลกใจ “บนกายเจ้ามีจิตสังหาร”
เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย หลายวันนี้นางไม่ค่อยสนใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ว่าไม่ค่อยสนใจไม่ได้หมายความว่าไม่ได้สนใจเลยสักน้อย
หลังจากนางสูดลมหายใจลึก “ไม่ผิด ข้าเกิดความคิดอยากสังหารคน”
ตัวปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของพวกนางในยามนี้คือเสินเซ่อเทียน หากสังหารเขาลงได้ ต่อไปทุกอย่างก็คล้ายจะราบรื่นไม่อาจขวางกั้น
ขอเพียงนางบรรลุเป้าหมาย เส้นทางนี้จะกำจัดศัตรูมากน้อยแค่ไหน นางไม่เสียดายเลย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ยิน น้ำเสียงชวนฟังก็เอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เยี่ยนก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ธาตุพลังของเขาคือน้ำ เป็นดาวข่มกับธาตุพลังของเยี่ยน อีกอย่างเขามีรากฐานมากกว่าเยี่ยนเจ็ดแปดปี หากสังหารเขาจริง สุดท้ายไม่สำเร็จอาจยังพ่ายแพ้อีก”
“ข้ารู้” เยี่ยเม่ยรู้ชัดเจน