บทที่ 244พวกนางจะออกไปจากจวน

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 244พวกนางจะออกไปจากจวน

หนานหว่านเยียนพยักหน้าเป็นความหมายว่า “อืม ข้าจะอยู่เคียงข้างรอท่านน้าตื่น”

เพราะนางต้องแน่ใจก่อนว่าสถานการณ์ของเขาเป็นเช่นไร

โม่หวิ่นหมิงพยักหน้า หนานหว่านเยียนเข็นเขาเข้าไปในมิติ

นางสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือ หายใจเข้าลึก พาตัวโม่หวิ่นหมิงไปที่เตียงผ่าตัด ขั้นแรกนางฉีดยาระงับประสาทให้เขา จากนั้นจึงให้ยาสลบตามน้ำหนักร่างกาย

ในไม่ช้า โม่หวิ่นหมิงรู้สึกว่าเปลือกตาของเขาหนักและหลับไปอย่างเงียบ ๆ

เมื่อมองไปยังคนไข้ที่อยู่บนเตียงหายใจเป็นระเบียบ หนานหว่านเยียนก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นางต้องใช้ อันดับแรก นางถอดกางเกงของโม่หวิ่นหมิงออก แล้วจับไปบริเวณขาของเขาที่เป็นสีดำคล้ำนูนออกมา

นางต้องช่วยโม่หวิ่นหมิงทำการผ่าตัดเส้นเลือดขอดให้สูญเสียน้อยที่สุด และในขณะเดียวกันก็ทำการล้างสารพิษในร่างกายของเขา สุดท้ายทำการผ่าตัดกระดูกหักหลายปล้องรอบข้อเข่า

หนานหว่านเยียนจัดการอารมณ์ของตนเอง จากนั้นหยิบเครื่องมือและเข็มที่จำเป็นสำหรับการผ่าตัดออกมาติดตั้งเตรียมใช้งาน

ทันทีหลังจากนั้น นางก็ใช้เข็มเจาะเข้าไปในเส้นเลือดปูดที่ขาของโม่หวิ่นหมิงอย่างระมัดระวัง แล้วส่งอุปกรณ์คลื่นความถี่วิทยุเข้าไปในเส้นเลือด

นางกระตุ้นบริเวณส่วนที่เสียหายโดยใช้แสงเลเซอร์

แผลของการผ่าตัดแบบนี้จะมีขนาดเท่ารูเข็มเท่านั้น จุดประสงค์ของการผ่าตัดนี้ ประการแรกคือหยุดการไหลย้อนกลับของเลือดจากหัวใจ ให้เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ทั้งยังทำให้พิษเจือจางลงโดยเร็วที่สุด

โชคดีที่มิติได้รับการอัพเกรด ทำให้นางมีความมั่นใจมากขึ้นในการช่วยเขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหนานหว่านเยียนก็จัดการเส้นเลือดขอดที่ขาท่อนล่างของโม่หวิ่นหมิงได้สำเร็จ

เหงื่อที่ใหญ่กว่าเม็ดถั่วของนางไหลลงไปบริเวณคาง แต่นางก็ยังมิได้หยุดลง นางเอื้อมมือไปหยิบเข็มเงินที่ถูกทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคเรียบร้อยแล้วออกมาห่อหนึ่ง

วิธีการเจาะเลือดคลั่งให้ออกมา เป็นวิธีที่เห็นผลดีที่สุด อีกทั้งจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บาดเจ็บ

รอจนกระทั่งเลือดคลั่งถูกปลดปล่อยออกมาพอประมาณแล้ว นางจึงดึงเข็มออก

จนกระทั่งขั้นตอนสุดท้ายนั่นคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด

นางพยุงสะโพกของโม่หวิ่นหมิงขึ้น มัดขาของเขาด้วยสายรัดหยุดเลือด ทำแผลเป็นรูปโค้งจากเส้นกึ่งกลางของโคนกระดูกร่วมระนาบของเขา ผ่านตุ่ม Gerdy เพื่อเปิดเผยข้อเข่าของเขาออกมาให้ชัดเจน

จากนั้นนางก็ทำความสะอาดเลือดสีดำและเนื้อเยื่อตายที่อยู่บริเวณรอบ ก่อนเย็บแผลให้ติดกันดังเดิม นางพยายามใช้เวลา น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการจัดการบาดแผลบริเวณข้อเข่าของโม่หวิ่นหมิง

เมื่อการผ่าตัดทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้ว นางก็ผ่อนคลายราวกับยกภูเขาออกจากอกถอนหายใจยาว นางนั่งลงที่ด้านข้างเตียง

ตอนนี้ยาชาของโม่หวิ่นหมิงยังไม่หมดฤทธิ์ หนานหว่านเยียนมองไปทางชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาดุจดั่งเทพเซียน นางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา

การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อีกไม่นานคาดว่าโม่หวิ่นหมิงก็คงฟื้นคืนสู่สภาพปกติ

เมื่อไรที่เขาหายดี พวกนางก็จะได้เดินทางออกจากจวนอ๋องนี่สักที

หนานหว่านเยียนรอจนกระทั่งน้ำเกลือที่ห้อยอยู่ของโม่หวิ่นหมิงเหลือพอประมาณ จากนั้นจึงเข็นเขาออกไปจากห้วงมิติ ใช้เปลหามย้ายร่างของเขาไปบนเตียง

นางนั่งฟุบลงอยู่ที่ข้างเตียงด้วยความเหนื่อยล้า จึงมิรู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ผ่านไปสักเวลาหนึ่งก้านธูปเห็นจะได้ จู่ๆ หนานหว่านเยียนก็ตกใจตื่นแล้วเงยหน้า นางยังคงสบตากับดวงตาอันอบอุ่นเป็นประกายของโม่หวิ่นหมิงดังเดิม

“หว่านหว่านตื่นแล้วหรือ? เจ้าคงเหนื่อยมากสินะ ขอบใจเจ้ายิ่งนัก”

หนานหว่านเยียนส่ายหน้า มองไปทางโม่หวิ่นหมิงที่เต็มไปด้วยความเจ็บแล้วก็รู้สึกปวดใจ “ข้ามิเป็นไร ตอนนี้ท่านน้ารู้สึกเจ็บหรือไม่?”

รอยยิ้มของโม่หวิ่นหมิงจางหายไป เดิมทีเขาต้องการจะยกมือขึ้นปลอบโยนหนานหว่านเยียน แต่เนื่องจากยายังไม่หมดฤทธิ์ ดังนั้นจึงไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่เจ็บแล้ว”

ที่จริงแล้วเขาเจ็บมาก แต่วินาทีที่เขาลืมตาขึ้นมาได้พบกับหนานหว่านเยียนที่กำลังนอนหลับอย่างเหนื่อยล้า เขาก็กลับรู้สึกว่าตนไม่เป็นอะไรแล้ว

เพียงแต่ใบหน้าน้อยๆ อันงดงามของนางมีสีหน้าเปลี่ยนไป จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

“หากเจ้าเหนื่อยล้าก็จงกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าอยู่คนเดียวได้”

“อืม เช่นนั้นข้าขอกลับไปพักผ่อนสักครู่” หนานหว่านเยียนวัดอุณหภูมิให้กับเขา “ทุกอย่างปกติดี หากเจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนก็ให้อาจี้ไปเรียกข้า”

“อืม”

หนานหว่านเยียนหันหลังจากไป โม่หวิ่นหมิงมองตามร่างของนางไป แววตาแสนมืดมน

ข้างนอกประตู อาจี้นั่งยองๆ กับพื้นมือค้ำศีรษะของตนไว้ด้วยความประหม่าและวิตกกังวล เมื่อเขาเห็นหนานหว่านเยียนก็กระโดดขึ้นอย่างมีความสุข “พระชายา เซียนเซิงเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

หนานหว่านเยียนตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนว่า “การผ่าตัดสำเร็จแล้ว มิมีสิ่งใดร้ายแรงน่ากังวล แต่นับจากนี้เจ้าต้องจำไว้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พยายามให้ท่านน้าเริ่มนั่งท่างอเข่า ไม่ต้องสูงมาก ค่อยเป็นค่อยไป”

“ทำเช่นนี้สักหนึ่งสัปดาห์ เจ้าช่วยพยุงเขาเดินลงเดินไม่ต้องนาน ข้าเอายาและวิธีกินทั้งหมดไว้ในห้องแล้ว เจ้าจงจำไว้ แล้วคอยระวังเข่าของท่านน้าด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บเพิ่มเติม”

อาจี้พยักหน้าอย่างหนักแน่น ความตื่นเต้นนั้นมิอาจปิดซ่อนจากดวงตาของเขาได้

“จำได้แล้วขอรับ! ขอบพระคุณพระชายา! ท่านคงเหนื่อยมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าน้อยเอง!”

ผ่านมาเนิ่นนานหลายปี ในที่สุดโม่หวิ่นหมิงก็จะสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง!

“มิต้องเกรงใจไป เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ” หนานหว่านเยียนตอบด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปยังที่พักของนาง

หลังจากที่นางเดินทางจากไป อาจี้ก็ไปต้มยาให้แก่โม่หวิ่นหมิง ในห้องจึงเหลือเพียงโม่หวิ่นหมิงตามลำพัง

เขานอนอยู่บนเตียง ดวงตาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาทันที แตกต่างจากความอ่อนโยนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

“ออกมาได้”

ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างหนึ่งซึ่งสวมหน้ากากสีเงินคุกเข่าลงข้างเตียงราวกับภูติผี เขาคำนับโม่หวิ่นหมิงด้วยความเคารพ “นายท่าน มีคำสั่งใดหรือขอรับ?”

เขาปฏิบัติต่อโม่หวิ่นหมิงราวกับปฏิบัติต่อบุคคลที่มีเกียรติอย่างยิ่ง ราวกับเป็นผู้สูงส่งล้นฟ้า

ใบหน้าได้รูปหล่อเหล่าของโม่หวิ่นหมิงมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา น้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขากลับเย็นชา

“ส่งคนไปแอบคุ้มครองสามแม่ลูก ข้าจะมิมีวันยอมให้พวกนางได้รับอันตรายใดแม้แต่น้อย”

“หากมีเรื่องใดผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อย ข้าจะสังหารอย่างไร้ความปรานี……”