ตอนที่ 235-1 ได้พบหนานจ้าวอ๋องเป็นครั้งแรก

ชายาเคียงหทัย

เมื่อส่งองค์หญิงอันซีไปแล้ว สวีชิงเฉินหันกลับไปมองเยี่ยหลี พร้อมเอ่ยออกมาด้วยใจจริงว่า “หลีเอ๋อร์ พี่ใหญ่ขอบใจเจ้ามากนะ”

สวีชิงเฉินเข้าใจดีว่าเหตุใดเยี่ยหลีถึงได้จับจูงองค์หญิงอันซีไปพูดคุยเสียมากมายเช่นนั้น เดิมทีนางกับองค์หญิงอันซีมิได้มีไมตรีอันใดต่อกันมากมาย ย่อมไม่จำเป็นต้องใส่ใจนางถึงเพียงนี้ ที่เยี่ยหลีทำทั้งหมดนี้ย่อมเพราะไม่หวังให้องค์หญิงอันซีปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ลงและอาจถึงขั้นเปลี่ยนจากความรักที่มีให้สวีชิงเฉินกลายเป็นความแค้น หากเป็นสตรีทั่วไปก็แล้วไปเถิด องค์หญิงอันซีเป็นถึงรัชทายาทหญิงแห่งแคว้น สิ่งที่นางสามารถทำได้มีมากเกินไป หากถึงทางตันเข้าจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ทำให้สวีชิงเฉินต้องเจ็บปวด อีกอย่าง ถึงแม้สวีชิงเฉินจะมิได้มีใจให้องค์หญิงอันซีเช่นสตรีและบุรุษ แต่ก็เห็นนางเป็นสหายอย่างแท้จริง หากจะให้เรื่องนี้มากระทบความสัมพันธ์ระหว่างพวกนาง ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจนัก

เยี่ยหลีกรอกตาบนขึ้นพลางเบ้ปาก “ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านไม่มีใจให้แม่นางเขา ก็แกล้งยั่วให้น้อยลงสักหน่อยเถิด ข้าไม่สามารถเป็นไม้กันหมาให้ท่านได้ทุกคราไปหรอกนะ”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เยี่ยหลีก็อดนึกดีใจที่ตนแต่งงานแต่งการไปเสียกับม่อซิวเหยาตั้งแต่แรก ทั้งยังเป็นที่ยอมรับกันทั้งใต้หล้าด้วยว่าเป็นคู่ที่รักใคร่กลมเกลียวกัน เพราะทุกคราที่นางเดินคู่กับสวีชิงเฉิน นางมักได้รับสายตาคมจากสตรีที่แอบชื่นชอบในตัวสวีชิงเฉินตวัดมองไม่รู้กี่คราต่อกี่ครา นางนึกถึงเมื่อปีก่อนที่นางถึงขั้นหลอกองค์หญิงอันซีว่าตนเป็นคู่หมั้นของสวีชิงเฉิน เยี่ยหลีก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ว่าโชคดีที่คนผู้นั้นคือองค์หญิงอันซี หากคนที่นางเจอเป็นสตรีนางอื่น ไม่แน่ว่านางอาจโดนขว้างมีดใส่ไปแล้วก็เป็นได้

สวีชิงเฉินยกมือลูบจมูกอย่างขอลุแก่โทษ ไม่รู้จะพูดอันใดขึ้นมาชั่วขณะ เขาไม่ได้คิดจะหว่านเสน่ห์ใส่สตรีนางใดเลยจริงๆ และยิ่งมิใช่ว่าเขามีสายตาสูงจนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แค่เพียงเขาไม่รู้สึกใจสั่นกับผู้ใดเลยจริงๆ

“อาหลี ข้าบอกเจ้าเสียนานแล้วว่า พี่ใหญ่ไม่มีทางชอบพอสตรีนางใดได้” ม่อซิวเหยาเดินออกมาจากด้านใน มือหนึ่งกอดเข้าที่เอวของเยี่ยหลี ดึงนางเข้ามาพลางเอ่ยขึ้นยิ้มๆ

เยี่ยหลีนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า ม่อซิวเหยาเคยเอ่ยเรื่องเกี่ยวกับความชอบทางเพศของสวีชิงเฉิน นางก็อดใบหน้าเกร็งขึ้นมาไม่ได้ ผินหน้าไปมองสวีชิงเฉิน แต่กลับเป็นว่า สวีชิงเฉินไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย ก็ให้ยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในใจ

ถึงแม้นางจะไม่รังเกียจคนรักร่วมเพศ แต่ก็ยังมิได้เตรียมใจให้พี่ชายใหญ่ของตนกลายเป็นรักร่วมเพศไปจริงๆ อีกอย่าง…เรื่องนี้จะอธิบายให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับท่านลุงใหญ่ฟังอย่างไร

สวีชิงเฉินเห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของเยี่ยหลี ก็คิดว่านางกำลังเป็นกังวลกับเรื่องของตน จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “หลีเอ๋อร์ เจ้าอย่าโกรธเลย เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าพี่อยากให้เป็น…”

เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของสวีชิงเฉิน เยี่ยหลีก็นึกตกใจ จริงสิ การเป็นรักร่วมเพศเช่นนี้ก็ใช่ว่าพี่ใหญ่จะอยากให้เป็น ที่หลายปีมานี้พี่ใหญ่มิได้พูดอันใด ก็เชื่อว่าคงเพราะไม่อยากให้ผู้อื่นรับรู้ คุณชายชิงเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้า แต่กลับเป็นคนรักร่วมเพศ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป…

“ข้ารู้แล้ว พี่ใหญ่ไม่ต้องลำบากใจไป ต่อไปหลีเอ๋อร์ไม่ถามแล้วก็แล้วกัน”

สวีชิงเฉินอึ้งไป รู้สึกซาบซึ้งใจที่น้องสาวเข้าใจหัวอกผู้อื่นเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่เยี่ยหลีมองตนนั้นมีบางอย่างไม่ถูกต้อง สายตาของนางมีทั้งความเข้าใจ เห็นใจและปลอบใจรวมอยู่ นี่มันเรื่องอันใดกัน

“เดินทางกันมาหลายวัน เชื่อว่าทุกคนคงเหนื่อยแล้ว พี่ใหญ่ ข้าพาอาหลีกลับห้องไปพักผ่อนก่อนล่ะ” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรื่อยๆ ขึ้น

สวีชิงเฉินที่ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง โบกมือให้ทั้งสองตามสบาย ระหว่างนั้นในหัวก็คิดทบทวนถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อีกรอบหนึ่ง ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่ใด แล้วภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อยของบุรุษรูปงามอย่างคุณชายชิงเฉินก็พังทะลายลงทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นดุดันจนเกือบทำให้จั๋วจิ้งและหลินหานที่เพิ่งเดินออกมาจากด้านในเรือนต้องตกใจกลัว “ม่อซิวเหยา!”

อันใดที่เรียกว่าเขาไม่มีทางชอบพอสตรีนางใดกัน เจ้าชั่วช้าม่อซิวเหยากำลังบอกใบ้เป็นนัยๆ กับเยี่ยหลีว่าเขาไม่ชื่นชอบสตรี ยิ่งนึกไปถึงสายตาของเยี่ยหลีตลอดหลายวันที่ผ่านมา ที่มักมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ในที่สุดสวีชิงเฉินก็หาเหตุผลและสาเหตุของสายตานั้นพบแล้ว ยิ่งนึกถึงสายตากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของม่อซิวเหยาที่มองตนก่อนเดินไป สวีชิงเฉินก็อดกัดฟันกรอดไม่ได้ “ม่อซิวเหยา เจ้ารอข้าก่อนเถิด!”

เมื่อกลับไปถึงเรือนที่ตนใช้พำนักเป็นการชั่วคราวแล้ว เยี่ยหลีก็เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “คู่หมั้นขององค์หญิงอันซีผู้นั้นเป็นคนชนเผ่าใดหรือ ดูจะเก่งกาจไม่น้อยทีเดียว ท่านกับพี่ใหญ่ก็พูดภาษาเขาได้ด้วย”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “เป็นชนเผ่าหนึ่งที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้สุดของหนานเจียง มีชื่อว่าไป๋หลาง พวกเขาอาศัยกันอยู่ในภูเขาลึก อยู่ร่วมกับสัตว์ร้ายและแมลงมีพิษมาตั้งแต่เด็ก บุรุษในชนเผ่าของเขาทุกคน ล้วนเป็นนักล่าสัตว์และนักธนูฝีมือดีที่ในหนึ่งร้อยคนจะมีสักหนึ่งคน ส่วนเรื่องอื่นๆ พวกเขาก็เป็นเหมือนคนหนานเจียงทั่วไป เชี่ยวชาญด้านการใช้แมลงมีพิษเช่นเดียวกัน และอาจจะเชี่ยวชาญกว่าอีกด้วย สมัยนั้นที่ข้าเตรียมจะปราบดินแดนทางหนานเจียง ก็เคยให้คนสืบเรื่องเกี่ยวกับพวกเขามาก่อน ในกองทัพมีอยู่หลายคนที่รู้ภาษาของพวกเขา ข้าเองก็เคยเรียนตอนสมัยนั้นที่อยู่ว่างๆ เช่นกัน”

เยี่ยหลีนั่งลง เทน้ำชาให้ตนเองไปพลาง คิดใคร่ครวญไปพลาง “ที่องค์หญิงอันซีเลือกช่วงเวลานี้ในการแต่งงาน ก็ด้วยเพราะอยากได้การสนับสนุนจากชนเผ่าไป๋หลางหรือ”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า นั่งลงตรงข้ามเยี่ยหลี ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาหนานเจียง ย่อมให้คนไปสืบเรื่องการแต่งงานขององค์หญิงอันซีมาก่อนแล้ว

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “สถานการณ์หนานจ้าวในยามนี้ ไม่เป็นผลดีต่อองค์หญิงอันซีเอาเสียเลย องค์หญิงอันซีจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากชนเผ่าอื่นๆ ในหนานเจียง ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่อยู่ที่ทางตอนใต้ตลอด ก็ค่อยยังชั่วหน่อย แต่หลายปีนี้พี่ใหญ่มัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับซีเป่ย องค์หญิงอันซีต้องคอยรับมือกับเสด็จพ่อแล้วยังมีซูม่านหลิน ถานจี้จือ รวมถึงหัวหน้าชนเผ่าต่างๆ เหล่านั้นเพียงคนเดียว เกรงว่าก็คงไม่ง่าย”

“เช่นนั้น…” คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เอ่ยด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ตั้งแต่ที่เริ่มผูกมิตรกับองค์หญิงอันซี พวกเขาควรช่วยเหลือองค์หญิงอันซี แต่หากมองจากสถานการณ์ความมั่นคงระหว่างแคว้นแล้ว หนานเจียงที่วุ่นวายต่างหากถึงจะเป็นผลดีกับพวกเขา

“ทางที่ดีพวกเราควรพยายามไม่เข้าไปร่วมด้วยให้มากที่สุด” เสียงของสวีชิงเฉินดังเข้ามาจากด้านนอกประตู คุณชายชิงเฉินที่คืนภาพลักษณ์หล่อเหลาและสุภาพเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นม่อซิวเหยาก็หรี่ตาลงทันที ก่อนหันไปเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “เรื่องไมตรีระหว่างข้ากับองค์หญิงอันซีก็เรื่องหนึ่ง การเข้าไปยุ่งกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้อาศัยเพียงความเป็นมิตรสหายกันระหว่างตัวข้ากับองค์หญิงอันซี แต่ในยามนี้ทุกคำพูดและการกระทำของพวกเรา หมายถึงจุดยืนของซีเป่ย ดังนั้น จะให้ผิดพลาดไม่ได้”

เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “จะทำให้พี่ใหญ่ลำบากหรือไม่”

สวีชิงเฉินส่ายหน้า “องค์หญิงอันซีรู้ว่าอันใดควรไม่ควร”

เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “พูดตามตรง หากพูดถึงคุณธรรมการปกครองแคว้น องค์หญิงอันซีอาจมีพรสวรรค์อยู่มาก แต่หากว่าเรื่องเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย เกรงว่าองค์หญิงอันซีคงมิใช่คู่ปรับกับคนพวกนั้น หากพวกเรานิ่งเฉยไม่ทำอันใด เมื่อใดก็ตามที่องค์หญิงอันซีพ่ายแพ้ให้กับหนานเจียงและตกไปอยู่ในมือซูม่านหลิน ก็คงไม่เป็นผลดีต่อซีเป่ย”

สวีชิงเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ไว้ข้าจะไปหารือกับองค์หญิงอันซี พวกเราสามารถลอบให้ความช่วยเหลือในระดับหนึ่งได้ แต่ไม่สามารถเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างออกหน้าออกตาได้ เรื่องที่หนานเจียงไม่เกี่ยวกันใดกับพวกเรา”

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว” เมื่อเห็นท่าทางสบายๆ และสง่างามของสวีชิงเฉิน เยี่ยหลีก็ได้แต่นึกลอบถอนใจ บางคราพี่ใหญ่ก็ดูจะยืนอยู่บนเหตุและผลเสียจนทำดูประหนึ่งไร้ความรู้สึก บางทีในจิตใจของพี่ใหญ่ ถึงแม้องค์หญิงอันซีจะนับว่าเป็นสหาย แต่อย่างไรก็ยังไม่สำคัญเท่ากับญาติพี่น้องกระมัง เพราะถึงอย่างไร ซีเป่ยต่างหากที่เป็นบ้านของเขา