ตอนที่ 235-2 ได้พบหนานจ้าวอ๋องเป็นครั้งแรก

ชายาเคียงหทัย

จะอย่างไรผู้ที่มาไกลก็ถือเป็นแขก เช้าวันต่อมา คณะของเยี่ยหลีก็เข้าวังไปเข้าเฝ้าหนานเจ้าอ๋อง ซึ่งองค์หญิงอันซีก็ยังเข้าวังไปเป็นเพื่อนพวกตนด้วยตนเองเช่นเคย

เมื่อได้พบหน้าและพูดคุยกันไปเมื่อวานนี้แล้ว ผู่อาเมื่อได้พบหน้าพวกเขาอีกครั้งก็ดูคุ้นเคยและเป็นมิตรขึ้นมาก บุรุษหนุ่มยังได้เอ่ยทักทายพวกเขาด้วยภาษาที่เขาคุ้นเคยอย่างสดใสอีกด้วย

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยมาที่หนานจ้าว แต่ครานี้กลับเป็นครั้งแรกที่เยี่ยหลีได้พบหนานจ้าวอ๋อง

หนานจ้าวอ๋องอยู่ในชุดที่ทำขึ้นจากผ้าไหมและการเย็บปักแบบพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของหนานจ้าว ทั่วทั้งตัวดูเปล่งประกายระยิบระยับ บนศีรษะสวมเครื่องประดับศีรษะอันหรูหราที่ทำจากทองคำฝังหยก อัญมณีและไข่มุกต่างๆ ทั่วทั้งตัวมีประกายสีทองเปล่งออกมา สว่างจ้าจนแทบจะทำให้คนตาบอด ทั่วทั้งพระราชวังเองก็เต็มไปด้วยความหรูหราที่แตกต่างจากทางจงหยวนอย่างชัดเจนเช่นกัน

“ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องเดินทางมาไกล ข้าไม่ค่อยรู้จักวิธีการต้อนรับ เมื่อคืนติ้งอ๋องและพระชายาพักผ่อนสบายดีหรือไม่” หนานจ้าวอ๋องที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่สายตาที่มองมายังม่อซิวเหยา กลับดูไม่มีแววแห่งการต้อนรับเลยแม้แต่น้อย

ภาษาจงหยวนของหนานจ้าวอ๋องพูดได้ไม่เลวเลยจริงๆ มีติดสำเนียงทางใต้อยู่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งคนจำนวนมากของหนานจ้าวมักมีปัญหา แต่ไม่เป็นปัญหาต่อการเข้าใจเลยแม้แต่น้อย

ม่อซิวเหยาระบายยิ้มบางๆ ประสานมือให้ถือว่ามีมารยาท “ใกล้ถึงวันอภิเษกสมรสของรัชทายาทหญิงเต็มที ข้ากับพระชายาขอแสดงความยินดีกับหนานจ้าวอ๋องและองค์หญิงไว้ ณ ที่นี้ และขอให้หนานจ้าวอ๋องมีหลานในเร็ววัน”

สีหน้าหนานจ้าวอ๋องนิ่งไปทันที ถึงแม้คำอวยพรของม่อซิวเหยาจะฟังดูไม่มีอันใด แต่ปีนี้หนานจ้าวอ๋องยังอายุไม่เต็มห้าสิบปีดี ที่ม่อซิวเหยาอวยพรให้เขามีหลานในเร็ววัน ฟังดูแล้วอาจเป็นคำอวยพรทั่วๆ ไป แต่เมื่อเอ่ยประโยคเช่นนี้กับหนานจ้าวอ๋อง ก็เสมือนประหนึ่งกำลังเอ่ยเหน็บแนมว่าเขาไม่มีบุตรชาย

“แม้แต่ท่านติ้งอ๋องยังเดินทางไกลมาด้วยตนเอง รัชทายาทหญิงช่างมีเกียรติยิ่งนัก ทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง” บรรยากาศภายในตำหนักที่เริ่มตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย จู่ๆ ก็มีเสียนอ่อนหวานของสตรีดังขึ้นมาจากตำหนักข้าง

เมื่อทุกคนหันไปมอง ก็เห็นซูม่านหลินที่อยู่ในชุดสีเหลืองอร่ามหรูหราของธิดาเทพแห่งหนานเจียงก้าวเดินออกมาอย่างยิ่งใหญ่ เพียงแต่บนใบหน้าของนางมิได้มีหน้ากากเช่นยามที่ธิดาเทพแห่งหนานเจียงต้องพบหน้าคนนอกใส่อยู่ แต่คนหนานจ้าวอื่นๆ ภายในตำหนักดูจะคุ้นชินกับเรื่องนี้เสียแล้ว

สายตาของม่อซิวเหยาค่อยๆ กวาดมองไปทั่วร่างของซูม่านหลิน คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เอ่ยด้วยความฉงนสงสัยว่า “หนานจ้าวอ๋อง ผู้นี้คือ?”

หนานจ้าวอ๋องหัวเราะฮาๆ มองซูม่านหลินด้วยสายตารักใคร่ แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ติ้งอ๋องคงไม่รู้ นี่คือธิดาเทพแห่งแคว้นหนานจ้าว ซูม่านหลิน”

คิ้วของม่อซิวเหยาขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าได้ยินมาว่า ธิดาเทพแห่งหนานเจียงห้ามมีอายุเกินยี่สิบห้าปี และห้ามพบหน้าคนนอก ที่แท้ก็เป็นเรื่องที่เล่าขานกันผิดๆ หรอกหรือ”

บนใบหน้าซูม่านหลินฉายแววโกรธจัด คำพูดของม่อซิวเหยาคือกำลังจะบอกว่า นางดูแล้วมิใช่คนอายุยี่สิบห้าอย่างนั้นหรือ แต่ซูม่านหลินถูกม่อซิวเหยาจับขังไว้กว่าครึ่งปี ในจิตใจของนางยังมีความเกรงกลัวหลงเหลืออยู่ ถึงแม้ยามนี้จะอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก แต่ก็ไม่อยากเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเขาก่อน จึงได้แต่หันมองหนานจ้าวอ๋องอย่างน่าสงสาร

อย่างน้อยหากมองจากภายนอกแล้ว หนานจ้าวอ๋องดูจะชื่นชอบซูม่านหลินมากกว่าพระธิดาที่ควบตำแหน่งเป็นรัชทายาทหญิงของตนมากนัก

เมื่อเห็นสายตาขอร้องให้ช่วยของซูม่านหลิน หนานจ้าวอ๋องก็เอ่ยปากช่วยแก้ไขให้นางทันทีว่า “ติ้งอ๋องอาจยังไม่รู้ ธิดาเทพเป็นดาวที่คอยช่วยเหลือหนานจ้าวของข้า ดังนั้นเมื่อผ่านการปรึกษาหารือกับหัวหน้าแต่ละชนเผ่าแล้ว ธิดาเทพซูม่านหลินจึงจะเป็นธิดาเทพแห่งหนานจ้าวไปตลอดชีวิต”

เยี่ยหลีปรายตามองซูม่านหลินที่ดูได้ใจ ในใจก็ลอบระบายยิ้มออกมา ซูม่านหลินเป็นดาวช่วยชีวิตหนานของหนานจ้าวหรือไม่นั้น นางไม่รู้ แต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับถานจี้จือ ดูแล้วออกจะเหมือนดาวเคราะห์ของหนานจ้าวเสียมากกว่า การที่สามารถเอ่ยโน้มน้าวให้หัวหน้าชนเผ่าทั้งหลายเห็นดีเห็นงามให้ซูม่านหลินไม่ต้องยึดถือกฎระเบียบที่ใช้ในหนานเจียงมาหลายร้อยปีได้ เห็นได้ชัดว่าอิทธิพลของพวกเขาในยามนี้คงจะประเมินให้ต่ำไปไม่ได้เสียแล้ว ก็ไม่แปลกหากองค์หญิงอันซีจะเลือกแต่งงานกับผู่อาในเวลานี้ ชนเผ่าของผู่อาก็เป็นชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่มากชนเผ่าหนึ่งของหนานเจียง เมื่อบวกกับชนเผ่าด้านนอกที่คอยสนับสนุนองค์หญิงอันซีอยู่ ถึงจะสามารถงัดข้อกับซูม่านหลินและถานจี้จือได้

ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจและไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ

สายตาซูม่านหลินเป็นประกายโกรธเกรี้ยว เมื่อนางเลื่อนไปสายตาไปเห็นสวีชิงเฉิน ก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนซูม่านหลินจะสาวเท้าเข้าไปหยุดตรงหน้าเขา เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ท่านนี้คงเป็นคุณชายชิงเฉิน คุณชายอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ใช่หรือไม่ ช่างเป็นเกียรติที่ได้พบท่าน ซูม่านหลินขอคารวะ”

องค์หญิงหันมองนางเรียบๆ เอ่ยพร้อมยิ้มเยาะว่า “เจ้ามิได้เพิ่งเคยพบหน้าชิงเฉินเป็นครั้งแรกเสียหน่อย เหตุใดถึงต้องเสแสร้งแกล้งทำด้วย”

ผู้หญิงคนนี้เคยจับสวีชิงเฉินขังไว้ที่วังใต้ดินของหนานจ้าวอยู่ตั้งหลายวัน ยามนี้กลับมาแสร้งทำว่าเพิ่งเคยพบหน้าเขาเป็นครั้งแรก ช่างน่าขยะแขยงสิ้นดี!

ซูม่านหลินมององค์หญิงอันซี พลางกะพริบตาอย่างใสซื่อ “องค์หญิงนี่ท่านหมายความเช่นไรกัน ข้าเคยพบคุณชายชิงเฉินตั้งแต่เมื่อใด แต่ว่าท่าน…ได้ยินว่าองค์หญิงอันซีกับคุณชายชิงเฉินเป็นสหายที่สนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่งนี่นะ”

คำว่าอย่างยิ่งนี้ ซูม่านหลินเน้นหนักเป็นอย่างมาก ดูประหนึ่งเต็มไปด้วยความริษยาและเกลียดชังและดูมีความตั้งใจแฝงอยู่ ด้วยเพราะภาษาที่นางใช้เป็นภาษาหนานจ้าว ทั้งยังตั้งใจเหลือบมองไปทางผู่อาที่ยืนอยู่ข้างองค์หญิงอันซี จึงยิ่งดูว่าตั้งใจหนักขึ้นไปอีก

ดวงตาองค์หญิงอันซีทอประกายคมกล้า เอ่ยกับซูม่านหลินด้วยสายตาเย็นเยียบ “ข้ากับคุณชายชิงเฉินเป็นสหายกันแล้วอย่างไร ข้าเป็นถึงรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว จะผูกมิตรมีสหายกับเขาสักคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ ไม่เหมือนกับใครบางคน ที่ลักลอบติดต่อสัมพันธ์กับหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ในยามนั้นใครบางคนยังไม่ได้รับสิทธิพิเศษจากแต่ละชนเผ่าของหนานเจียงกระมัง”

เมื่อถูกองค์หญิงอันซีพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนจำนวนมาก ต่อให้ซูม่านหลินอวดดีเพียงใด ก็ยังอดหน้าแดงขึ้นไม่ได้ “เจ้า!”

องค์หญิงอันซียิ้มอย่างดูแคลน “ทำไมหรือ ธิดาเทพคิดจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักกับหลีอ๋องแห่งต้าฉู่หรือ”

ที่องค์หญิงอันซีเอ่ยถามเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าในมือนางมีหลักฐานที่ซูม่านหลินรู้จักกับม่อจิ่งหลีมานานแล้วอยู่ ซูม่านหลินจะยอมรับก็ไม่เหมาะสม จะไม่ยอมรับก็คงไม่ได้ มิเช่นนั้นเป็นไปได้มากว่า นางจะโกรธจนโยนหลักฐานที่นางเคยทำความคุ้นเคยกับม่อจิ่งหลีออกมา แต่หากยอมรับก็คงจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่า ถึงแม้ยามนี้นางจะมิได้ถูกจำกัดอิสรภาพเหล่านั้นแล้ว แต่หากให้ผู้อื่นรู้ว่านางเคยทำความรู้จักมักคุ้นกับบุรุษภายนอกตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เช่นนี้คงไม่เป็นผลดีต่อนางนัก

“เอาล่ะ ซีเอ๋อร์ มาพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าแขกเหรื่อไปไย” จู่ๆ หนานจ้าวอ๋องก็เอ่ยขัดขึ้น ขมวดคิ้วมององค์หญิงอันซี ในน้ำเสียงฟังดูเจือแววต่อว่าอย่างเห็นได้ชัด

องค์หญิงอันซีอึ้งไป ในที่สุดก็ก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ

เยี่ยหลีอมยิ้มมองหน้าซูม่านหลินที่ฉายแววได้ใจ แล้วจู่ๆ นางก็บิดมุมปากขึ้นเอ่ยว่า “จะว่าไป…ดูเหมือนข้าก็รู้สึกคุ้นตาธิดาเทพอยู่พอสมควรทีเดียวนะ”

ซูม่านหลินหันมองเยี่ยหลีด้วยความตกใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตระหนกและหวาดระแวง ประหนึ่งกำลังต่อว่าที่เยี่ยหลีไม่รักษาคำพูด

เยี่ยหลีระบายยิ้มน้อยๆ ทำท่าใคร่ครวญอย่างนัก “แต่ข้าน่าจะจำคนผิดไปเองกระมัง เมื่อห้าปีก่อนตอนที่บุตรของข้าครบเดือน ดูเหมือนข้าจะเห็นแม่นางคนหนึ่งที่ละม้ายคล้ายกับธิดาเทพยิ่งนัก เดินเล่นอยู่กับบุรุษผู้หนึ่งที่ซีเป่ย แต่บุรุษผู้นั้นกลับมิใช่หลีอ๋องแห่งต้าฉู่ น่าจะเป็นข้าที่จำคนผิดไปเอง”

พอเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ ซูม่านหลินก็รู้ทันทีว่าถูกเยี่ยหลีหลอกเข้าเสียแล้ว ในใจลอบเจ็บใจ แต่ก็มิกล้าแสดงอาการต่อหน้าทุกคน ทำได้เพียงอดกลั้นความโกรธนี้ไว้ ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “พระชายาจำได้ก็ดีแล้ว ข้าไม่เคยไปซีเป่ยมาก่อน”

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ทำไมหรือ ข้าก็ยังไม่เคยเห็นคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันเช่นนี้มาก่อน ธิดาเทพอย่าได้ถือสาข้าเลย”