มองเช่นนี้ คุณแม่เย่เองก็ทราบได้ว่าแม้บ้านใหม่หลังนี้จะสร้างได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อย

แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้

ทว่าเย่ฉูฉู่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ ทำไมแม่ไม่ถามว่าติดหนี้ไปเท่าไร หรือว่าไม่มีปัญญาจ่ายค่าหนี้อะไรพวกนั้นล่ะคะ?”

“แม่จะถามเรื่องพวกนั้นไปทำไม” คุณแม่เย่พูดติดตลก “เหวินเทาเป็นคนมีแผนในใจ เขาอยากจะทำยังไงก็ให้เขาทำไป แกเองก็ไม่ต้องไปสนใจให้มากมายขนาดนั้นหรอก แค่ฟังก็พอแล้ว”

ลูกเขยนิสัยเป็นอย่างไรนางย่อมทราบดี สายตาของเขาไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เติบโตในหมู่บ้านตั้งแต่เด็กจนโต สายตาของลูกเขยคนนี้มองการณ์ไกลกว่ามาก

เขาทำแบบนี้ก็เพราะมีสาเหตุที่ทำแบบนี้ กล้าติดหนี้ขนาดนี้ย่อมต้องมีความมั่นใจนั้นอยู่แล้ว

คุณแม่เย่จึงไม่ได้เป็นกังวลอะไร

“ใครจะเหมือนกับแม่ของฉันล่ะคะ แม่สามียังบอกให้ฉันดูแลเหวินเทาอยู่เลย แต่แม่กลับลำเอียงเข้าข้างเขา” เย่ฉูฉู่พูดอย่างขบขัน

คุณแม่เย่พูดด้วยรอยยิ้ม “แม่สามีของแกไม่ได้มองการณ์ไกลขนาดนั้น เหวินเทามีอะไรต้องห่วงอีก เขาก็เก่งจะตายไป แล้วแกล่ะเป็นคนแบบไหน แม่เห็นแกมาตั้งแต่เด็ก ๆ มีเหรอที่แม่จะไม่รู้? ปล่อยให้เขาพัฒนาด้วยตัวเองเถอะ ส่วนแกก็รอคลอดให้สบายใจก็พอแล้ว”

นางไม่อยากให้ลูกสาวเป็นกังวลกับเรื่องต่าง ๆ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกเขยเถอะ ลูกเขยทำได้อยู่แล้ว ขอลูกสาวไม่ไปเพิ่มปัญหาอะไรก็พอ

“แม่อย่าดูถูกฉันสิคะ รอฉันได้โบนัสจากกำไรในการขายเสื้อผ้าที่ร่วมหุ้นกับพี่สะใภ้สามปีนี้ก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นฉันจะทำให้แม่ตะลึงเลย” เย่ฉูฉู่พูดเคล้ารอยยิ้ม

คุณแม่เย่ยังไม่ทราบเรื่องนี้จริง ๆ นางชะงักไปครู่หนึ่ง “นี่แกไปร่วมหุ้นทำเสื้อผ้ากับพี่สะใภ้สามเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”

“ตอนข้ามปีพี่สะใภ้สามก็กลับมาที่บ้านไม่ใช่เหรอคะ ฉันได้ยินเรื่องที่พี่เขาออกแบบเสื้อผ้า ก็เลยบอกว่าขอลองหน่อย พี่สะใภ้สามก็อนุญาตแล้ว ฉันเลยเอาภาพวาดเสื้อผ้าส่วนหนึ่งมาให้พี่เขาดู ตอนนั้นยังไม่มีเงิน ฉันอยากช่วยเหวินเทาสักหน่อย ลองดูว่าจะทำได้หรือเปล่า ผลลัพธ์ที่ได้คือฉันทำได้จริง ๆ ค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

คุณแม่เย่ถึงกับไม่อยากเชื่อ “แบบเสื้อที่แกวาดออกมามันสวยเหรอ คนของพวกเราทางฝั่งนี้อาจจะไม่ชอบก็ได้ ในเมืองหลวงจะชอบกันเหรอ?”

“แม่ ดูถูกฉันอีกแล้วนะ ไม่ได้มีแค่ภาพร่างของฉันที่ได้รับคำชมจากปากพี่สะใภ้สามเท่านั้นนะ ก่อนไปพี่สะใภ้สามกับพี่สามก็เอาภาพร่างส่วนที่เหลือกลับไปด้วย แม้แต่บ้านหลังนี้ ฉันก็เป็นคนวาดออกมาด้วยมือตัวเอง เหวินเทาสร้างมันขึ้นมาตามภาพวาดของฉัน” เย่ฉูฉู่กล่าว

“บ้านหลังนี้สร้างตามภาพวาดของแกเหรอ?” คุณแม่เย่รู้สึกตกตะลึงจริง ๆ

“ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครล่ะคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าว “แม่เอาแต่ใช้สายตาของคนสูงวัยมองคนอื่น ไม่รู้เหรอถึงจะไม่ได้เจอหน้ากันมานาน แต่คนอื่นเขาก็ก้าวหน้านะ?”

“รู้จักเล่นสำบัดสำนวนนะเรา แม่ให้ของดีสักหน่อยแกก็มีความสุขแล้ว” คุณแม่เย่กลอกตาใส่ลูกสาวด้วยรอยยิ้ม

ระหว่างที่สองแม่ลูกพูดคุยกัน ทั้งคู่ก็เดินเข้ามาทำอาหารในห้องครัว

คุณแม่เย่สับไก่แล้วนำไปตุ๋นในหม้อขนาดใหญ่ สองแม่ลูกนั่งอยู่ใต้หน้าต่างในห้องครัว ระหว่างที่มองดูไฟที่เตาก็พูดคุยไปพลาง ๆ

ลิงน้อยฟาไฉนั่งยอง ๆ กินแตงกวาอยู่ข้าง ๆ นี่เป็นสิ่งที่เด็ดมาจากสวนด้านหลัง

ตอนนี้ฟาไฉใช้ชีวิตตนเองอย่างพึงพอใจเป็นพิเศษ มันใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ และฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ

“พวกแกยังเลี้ยงลิงอีกตัวด้วย” คุณแม่เย่เห็นก็หัวเราะ นางเคยเห็นคนเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว แต่ไม่เคยเห็นใครเลี้ยงลิงมาก่อน

“ไฉไฉไม่ดื้อเลยค่ะ แถมยังเชื่อฟังมากด้วย อยู่ในบ้านก็ช่วยฉันทำงานหลายอย่าง” เย่ฉูฉู่ลูบหัวไฉไฉขณะกล่าว

ลูกลิงฟังแล้วเข้าใจว่านายหญิงกำลังชื่นชมมัน จึงส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ

คุณแม่เย่เห็นลูกลิงเข้าใจภาษามนุษย์ จึงรู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย “ลิงตัวนี้รู้เรื่องมากจริง ๆ”

“มันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านของเราเลยนะคะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

คุณแม่เย่เองก็ยิ้มเช่นกัน “เลี้ยงหมาสักตัวสิ? เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็ไม่เลวเลยนะ”

“แม่มีเหรอคะ? ถ้ามีแม่อุ้มมาให้หนูสักสองตัวก็ได้นะ” เย่ฉูฉู่กล่าว

“หมาจะไปหายากอะไรกัน ฝั่งนี้ของพวกลูกไม่มีเลยเหรอ? ให้เหวินเทาไปอุ้มกลับมาสิ แม่ไม่เคยเลี้ยงเลยไม่รู้ว่าจะเลือกยังไง ให้เหวินเทาไปเลือกดี ๆ มาสักสองตัวก็ได้” คุณแม่เย่กล่าว

เย่ฉูฉู่พยักหน้า

คุณแม่เย่พูดอีกว่า “ตอนนี้ในบ้านกว้างขวางออกขนาดนี้ ไม่คิดจะเลี้ยงหมูสักสองตัวเหรอ?”

“ไม่เลี้ยงดีกว่าค่ะ กลิ่นแรงขนาดนั้น” เย่ฉูฉู่กล่าว

คุณแม่เย่กลอกตาใส่ลูกสาว “ฉันก็ว่าทำไมถึงไม่เลี้ยง เหวินเทาเองก็มองหมูที่บ้านแม่ตาเป็นมันเลย ที่แท้ก็เป็นเพราะแกนี่เอง ตอนนี้พวกแกเป็นหนี้มากขนาดนั้น ต่อให้ฉันจะรู้ว่าเหวินเทามีความสามารถ แต่ทำเงินได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี เลี้ยงหมูสักสองตัวก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง”

“เลี้ยงหมูยุ่งยากที่สุดเลยค่ะ เรื่องกลิ่นแรงไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก แต่มันยังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่ได้หยุดพัก” เย่ฉูฉู่ส่ายหน้า “ฉันไม่เลี้ยงดีกว่า ถ้าเลี้ยงก็ต้องให้เหวินเทาสร้างคอกหมูไว้ด้านนอก ถึงเวลานั้นก็จะได้ย้ายไก่ออกไปด้วยเลย ไม่ให้นำทุกอย่างมาไว้ในบ้าน”

คุณแม่เย่ “…”

นิสัยจู้จี้จุกจิกของลูกสาวหลังจากแต่งงานไม่ใช่แค่ไม่หายไป แต่กลับรุนแรงมากขึ้นด้วย

แต่นางก็แค่พูดถึงเฉย ๆ จะใช้ชีวิตอย่างไรก็เป็นเรื่องของลูกสาวและลูกเขย นางไม่ได้เข้าไปยุ่งหรือสนใจมากขนาดนั้น

คุณแม่เย่จึงเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่น “เหวินเทาเข้าอำเภออีกแล้วเหรอ? ทำอะไรอยู่ล่ะ?”

“งานของเขาค่อนข้างเยอะค่ะ เมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งจะส่งไก่กับเป็ดเข้าไปในเมืองชุดหนึ่ง แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดก็คือเรื่องติดตั้งไฟฟ้านี่แหละค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่เขาติดตั้งก๊อกน้ำเขาก็บอกกับฉันแล้ว สิ้นปีนี้ต้องทำให้ไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้านให้ได้!”

“ไฟฟ้าจะเข้าถึงเหรอ?” คุณแม่เย่ก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาแล้ว ถ้าที่นี่มีไฟฟ้าเข้าถึง หมู่บ้านถัดไปก็จะมีไฟฟ้าเข้าถึงเช่นกัน แต่เรื่องที่จะให้ไฟฟ้าเข้าถึงก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายขนาดนั้น

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เขาบอกว่าน่าจะได้” เย่ฉูฉู่กล่าว

“เรื่องที่ไฟฟ้าเข้าถึงเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นเสียแต่ว่าทางฝั่งนี้ของพวกแกมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ไม่งั้นเขาคงไม่จ่ายไฟมาทางฝั่งนี้แน่ ๆ” คุณแม่เย่กล่าว

“อุตสาหกรรมขนาดใหญ่?” เย่ฉูฉู่ไม่เข้าใจ

“อืม อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ คล้ายกับหมู่บ้านไท่ผิง เป็นเพราะมีอุตสาหกรรมที่ดี ไม่งั้นจะจ่ายไฟมาทำอะไรล่ะ?” คุณแม่เย่กล่าว “อีกฝ่ายก็คงไม่จ่ายไฟให้หรอก”

“เลี้ยงกระต่ายไม่รู้ว่านับหรือเปล่านะคะ?” เย่ฉูฉู่เอ่ยถาม “เหวินเทาอยากขยายการเลี้ยงกระต่ายให้ใหญ่ขึ้น”

“ถึงเวลานั้นจะเลี้ยงกี่ตัวล่ะ?” คุณแม่เย่ถาม

“ยังไม่รู้เลยค่ะ แต่คิดว่าน่าจะพัฒนาเป็นฟาร์มกระต่ายมั้งคะ” เย่ฉูฉู่ครุ่นคิดพลางกล่าว “ไม่งั้นก็คงไม่มีความจำเป็นต้องทำ”

เธอเคยนอนคุยเรื่องเลี้ยงกระต่ายกับจ้าวเหวินเทาไปหลายครั้ง ปีที่แล้วกระต่ายเหล่านั้นที่ถูกหิ้วกลับมาต่างก็สร้างกำไรไปไม่น้อย

แค่ให้พวกมันกินหญ้าก็พอแล้ว สามารถเรียกว่าเป็นกำไรได้เลย และเขาก็เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างมาก

“ถ้าสามารถสร้างฟาร์มกระต่ายขึ้นมาได้ คิดว่าก็น่าจะจ่ายไฟฟ้าเข้ามาได้แล้วนะ!” คุณแม่เย่กล่าว

“นั่นสินะคะ” เย่ฉูฉู่พยักหน้า

“แม่ได้ยินมาว่าถ้าจะจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้ามาก็ต้องติดตั้งเสาไฟด้วย แต่ถ้าหนาวจนแข็งจะไม่สามารถขุดหลุมได้ ต้องรีบทำก่อนที่อากาศจะหนาว” คุณแม่เย่คิดก่อนกล่าวว่า “แม่เองก็กลับไปถามพวกพี่ชายทั้งสองคนของลูกด้วยก็แล้วกัน ถ้าจะจ่ายไฟเข้ามา สองหมู่บ้านของเราก็จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้ามาพร้อมกันเลย บ้านหลังนี้ถ้ามีไฟคงสว่างและกว้างขวางมาก ใช้เทียนกับตะเกียงน้ำมันนั่น ไม่มีความสุขเลยจริง ๆ”

คุณแม่เย่เงยหน้ามองเพดานบ้านสีขาวหิมะ นางครุ่นคิดถึงไฟที่เข้าถึง ภายในใจก็รู้สึกมีความสุข

เย่ฉูฉู่ยื่นนิ้วชี้ไปที่รูเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง “แม่ ดูสิคะ นั่นคือตำแหน่งที่เหวินเทาเหลือไว้ใส่หลอดไฟ เขาบอกว่าถ้าให้สายโผล่อยู่ข้างนอกจะไม่สวย เขาก็เลยเจาะรูไว้บนเพดาน ถึงเวลานั้นก็จะเอาไว้ใส่หลอดไฟ”

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พอได้หมามาแล้วจะกัดกับลิงไหมนะ หรือจะเป็นสหายที่ดีต่อกัน

เหวินเทาจะทำเรื่องขอติดตั้งไฟฟ้าสำเร็จไหม ติดตามต่อไปค่ะ

ไหหม่า(海馬)