บทที่ 243 หว่านหว่าน ให้ข้าดูแลพวกเจ้าเอง

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 243 หว่านหว่าน ให้ข้าดูแลพวกเจ้าเอง

หนานหว่านเยียนเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าโม่หวิ่นหมิงเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ส่งมาเมื่อครู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

ชุมคลุมยาวสีเงินมองดูมีมิติ ทำให้รังสีดั่งเทพเซียนเปล่งออกมารอบกายเขา

เขาเผยอมุมปากขึ้น ทำเอาใบไม้โดยรอบดูเหี่ยวเฉาลง เขามองไปทางหนานหว่านเยียนด้วยแววตาอ่อนโยนแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “หว่านหว่าน นั่งก่อนสิ”

“ท่านน้า……” หนานหว่านเยียนตกตะลึงยืนอยู่ที่เดิม แววตาเป็นประกายเล็กน้อย “ท่านน้าใส่เสื้อผ้าเช่นนี้เหมาะสมนัก ดูสง่างามเหลือเกิน”

โม่หวิ่นหมิงที่อยู่ตรงหน้านี้ สวมใส่เสื้อผ้าที่นางเป็นคนออกแบบเอง ราวกับตัดเย็บขึ้นมาเพื่อเขา หล่อเหลาสง่างามมีชีวิตชีวา

หากจะหาสามี ก็ควรหาสามีเช่นนี้!

อาจี้มองไปด้วยความตกตะลึง เขาเอ่ยถามว่า “เซียนเซิง เปลี่ยน……”

โม่หวิ่นหมิงเหลือบตามองเขา เขาจึงหุบปากลงโดยเข้าใจทันที

ในเมื่อเซียนเซิงมิประสงค์ให้เอ่ย เขาก็จะไม่ถาม

หนานหว่านเยียนไม่ทันสังเกตความผิดปกตินี้ ได้แต่ยิ้มแล้วเดินตรงไปข้างกายโม่หวิ่นหมิง

“หากมีนายแบบที่โดดเด่นเช่นท่านน้า ข้าคงออกแบบเสื้อผ้าดีๆ ออกมาได้มากมาย”

โม่หวิ่นหมิงแสร้งทำเป็นตกตะลึง “นี่คือเสื้อผ้าที่หว่านหว่านออกแบบเองหรือ? ข้ามิรู้จริงๆ หว่านหว่านมิเพียงแต่เก่งด้านการรักษา ทั้งยังมีความสามารถด้านนี้ด้วย”

อาจี้ตกตะลึงอีกครั้ง เซียนเซิงรู้แล้วก่อนหน้ามิใช่หรือ?

เหตุใดจึงแสร้งเป็นมิรู้?

แปลก แปลกยิ่งนัก!

หนานหว่านเยียนยิ้มขึ้นอย่างเขินอาย “นี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น มิใช่เรื่องเก่งกาจใด การผ่าตัดใกล้จะถึงแล้ว ท่านน้าเตรียมเสร็จแล้วหรือไม่?”

โม่หวิ่นหมิงยิ้มขึ้น “แน่นอน ข้าเตรียมตัวพร้อมเพื่อรอหมอเทวดาตัวน้อยของข้า”

“ท่านน้าแกล้งข้าเล่นอีกแล้ว” หนานหว่านเยียนรู้สึกชื่นชอบคำชมที่ว่านางเป็นหมอเทวดาน้อยมากทีเดียว สัมผัสได้ถึงผู้ใหญ่เอ่ยชมรุ่นลูกหลานอย่างอบอุ่นทะนุถนอม

แต่อาจี้ที่อยู่ด้านข้างมิได้คิดเช่นนั้น เขารู้สึกว่านับตั้งแต่เซียนเซิงของตนเดินทางมาที่จวนอ๋อง สายตาที่มองไปทางพระชายาดูเปลี่ยนไป

เหมือนแววตาที่มองไปดูมิเหมือนกับญาติมองญาติ……

หนานหว่านเยียนมิรู้ว่าอาจี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ นางย่อตัวลงเลิกเสื้อของโม่หวิ่นหมิงขึ้น สัมผัสไปที่เนื้อตรงขาของเขา พิจารณาดูพิษที่กระจายออกไป

“เริ่มเข้ากระดูกแล้ว เริ่มลามไปที่หัวใจและเส้นเลือด……”

หลังจากรักษาได้ระยะหนึ่ง ร่างกายของโม่หวิ่นหมิงก็ฟื้นตัวได้ดี แต่พิษได้ซึมลึกเข้าไปในไขกระดูกแล้ว ทำให้เส้นประสาทจำนวนมากที่ขาตาย

เมื่อเห็นดังนี้ ดวงตาอันงดงามของนางก็มืดมนลง

หากในตอนนั้นโม่หวิ่นหมิงไม่เข้ามาขวางลูกศรของเจ้าของร่างเดิมเอาไว้ คาดว่าเจ้าของเดิมคงตายไปนานแล้ว

ส่วนโม่หวิ่นหมิงก้มมองไปยังใบหน้าที่จริงจังของหนานหว่านเยียน หัวใจของเขาดูอ่อนโยนลง รู้สึกอบอุ่นอย่างไร้สิ้นสุด

“อย่ากังวล ค่อยๆ ตรวจดูอาการ”

เขาเห็นหนานหว่านเยียนมาตั้งแต่เล็กจนโต ในตอนนั้น เด็กน้อยคนนี้พูดคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง เพราะทั้งสองคนมีอายุห่างกันเพียงห้าปี ดังนั้นทั้งสองจึงมักถูกมองว่าเป็นคู่รักในวัยเด็ก

ในอดีต เขามักคอยปกป้องน้องสาว โดยมากเพราะพี่สาวของเขา แต่หลังจากห้าปีที่พวกเขาพบกันอีกครั้ง โม่หวิ่นหมิงถูกทุกสิ่งเกี่ยวกับ หนานหว่านเยียนดึงดูดอย่างลึกซึ้งโดยไม่รู้ตัว

ไม่ว่าจะเป็นท่าทางอันพิถีพิถันของนาง ท่าทางอ่อนโยนของนาง หรือเมื่อนางตำหนิกู้โม่หานแทนเขา……

สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เอ่อล้นลงไปก้นบึ้งของหัวใจของเขา

ครั้งนี้โม่หวิ่นหมิงจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เขาต้องการปกป้องหนานหว่านเยียนไปตลอดชีวิต เขาต้องการปกป้องนาง

หนานหว่านเยียนมิได้สังเกตว่าการแสดงออกของโม่หวิ่นหมิงดูผิดปกติไป นางคว้าข้อมือของโม่หวิ่นหมิงมาจับชีพจรของเขา

อุณหภูมิร่างกายของโม่หวิ่นหมิงสูงมาก ชีพจรก็เต้นเร็วเช่นกัน นางอดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว “ท่านน้า ท่าน……”

“อาจเป็นความวิตกกังวลก่อนการผ่าตัด” ก่อนที่นางจะกล่าวจบประโยค หนานหว่านเยียนก็รู้สึกว่าฝ่ามือของนางดูอุ่นขึ้น มือใหญ่ของโม่หวิ่นหมิงจับนางไว้แน่น

หนานหว่านเยียนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย พบว่าโม่หวิ่นหมิงจ้องมองมาที่นางด้วยดวงตาลุกโชน

เขาจริงจังยิ่ง น้ำเสียงของเขาหนักแน่นเป็นพิเศษ

“หว่านหว่าน หากข้าดีขึ้นแล้ว ข้าจะดูแลเจ้าและลูกๆ เอง……”

เมื่อเห็นดังนั้น อาจี้ก็ตกตะลึง

เขาอยากจะควักลูกตาของตนออก

แม้ว่าเขาจะไม่มีประสบการณ์เรื่องเหล่านี้ แต่สายตาของเซียนเซิง มองอย่างไรก็ดูเหมือนกำลังมองไปทางคนรักอย่างไรอย่างนั้น!

หนานหว่านเยียนตกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มขึ้น ยื่นมืออีกข้างออกตบมือของโม่หวิ่นหมิงอย่างประหม่า “ท่านน้า มิต้องกังวลใจไป ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถรักษาท่านได้”

“อีกอย่าง คนในครอบครัวควรจะช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ท่านมิจำเป็นต้องกล่าวเช่นนี้”

นางเลิกคิ้วขึ้นยิ้มอย่างสดใส นางมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของโม่หวิ่นหมิง คิดว่าเขาเพียงกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตน

โม่หวิ่นหมิงมิได้กล่าวอะไรมาก “อืม”

หนานหว่านเยียนเองก็มิได้คิดอะไรมาก นางลุกขึ้นมองไปที่อาจี้ “อาจี้ เจ้าจงออกไปดูข้างนอก ข้าจะทำการผ่าตัดท่านน้า จงจำไว้ว่าอย่าให้ใครเข้ามา”

“หา? ขอรับ!” อาจี้วิ่งออกไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ยังมิลืมที่จะปิดประตูให้หนานหว่านเยียน

หนานหว่านเยียนมองไปทางโม่หวิ่นหมิง ใส่ผ้าปิดตาให้เขา “ท่านน้า อดทนหน่อย อาจใช้เวลานาน ข้าจะฉีดยากล่อมประสาทและยาสลบให้……ท่าน ท่านอาจจะหลับไปสักพัก”

โม่หวิ่นหมิงยิ้มอย่างนุ่มนวล เขาหลับตาแล้วปล่อยให้หนานหว่านเยียนลงมือ

“อืม หว่านหว่านอย่ากังวลไป อีกพัก……อีกพักเจ้าจะอยู่ที่นี่หรือไม่?”

คนแรกที่เขาอยากเจอเมื่อลืมตาขึ้นมาก็คือนาง……