ตอนที่ 461-2 ในใจมีตาเห็นธรรม

พันธกานต์ปราณอัคคี

ห่วงกลมสีทองบนมือของเยี่ยเทียนหยวนหลุดออกมา แยกร่างออกเป็นเก้าห่วงลอยอยู่บนอากาศ จากนั้นดวงดาวเพลิงที่ลุกโชนก็พุ่งออกมาจากห่วงราวกับหลุดออกมาจากอีกมิติหนึ่ง ไถลลงไปตามแสงวิญญาณที่เรียวบางดั่งเส้นไหม 

 

 

ดวงดาวพุ่งกระทบกัน ก็เสียงดังกังวานเสนาะหู ไพเราะเหมือนลูกปัดบนม่าน ที่ขับร้องบทเพลงไปตามสายลม

 

 

“ห่วงตะวันย้อยดารา…” เยี่ยเทียนหยวนขยับปากเบาๆ แล้วโพล่งคำออกมาอย่างเยือกเย็น ดาบอัคคีม่วงในมือกวัดแกว่งอย่างหนักหน่วงไม่หยุด ราวกับมังกรไฟที่เกรี้ยวกราดตัวหนึ่ง ส่งเสียงคำรามบินลอยอยู่บนท้องฟ้า

 

 

ดวงดาวเพลิงจำนวนไม่ถ้วนหลอมละลายเข็มน้ำแข็งที่มากดั่งมายขนวัว กลายเป็นหยดน้ำฝนใสร่วงเปาะแปะลงมา

 

 

มังกรไฟที่ลอยวนก่อคลื่นลมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิที่ร้อนผ่าวทำให้ลมที่ไร้รูปร่างตอนแรกนั้นลุกไหม้ขึ้นมา ขยายออกไปรอบทิศด้วยความเร็วยากจะบรรยาย ราวกับจะเผาทุกสิ่งอย่างให้มอดไหม้ 

 

 

เสียงครวญครางถูกเพลิงไฟเผาไหม้จนกลายเป็นธุลีอย่างรวดเร็ว พายุหิมะในค่ายกลในที่สุดก็หยุดลง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยืนสงบอยู่บนพื้นหิมะ ในที่สุดก็ลืมตาขึ้น

 

 

“ศิษย์น้อง!” เขาสาวเท้ารีบเดินไปยังมั่วชิงเฉิน อันใดนั้นค่ายกลก็เปลี่ยนไป แล้วร่างก็ถูกดีดออกมา

 

 

มั่วเฉี่ยนหนิงมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง แล้วหันไปมองเซวียเสี่ยวเสี่ยวที่กำลังคุกเข่าอยู่ “เสี่ยวเสี่ยว เจ้ารู้ความผิดหรือไม่”

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวเหยียดตัวตรง รวบรวมความกล้าแล้วพูดขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก พวกเราผู้เข้าร่วมคัดเลือกเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามวางแผนต่อกันก็เป็นธรรมเนียมที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในสำนักต่างทำกันมา ท่านเองก็พูดกับปาก ว่าขั้นตอนนั้นไม่สำคัญ คนที่หัวเราะจนถึงสุดท้ายนั้นคือผู้ที่ยอดเยี่ยม แล้วเสี่ยวเสี่ยวผิดตรงไหนกัน”

 

 

มั่วเฉี่ยนหนิงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที

 

 

ผู้เข้าคัดเลือกตำแหน่งเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามประจำสำนักนั้น เซวียเสี่ยวเสี่ยวร่าเริงเจ้าอารมณ์ รักษาความสุขุมไม่ได้ หนิงหลานบริสุทธิ์อ่อนโยน แต่ขาดความคิดแยบยล อนาคตจะให้ปกปักรักษาสำนัก เกรงว่าคงทำได้ยาก

 

 

สำหรับโต้วหวั่น ตอนนี้ดูไปแล้วคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด 

 

 

แต่น่าเสียดายเวลาไม่รอใคร ไม่มีเวลารอให้พวกนางเติบโตกว่านี้อีกแล้ว 

 

 

มั่วเฉี่ยนหนิงเลื่อนสายตาอาจมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง จากนั้นก็พูดถึง “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าสิ่งใดล้วนไม่ผิด แต่ผิดที่พาบุรุษเข้ามา!”

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวมองเยี่ยเทียนหยวน ดวงตาเบิกโพลงอย่างอัศจรรย์ใจ “เป็นไปไม่ได้ เขาต้อง…”

 

 

“กิน ‘เขียวพีแดงเพรียว’ แล้วแท้ๆ มิใช่หรือ” มั่วเฉี่ยนหนิงถามอย่างสงบ

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยว ตะลึง “ท่านเจ้าสำนัก ท่าน…ท่านรู้ได้อย่างไร”

 

 

มั่วเฉี่ยนหนิงถอนใจ “หลายปีก่อนนั้นเทพซีหลางได้มายังราชันย์พำนัก เจ้าใช้วาจาฉอเลาะทำให้นางชอบ ตอนนั้นให้ของกำนัลเจ้าจะไม่รับ เอาแต่ขอโอสถวิญญาณ ‘เขียวพีแดงเพรียว’ จากนางให้ได้ ตอนนั้น เจ้าเพิ่งจะระดับสร้างรากฐานสินะ”

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวซีดเผือดไปทั้งหน้า แล้วเดินไปยังเยี่ยเทียนหยวนอย่างบังคับตัวไม่ได้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงชัดเจน “เจ้ากินแล้วหรือยัง”

 

 

สายตาเยี่ยเทียนหยวนฉายแววเยือกเย็น ไม่ได้เอ่ยปากตอบ 

 

 

“เจ้าพูดมาเดี๋ยวนี้นะ!” เซวียเสี่ยวเสี่ยวยื่นมือไปจับไหล่เขา 

 

 

เยี่ยเที่ยนหยวนพลิกมือไปบิดมือที่ยื่นมานั้น แล้วสะบัดนางออกไป เสียงกระดูกแตกร้าวดังออกมา 

 

 

มั่วเฉี่ยนหนิงยังคงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว ในใจของนาง เยี่ยเทียนหยวนคือคนที่ตายไปแล้ว สำหรับเซวียเสี่ยวเสี่ยว นางตัวดีผู้นี้เจ็บตัวก็สมควรแล้ว

 

 

ยื่นมือออกไปปรบ หญิงสาวสองคนก็พาสตรีอีกหนึ่งคนเดินเข้ามา สตรีที่ถูกพาเข้ามานั้นก็คือเถ้าแก่เนี้ยแห่งหอบรรลุเซียน

 

 

คุกเข่าเสียงดัง ตึง เถ้าแก่เนี้ยเสื้อผ้ายุ่งเหยิง เผยให้เห็นเรือนไหล่ขาวดั่งหิมะ “คา…คารวะท่านเจ้าสำนัก” 

 

 

มั่วเฉี่ยนหนิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบไร้อารมณ์แม้แต่นิด “เจ้าบอกเสี่ยวเสี่ยวสิ”

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ จ้องถมึงทึงไปยังเถ้าแก่เนี้ย

 

 

เถ้าเนี้ยหน้าแดงก่ำ สีวสันตฤดูบนใบหน้ายากจะปิดบัง แต่น้ำเสียงกลับพูดขึ้นอย่างหวาดหวั่น “อาจารย์อาหนิง พวกนาง…พวกนางกิน ‘เขียวพีแดงเพรียว’ จริง แต่…แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด อาจารย์… ” นางหยุดพูดกลางคัน แล้วมองไปยังมั่วเฉี่ยนหนิงหนึ่งที

 

 

“พูดมา” มั่วเฉี่ยนหนิงพูด

 

 

เถ้าแก่เนี้ยขบฟัน “อาจารย์หนิงร่างกายเปลือยเปล่า แต่ถูกคุณชายเยี่ยโยนตัวออกจากห้อง จากนั้นคุณชายเยี่ยก็รีบไปจากหอบรรลุเซียนอย่างเร็ว!”

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวอึ้ง 

 

 

จากคำพูดของเถ้าแก่เนี้ย ผู้ใดก็ย่อมเข้าใจว่าหนิงหลานและเยี่ยเทียนหยวนไม่ได้เกิดความสัมพันธ์กัน แต่นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!

 

 

“เขา…เขาเพิ่งได้สติหลังเกิดเรื่องขึ้นแล้วใช่หรือไม่” เซวียเสี่ยวเสี่ยวถามขึ้นอย่างไม่พอใจ 

 

 

เถ้าแก่เนี้ยฝืนใจพูด “อาจารย์หนิงเข้าห้องคุณชายเยี่ยไปได้เพียงชั่วครู่…”

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวในที่สุดก็เข้าใจว่าแผนการของตนล้มเหลว ชายหญิงที่กิน ‘เขียวพีแดงเพรียว’ จะสามารถแยกออกจากกันในเวลาเพียงชั่วครู่ได้อย่างไร 

 

 

มองไปยังสายตาของชายในชุดสีครามที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งนั้น เซวียเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกเจ็บลึกถึงหัวใจ นางถาม “เจ้าเอาชนะฤทธิ์ยาได้อย่างไร”

 

 

ดวงตาคู่งามของนางจ้องตรงไปยังเยี่ยเทียนหยวน ราวกับจะไม่ยอมรามือหากเขาไม่ตอบคำถาม 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นอย่างเย็นชา “การจะมองคนนั้น หาใช่ใช้ดวงตา แต่ต้องใช้ใจ ใครก็สวมรอยเป็นศิษย์น้องไม่ได้”

 

 

นึกถึงคนผู้ซึ่งเปียกโชกไปด้วยเลือดผู้นั้น เขาก็อดไม่ได้อยากจะสับหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ 

 

 

เสียงครวญครางเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา รอยดาบนับร้อยปรากฏขึ้นบนตัวเซวียเสี่ยวเสี่ยว รอยแผลมีดบาดเหล่านี้ไม่ถึงกับชีวิต แต่ปรากฏขึ้นบนบริเวณที่อ่อนไหวที่สุดของร่างกาย เจ็บจนนางหมดสติไปในทันที

 

 

เสื้อผ้ากลายเป็นเศษรุ่งริ่งปลิวไหว เรือนร่างเนียนผ่องเย้ายวนเผยออกมา แต่สายตาเยี่ยเทียนหยวนกลับเย็นยะเยือก ราวกับมองไม่เห็นเรือนร่างหญิงสาวอันเย้ายวนนั้น แต่กลับเป็นซากศพที่เย็นแข็งไปแล้ว

 

 

“หยุดมือ!” มั่วเฉี่ยนหนิงโยนเสื้อตัวหนึ่งในมือออกไปคลุมตัวเซวียเสี่ยวเสี่ยวไว้ แล้วมองเยี่ยเทียนหยวนด้วยแววตาเย็นชา “เจ้าช่างโอหังเสียจริง ไม่เพียงแต่ไม่สนใจกฎเกณฑ์นับพันปีบนเกาะราชันย์พำนัก ยังทำร้ายคนต่อหน้าข้าอีก”

 

 

แสงวิญญาณสายหนึ่งหมุนพุ่งไปกรีดลำคอเยี่ยเทียนหยวน

 

 

“แล้วแต่ท่านเถอะ” ต่อหน้าพลังที่ไม่อาจเทียบเทียมได้นั้น ผู้ที่อาจหาญทระนงอย่างเยี่ยเทียนหยวนไม่มีทางเลือกอื่น เขาหลับตาพูดเสียงเรียบ

 

 

เพียงแต่ไม่รู้ว่า จะได้พบศิษย์น้องอีกสักครั้งหรือไม่ 

 

 

เงาร่างที่งดงามทรงพลังร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิด ส่งรอยยิ้มบาง เผยให้เห็นลักยิ้มหนึ่งคู่

 

 

เขาเหมือนได้ยินเสียงอ่อนหวานแฝงด้วยความไพเราะ ร้องเบาๆ ข้างหูเขาอย่างอ่อนหวาน “ศิษย์พี่…”

 

 

……

 

 

มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นฉับพลัน เสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามา “เจ้าฟื้นแล้วหรือ”

 

 

เสียงทุ้มต่ำแต่ฟังไพเราะ ประหนึ่งเสียงสายลมกลางหุบเขาเฉียดผ่านต้นสน 

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นหญิงสาวที่พูดถามนั้นอย่างชัดเจน 

 

 

นางสวมชุดสีหิมะบริสุทธิ์ทั้งตัว บนเอวยังคาดเข็มขัดสีแดงฉานราวกับไฟ ทิ้งชายกระโปรงลง เผยให้เห็นเรียวขาเพรียวบางเนียนผ่อง

 

 

มั่วชิงเฉินมองระดับบำเพ็ญเพียรของนางไม่ออก นางเอ่ยปากถาม เส้นเสียงแหบพร่า “ผู้อาวุโส”

 

 

หญิงสาวยิ้มอ่อน แต่กลับไม่ดูห่างเหิน “เจ้าต้องการพบข้าหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินสะดุ้งโหยง ความเจ็บปวดปกคลุมไปทั่วทั้งกาย เหงื่อไหลซึมออกมาทันที

 

 

นางขบฟันแน่นพยายามบังคับไม่ให้ตนเสียมารยาท น้ำเสียงแสดงความเคารพ “ท่านคือมั่วถงใช่หรือไม่”

 

 

หญิงสาวยิ้มบาง “ข้าเอง หึๆ ข้าจำไม่ได้ว่ารู้จักเด็กสาวอยากเจ้า มีคนขอให้เจ้ามาพบข้าใช่ไหม เจ้าเป็นลูกหลานของใคร”

 

 

มั่วชิงเฉินเลื่อนสายตาลง นี่เงียบอยู่ครู่ใหญ่แล้วพูดขึ้น “ข้าเป็นลูกหลานของท่าน”

 

 

สภาพอันน่าตกใจเลือนหายไป มั่วชิงเฉินสัมผัสถึงรสฝาดในคอ แล้วอ้าปากสำรอกโลหิตออกมาหนึ่งที

 

 

มั่วถงกลับมาสงบอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนและเรียบง่าย “เด็กน้อย ไยเจ้าจึงว่าเช่นนั้น”

 

 

มั่วชิงเฉินสะกดความเจ็บปวดเอาไว้ พยายามทำเสียงของตนให้สงบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้าน้อยแซ่มั่ว ชื่อชิงเฉิน มาจากเมืองลั่วหยางดินแดนเทียนหยวน”

 

 

พลังปราณขยับไหว มั่วถงปรากฏต่อหน้านางทันที ในที่สุดสีหน้าก็ไม่สงบนิ่งอีกต่อไป “เจ้าเป็นคนของตระกูลมั่วอย่างนั้นหรือ”

 

 

“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

มั่วถงมองนาง หมายจะค้นหาความจริงออกมา

 

 

ตลอดกาลเวลาอันเนิ่นนาน ใช่ว่าจะไม่มีใครที่อ้างว่าตนเป็นคนของนาง เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์

 

 

ต่อหน้าบรรพบุรุษหญิงที่ตนให้ความเคารพนับถือมาตลอด มั่วชิงเฉินไม่มีความคิดที่จะปกปิดใดๆ เรือนนิ้วขาวผ่องยื่นออกมา นกยูงเพลิงสีฟ้าอ่อนกลุ่มหนึ่งกระโดดโลดเต้นอยู่บนนั้น

 

 

“เพลิงแก้วใจกระจ่าง” มั่วถงสีหน้ายากจะแยกแยะว่ายินดีหรือยินร้าย น้ำเสียงพึมพำอ่อนโยนดั่งสายลม