ตอนที่ 462 หวนมองต้องตะลึง

พันธกานต์ปราณอัคคี

ทันทีที่เพลิงแก้วใจกระจ่างออกมา มั่วถงก็ไม่สงสัยต่ออีก สายตาที่มองไปยังมั่วชิงเฉินอ่อนโยนลงมาก “ข้านึกว่าลูกหลานตระกูลมั่วจะไม่ปรากฏหญิงผู้ครอบครองเพลิงแก้วใจกระจ่างอีกแล้ว”

 

 

ตอนที่นางทิ้งจดหมายจากมานั้น ถึงแม้จะได้เอ่ยถึงความลับของเพลิงแก้วใจกระจ่าง แต่ที่ว่าจะสืบทอดอย่างไร รวมถึงที่ว่าเชื้อไฟนั่นเก็บอยู่ในลูกปัดสีน้ำเงิน นางไม่ได้พูดออกมาแม้ครึ่งคำ

 

 

ในตอนนั้นนางรู้สึกขัดแย้งกันเองในใจ

 

 

ใจหนึ่ง ก็รู้ดีว่าการไปครั้งนี้จะไม่มีวันหวนกลับ อยากจะทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้กับตระกูลมั่วที่ชุบเลี้ยงนางมา แต่อีกใจหนึ่ง นางเองก็ทนทุกข์มากับเพลิงแก้วใจกระจ่างพอแล้ว ไม่อยากเห็นคนรุ่นหลังต้องมาประสบกับความผิดซ้ำรอยนางอีก ดังนั้นทุกอย่างนี้ จึงให้สวรรค์เป็นผู้กำหนด 

 

 

คิดไม่ถึงว่าผ่านมานับพันปี จิตสัมผัสที่นางทิ้งไว้รอคนรุ่นหลังมาพบ จะบังเอิญเป็นหญิงสาวผู้มีเพลิงแก้วใจกระจ่างติดตัวเช่นกัน

 

 

ชั่วเวลาหนึ่ง ความรู้สึกของนางที่มีต่อมั่วชิงเฉินนั้นสับสน

 

 

มั่วชิงเฉินพูดขึ้นเบาๆ ว่า “เชื้อไฟที่ท่านทิ้งเอาไว้ ก่อให้เกิดชิงเฉินในวันนี้” 

 

 

“ก่อให้เกิดหรือ” มั่วถงพึมพำเบาๆ มองไปยังมั่วชิงเฉินด้วยสายตาอันอ่อนโยน “เกรงว่าคงประสบภยันตรายไม่น้อยสินะ ความสามารถนำมาซึ่งภัยร้าย มีใครบ้างเล่าที่จะหลีกพ้น”

 

 

มั่วชิงเฉินก้มหน้า เสียงแหบพร่าด้วยความเจ็บปวดลึกถึงกระดูก “ข้าไม่ปิดบังท่านบรรพชน ชิงเฉินเป็นเพียงผู้มีสี่รากวิญญาณ การเก็บรักษาความลับของเพลิงแก้วใจกระจ่างนั้นยากเย็น แต่หากไม่มีเพลิงแก้วใจกระจ่าง ชิงเฉินตอนนี้เกรงว่าคงยากนักจะก้าวสู่ระดับสร้างรากฐาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก่อแก่นปราณ ไม่มีสิ่งล้ำค่านี้ก็ไม่เกิดทุกข์ร้อน มีสิ่งล้ำค่านี้ถือเป็นผลแห่งเวรกรรม ต้องรับความทุกข์เข็ญเคียงข้างไปพร้อมผลแห่งกรรม เช่นนั้นนับว่าฟ้าดินเที่ยงธรรมแล้ว ชิงเฉินซาบซึ้งบุญคุณสิ่งที่ท่านบรรพชนมอบให้ยิ่งเจ้าค่ะ” 

 

 

พูดจบสองมือก็หมอบราบกับพื้น กราบลงไปด้วยความสัตย์ซื่อบริสุทธิ์ 

 

 

วิญญาณหิมะกลางค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล กระบี่ยาวในมือนั้นมิใช่กระบี่ยาวจริงๆ แต่เกิดจากน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง ในดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะนั้นมั่วชิงเฉินสัมผัสได้เพียงความเจ็บถึงกระดูก แต่ตอนนี้เมื่อออกจากค่ายกลแล้ว ความเจ็บนั้นช่างยากจะบรรยาย แฝงด้วยความเย็นยะเยือกถึงแกนกระดูก จนทำให้ผิวกายของนางซีดเขียว 

 

 

การกราบครั้งนี้ กระเทือนถึงบาดแผล เหงื่อกาฬของมั่วชิงเฉินหยาดลง แล้วแข็งตัวเป็นเม็ดน้ำแข็งกลิ้งลงไปบนพื้นทันที 

 

 

มั่วถงเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที นางเพียงแต่ทิ้งจิตสัมผัสเอาไว้ จึงไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้เลย 

 

 

“เจ้าเด็กน้อย ช่างมองได้ถ่องแท้ แต่หลังจากนี้เจ้าอย่าได้แสดงเพลิงแก้วใจกระจ่างต่อหน้าใครง่ายๆ เป็นอันขาด”

 

 

นางรู้สึกพอใจกับอนุชนผู้นี้ จนอดไม่ได้ที่จะเตือนสักคำ 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากยิ้ม “ขอบคุณท่านบรรพชนที่เป็นห่วง ชิงเฉินเมื่อยามเด็กเคยสาบานต่อจิตมาร จะไม่เอาความลับที่ตนมีเพลิงแก้วใจกระจ่างแพร่งพรายให้ใครอยู่เป็นอันขาด”

 

 

มั่วถงในตอนนี้เป็นเพียงจิตสัมผัสสายหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่นับว่าอยู่ในขอบเขตของคำสาบาน

 

 

มั่วถงฟังพลางพยักหน้า นางถามว่า “ตระกูลมั่วตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง ยังอยู่ที่เมืองลั่วหยางหรือไม่” 

 

 

แววตามั่วชิงเฉินโศกเศร้า พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ตระกูล…ถูกทำลายล้างไปแล้ว…”

 

 

“ทำลายล้างหรือ” มั่วถงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แล้วกลับมาสงบนิ่งดังเดิม 

 

 

นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสู่มหายาน แม้ใจจะยังผูกพันกับตระกูลมั่ว แต่ก็สามารถวางอุเบกขาได้นานแล้ว 

 

 

“ทำไมหรือ” มั่วถงถามเสียงเรียบ 

 

 

มั่วชิงเฉินพูดเล่าช้าๆ เพียงแต่เมื่อถึงตอนสุดท้ายกลับพูดออกมาด้วยความลังเลว่า “เดิมทีชิงเฉินเข้าใจว่าสาเหตุที่ตระกูลถูกทำลายล้างนั้น เป็นเพราะ…คัมภีร์โอสถนพเก้าของท่านบรรพชนเป็นตัวนำภัยมาให้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้พบว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น ความจริงที่ตระกูลถูกทำลายล้าง เกี่ยวข้องกับแดนวิญญาณอย่างลับๆ”

 

 

มั่วถงเงียบชั่วครู่ แล้วมองไปยังมั่วชิงเฉิน “เจ้าคิดจะล้างแค้นให้กับตระกูลมั่วหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับโดยไม่ลังเล “แน่นอนเจ้าค่ะ”

 

 

มั่วถงขยับเดินสองสามก้าว เข็มขัดสีแดงสดขยับไหวไปพร้อมกับชายกระโปรง ดูคล้ายกับแสงสายัณห์ลับขอบฟ้าท่ามกลางหิมะ ดูงดงามยิ่งนัก

 

 

มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืนเงียบๆ กลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ

 

 

นางรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง เงาร่างของหญิงงามที่อยู่ต่อหน้า ราวกับความฝันอันห่างไกลที่ไม่อาจเอื้อมถึง หากตื่นตระหนก ก็จะมลายหายไป

 

 

มั่วถงหยุดลงฉับพลัน ชายกระโปรงสีขาวสะบัดเบาๆ ราวกับกระแสเมฆ

 

 

เมฆหลากสีก้อนหนึ่งลอยมา จากนั้นก็แผ่คลุมไปทั่ว หอเล็กๆ แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ มีเมฆหลากสีรองรับลอยมาด้านหน้ามั่วชิงเฉิน 

 

 

มั่วถงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดั่งสายลมเย็นโชย “ข้าจากไปหลายปี นอกจากให้คนในสำนักแล้ว ก็ไม่มีของวิเศษใดเหลือที่นี่เลย ในหอแห่งนี้ มีม้วนตำราหยกที่ข้าสะสมไว้ เดิมทีตั้งใจเก็บไว้ให้ลับตามนุษย์บนโลก ในเมื่อเจ้าเป็นลูกหลานของข้า ทั้งยังแบกรับหน้าที่ใหญ่หลวงในการล้างแค้น เช่นนั้นข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าได้อ่าน ผ่านหนึ่งชั่วยามไปเจ้าต้องออกมา นางหนูชิงเฉิน เจ้าจำได้ใช่ไหม”

 

 

มั่วชิงเฉินดีใจเป็นการใหญ่ กราบลงอย่างงาม “ขอบพระคุณความเมตตาท่านบรรพชน”

 

 

“เช่นนั้น เจ้าก็ไปเถอะ” มั่วถงสีหน้าเรียบนิ่ง แววตากลับอ่อนโยนดั่งสายน้ำ

 

 

มั่วชิงเฉินตอบอย่างรีบร้อน “ท่านบรรพชน ผู้น้อยยังมีอีกเรื่อง”

 

 

“หือ”

 

 

“ผู้น้อยอยู่ที่เซิงโจว เคยฝ่าฝืนเข้าในค่ายกลโดยบังเอิญ จึงบังเอิญพบจิตสัมผัสที่สตรีคนหนึ่งทิ้งไว้ นางขอให้ผู้น้อยตามหาท่าน บอกว่ามีเรื่องอยากถามท่าน” มั่วชิงเฉินเอ่ย

 

 

มั่วถงสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางพูดขึ้นเสียงเรียบ “เช่นนั้นก็ให้นางออกมาเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินขยับมือหนึ่งที ตะเกียงน้ำมันสีเขียวอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

 

 

ตะเกียงน้ำมันสีเขียวตั้งสงบอยู่บนฝ่ามืออันเนียนขาวของนาง ทันใดนั้นก็ปล่อยขวันขาวพวยพุ่งออกมา ตามด้วยร่างหญิงสาวผู้หนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น มีเสียงขับร้องเบาๆ แว่วมา “หยดน้ำตาสีชาด ทิ้งให้คนเมามายอยู่เงียบงัน คนบนหอตะวันตกร่างกายผ่ายผอม จิตใจเ**่ยวเฉา ขอถามท่านผู้จิตใจงาม ไยจึงไม่คิดหวนคืน…”

 

 

มั่วถงหน้านิ่ว มองไปยังเงาร่างสีเขียวอ่อนนั้น แล้วถามว่า “เจ้าคือผู้ใด มาพบข้าด้วยเรื่องอันใด”

 

 

หญิงสาวในชุดเขียวอึ้ง ครั้นแล้วก็ถามขึ้นเสียงแหลม “มั่วถง เจ้ามันนางปีศาจ ลืมข้าเสียได้ เจ้าคืนสามีข้า…” 

 

 

สำหรับมั่วชิงเฉิน เสียงพูดของหญิงผู้นี้จบลงเพียงนี้ เพราะนางได้เข้าไปในหอแล้ว

 

 

ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที มั่วชิงเฉินบอกกับตัวเองว่าเช่นนี้ดีแล้ว คนที่ตนพามาด่าทออยู่กับมั่วถง นางคอยดูอยู่ข้างๆ ก็คงอึดอัดวางตัวไม่ถูก

 

 

เมื่อนึกขึ้นว่ามีเวลาอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วยาม มั่วชิงเฉินก็รีบปรับสีหน้าอารมณ์ แล้วเริ่มคิดใคร่ครวญ

 

 

ในหอเล็กๆ นี้ มีชั้นตั้งวางอยู่หลายชั้น บนชั้นมีม้วนหยกกองอยู่เต็มไปหมด

 

 

“หลอมยา กำลังภายใน ค่ายกล หลอมอาวุธ เคล็ดวิชาลับ วัตถุมหัศจรรย์ บันทึกปกิณกะ…”

 

 

ใช้จิตกวาดหา ประเภทของเนื้อหาในม้วนหยกกลางหอมีมากมายจนมั่วชิงเฉินต้องตะลึงงัน

 

 

นางแอบคำนวณ ม้วนหยกที่มั่วถงสะสมต้องไม่ใช่สิ่งธรรมดา หนึ่งชั่วยาม นางอย่างมากคงพยายามจำได้แค่สี่เล่ม

 

 

ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินเดินไปดูยังชั้นหลอมยา

 

 

มั่วถงมีชื่อจากการลองยา ม้วนหยกด้านการปรุงยา จะพลาดเสียมิได้ 

 

 

ในม้วนหยกนับสิบ มั่วชิงเฉินเลือกมาเล่มหนึ่งชื่อ ‘มุกกลั่นทะเลแดง’

 

 

ม้วนหยกฉบับนี้มั่วถงเป็นคนเขียนขึ้น ไม่ได้มีวิธีหลอมยาที่หายาก และไม่ได้มีกลวิธีหลอมยาอันซับซ้อนใดๆ เพียงแต่บันทึกเคล็ดลับในการหลอมปรุงยาลูกกลอนนับหมื่นชนิดรวมถึงวิธีการในการเก็บโอสถที่เกี่ยวข้อง

 

 

มั่วชิงเฉินใช้จิตพยายามจดจำความรู้เหล่านั้นอย่างสุดชีวิต แต่น่าเสียดายข้อมูลในม้วนหยกนั้นมากมายมหาศาล เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามอย่างรวดเร็ว นางจำได้เพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น 

 

 

มั่วชิงเฉินแปลกใจ จิตนางเกิดถอยออกจากม้วนหยก เช่นนี้ไม่ได้การ นางไม่สามารถใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับม้วนหยกฉบับเดียวได้

 

 

มองไปยังม้วนหยกหมวดเคล็ดลับอย่างหนักแน่น รายชื่อต่างๆ นานาประเดประดังเข้ามา แต่ละชื่อล้วนแต่ชวนให้นางต้องมองตาม

 

 

สะกดความใจร้อนรนเอาไว้ มั่วชิงเฉินลงมือคัดเลือกอย่างอดทน 

 

 

“เพลงยุทธ์คลื่นมรกตเทใจ”

 

 

หลังจากตัดสินใจเลือก มั่วชิงเฉินก็รีบทุ่มจิตลงไป จิตทั้งหมดจดจ่อกับการจำเนื้อหาในม้วนหยก

 

 

ข้อความในม้วนหยกนั้นลึกล้ำซับซ้อน นางทำได้เพียงแต่พยายามจำอักษรเหล่านั้นให้ได้ คิดจะทำเข้าใจอย่างถ่องแท้ คงได้แต่รอวันหลัง 

 

 

ยังดีที่ม้วนหยกเคล็ดลับวิชาแม้จะลึกล้ำยากเข้าใจ แต่เนื้อหากลับไม่มากนัก หลังจากมั่วชิงเฉินจำเนื้อหาทั้งหมดในม้วนหยกแล้ว ยังเหลือเวลาอยู่นิดหน่อย

 

 

นางหันไปยังหมวดปกิณกะอย่างไม่ลังเล 

 

 

ในนั้นมีบันทึกส่วนตัวฉบับหนึ่งชื่อว่า ‘มั่วถง’ ดึงดูดความสนใจของนาง

 

 

บันทึกส่วนตัวเล่มนั้นได้บันทึกประสบการณ์การตระหนักรู้ของมั่วถง ภาษาเรียบง่ายไม่หรูหรา มั่วชิงเฉินประทับตัวอักษรเหล่านั้นลงไปในความทรงจำ แล้วหันกลับไปมอง ‘หยกกลั่นทะเลแดง’ อีกครั้ง

 

 

เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว นางไม่มีเวลาไปดูม้วนหยกฉบับใหม่ ดังนั้น เนื้อหาที่ยังอ่านไม่จบของ ‘หยกกลั่นทะเลแดง’ จำได้เท่าไหร่ก็คงต้องเท่านั้น 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้เลยว่าเนื้อหาที่จำไว้ในสมองนั้นคืออะไรกันแน่ นางเพียงแต่ขยับจิตทั้งหมด เพื่อจดจำอย่างบ้าคลั่ง

 

 

รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ตัวถูกผลักกระเด็นออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองยังคงยืนอยู่ที่เดิม มึนงงอยู่ชั่วครู่ก็เข้าใจขึ้นมาทันที เมื่อครู่ที่เข้าไปในหอนั้นเป็นเพียงจิตของนางเท่านั้น!

 

 

“ออกมาแล้วสินะ” เสียงอันราบเรียบดังขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินช้อนตาขึ้นมอง ก็เห็นมั่วถงอมยิ้มมองมายังนาง หญิงในชุดสีเขียวผู้นั้น ได้หายไปแล้ว 

 

 

“ท่านบรรพชน…”

 

 

การฝืนจำข้อมูลจำนวนมหาศาล มั่วชิงเฉินปวดหัวจนไม่รู้จะอธิบายเช่นใด ชั่วขณะหนึ่งนางคิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรดี

 

 

มือเรียวบางของมั่วถงยื่นออกไป ตะเกียงน้ำมันสีเขียวอันหนึ่งตั้งนิ่งอยู่กลางฝ่ามือ “เรื่องในใจนางเสร็จสิ้นแล้ว นางไปแล้ว ตะเกียงอันนี้ นางทิ้งไว้ให้เจ้า”

 

 

พูดเสร็จ ตะเกียงไฟสะท้อนหทัยก็ลอยออกจากมือนาง ลอยช้าๆ ไปยังมั่วชิงเฉิน 

 

 

มองยังไฟสะท้อนหทัยที่ร่อนลงมากลางฝ่ามือ เสียงของหญิงในชุดเขียวปรากฏขึ้นในความคิด 

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ ไม่ได้ถามว่าทั้งสองคนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงแต่กล่าวขอบคุณอีกครั้ง

 

 

มั่วถงมองไปยังมั่วชิงเฉิน แววตาอ่อนโยนเบานุ่มดุจดั่งขนนก “ชายผู้บุกเข้ามาในค่ายกลเป็นอะไรกับเจ้า”

 

 

มั่วชิงเฉินอึ้งงัน “ชายผู้บุกเข้ามาในค่ายกลหรือ”

 

 

“อะไรกัน เจ้าไม่รู้หรือ” มั่วถงถามกลับ

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า ในตอนนั้นนางคิดว่าตนคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เสียท่าให้ภูตหิมะสาวอย่างน่าเจ็บใจ อดทนความเจ็บปวดให้นางโจมตีฟาดฟันอย่างหนักหน่วง ในที่สุดก็สิ้นสติไป จะรู้เรื่องราวที่เกิดหลังจากนั้นได้อย่างไร 

 

 

เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนนางจะสิ้นสติไปคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นเงาร่างชายในชุดสีคราม นางคิดมาตลอดว่านั้นคือภาพหลอน หรือว่า…

 

 

“นึกออกแล้วหรือ” มั่วถงเม้มปาก

 

 

มั่วชิงเฉินได้สติกลับ สีหน้าก็เห่อร้อน “เขาคือ…สามีข้า…”

 

 

มั่วถงถอนใจเบาๆ “ตอนนั้น ข้าเก็บเด็กหญิงเหล่านั้นมาชุบเลี้ยง แต่เพราะทนความรำคาญไม่ได้ เคยบอกไปว่าห้ามชายใดย่างกรายเข้ามายังถ้ำสดับอารมณ์ ไม่รู้ว่าพวกนางตอนนี้ยังคงรักษากฎเกณฑ์นี้อยู่หรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี “ท่านบรรพชน ข้าน้อยได้ยินว่า เกาะเซียนราชันย์พำนักทั้งหมดล้วนไม่อนุญาตให้บุรุษย่างกราย ศิษย์พี่ของข้าเขา…”

 

 

สีหน้ามั่วถงแสดงความประหลาดใจ “พวกนางทำเรื่องเหลวไหลถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

 

 

ถ้ำสดับอารมณ์เป็นเพียงที่พำนักของนางเท่านั้น เกาะราชันย์พำนักกว้างใหญ่นับหมื่นลี้ ทั้งเกาะราชันย์พำนักมิให้ผู้ชายย่างกรายนั้น ดูจะวางอำนาจเกินไปหน่อย

 

 

นางแม้ว่ามีช่วงเวลาหนึ่งที่เกลียดผู้ชายทุกคน แต่ก็ไม่เคยคิดถึงเพียงนี้

 

 

นางยื่นมือขึ้นจึงถอนเส้นผมดำขลับหนึ่งเส้นลงมา แล้วปล่อยลงบนมือของมั่วชิงเฉิน “นางหนูชิงเฉิน หากพวกนางทำให้เจ้าลำบากใจ ก็ถ่ายพลังวิญญาณลงมาในเส้นผมเส้นนี้”

 

 

“เจ้าค่ะ ชิงเฉินกราบลาท่านบรรพชน” มั่วชิงเฉินหมอบกราบกับพื้น แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

 

 

แสงสว่างส่องวาบ ใต้ฝ่าเท้าของมั่วชิงเฉินร่อนลงบนพื้นดินจริงอย่างนิ่มนวล เมื่อลืมตาขึ้นมองออกไป ก็เห็นแสงวิญญาณดวงหนึ่งกำลังกรีดผ่านลำคอเยี่ยเทียนหยวน บาดเอาหยดเลือดไหลตามออกมาน่าหวาดเสียว

 

 

“ศิษย์พี่”