ลีน่ามองเลออนด้วยความตกใจ เลออนอ้าปากพะงาบๆ โดยไร้เสียง
ไม่เคยบอก
“…”
แต่ก็จริง เลออนไม่มีทางเอาจดหมายนั่นให้เลโอน่าดูอยู่แล้ว ลีน่านึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาฉับพลัน จู่ๆ เลโอน่าก็เพ่งมองไปไกลๆ แล้วพูดว่า ‘กลับมาแล้ว’
‘หรือว่า…’
เลโอน่าสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของแอสรันเหรอ ตอนนั้นเอง เลโอน่าก็ตะโกนอีกครั้ง
“ไม่ให้ไป! นั่นมันอันตราย!”
อันตราย ได้ยินดังนั้นลีน่าก็เสียวสันหลัง เห็นได้ชัดว่าเลโอน่ารู้อะไรบางอย่าง พอหันหลังกลับไปก็พบว่าไม่ใช่แค่ตน แต่เลออนและราธบันเองก็มีสีหน้าแข็งทื่อไปแล้ว ระหว่างนั้นเอง เลโอน่าที่นอนคว่ำหน้าก็ยิ่งคร่ำครวญร้องไห้อย่างรันทดใจมากขึ้น สุดท้ายเลออนก็ก้าวออกมา
“ลุกขึ้นเลโอน่า”
“….”
ไม่ใช่น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่เคย เลออนกำลังทำสีหน้าขององค์จักรพรรดิตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เลโอน่าเงยหน้าขึ้นและเช็ดน้ำตาเมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชา นางเป็นเด็กที่มีไหวพริบดี นางรู้ว่าลูกไม้ของตนใช้ไม่ได้ในตอนที่ท่านพ่อทำใบหน้าและใช้น้ำเสียงแบบนี้
“มาด้านข้าง”
เลโอน่าสูดน้ำมูกแล้วลุกขึ้น แม้สภาพเละเทะของเด็กน้อยจะน่าเห็นใจยิ่งนัก แต่เลออนก็ไม่ยื่นมือออกไป เลโอน่าอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกเพราะเศร้าใจที่แม้แต่เลออนก็เป็นเช่นนี้ แต่ถ้าทำอย่างนั้น…
‘จะโกรธจริงๆ แน่’
แม้จะเป็นท่านพ่อที่อ่อนโยนและให้ทุกอย่างกับตน แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับท่านแม่จะอีกเรื่องเลย เลโอน่าใช้มือเช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปยืนข้างเลออน
“อยากกลับห้องตอนนี้เลยไหม? หรืออยากกล่าวลาก่อนแล้วค่อยกลับไป?”
“….”
“ตอบมา”
“…อยากลา…ก่อนแล้ว…ค่อยไปค่ะ”
เลโอน่าตอบกลับเสียงสั่นอย่างยากลำบาก เลออนพูดกับลีน่าโดยที่ไม่ปลอบเลโอน่าเลย
“รีบไป ข้าเตรียมม้าไว้ให้แล้ว”
“…ขอบคุณนะเลออน”
พูดจบ ลีน่าก็มองเลโอน่าก่อนจะลังเลเล็กน้อย แล้วเข้าไปด้านใน ราธบันเดินตามหลังไป
เพราะเตรียมสัมภาระไว้แล้ว ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานนัก เสื้อผ้าที่สวมได้ทันที สิ่งของที่พกติดตัวเสมอ และเงิน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว นางสวมเสื้อฮู้ดที่มักสวมตอนเดินทางและลงมาด้านล่าง ก็พบว่าคนที่เลออนสั่งไว้ก่อนหน้านี้ลากม้ามารอลีน่ากับราธบันอยู่แล้ว
มองเพียงผิวเผินยังรู้ว่าม้าศึกที่แข็งแรงมาก ม้าศึกนั้นมีนิสัยที่ดื้อรั้นพอๆ กับความแข็งแกร่งทำให้ยากต่อการจัดการ หากไม่ใช่คนที่มันยอมรับก็ไม่มีทางปีนขึ้นไปบนหลังของมันได้เด็ดขาด
ลีน่าเดินเข้าไปใกล้และมองตาม้า ม้าที่ร้องฮึดฮัดและส่ายหัวไปมาเพราะคนแปลกหน้าเริ่มสงบเสงี่ยมหลังจากผ่านไปไม่นาน พอมองด้านข้างก็พบว่าราธบันก็กำลังลูบหัวของม้าที่ตนจะขี่เช่นกัน หลังจากทำให้ม้าศึกที่ดุร้ายเชื่องได้ในพริบตา ทั้งสองคนก็กระโดดขึ้นม้าทันที เมื่อหันศีรษะกลับไปก็พบว่าเลออนกับเลโอน่าออกมายืนอยู่ตรงประตูทางเข้า
อาจเพราะระหว่างนั้นไปล้างหน้ามาแล้ว แม้ใบหน้าของเลโอน่าจะบวมอยู่บ้างแต่รอยคราบน้ำตาก็หายไปแล้ว เลโอน่าเดินมาหาลีน่า แล้วออกคำสั่งกับม้าด้วยปากที่ยื่นออกมาเล็กน้อย
“คุกเข่า”
ทันใดนั้นม้าก็ร้องเสียงต่ำ คุกเข่าด้วยขาหน้าแล้วก้มตัวลง เลโอน่ายื่นมือเล็กๆ ออกไป
“ท่านแม่เอาอันนี้ไปด้วยนะคะ”
“นี่คือ….”
สิ่งที่เลโอน่ายัดใส่มือนางคือสร้อยคอที่เลโอน่าสวมติดตัวอยู่เสมอ อาร์ติแฟกต์ที่ช่วยผนึกพลังเวท
“ทำไมถึงให้อันนี้ล่ะ”
“ไม่รู้ แต่มันน่าจะจำเป็นกับท่านแม่…”
ได้ยินดังนั้น ลีน่าก็นึกถึงที่เลโอน่าบอกว่าอันตรายเมื่อครู่ก่อน นางรับของที่ลูกมอบให้อย่างล้ำค่าแล้วนำไปใส่ไว้ในกระเป๋าที่อยู่ส่วนลึกที่สุดด้านในอก
“เลโอน่า”
“…”
พอเห็นเลโอน่าสะอึกสะอื้นอีกครั้ง ลีน่าก็ลุกขึ้นแล้วลงจากหลังม้า จากนั้นโอบลูกเข้ามากอด
“แม่สัญญา คราวนี้ถ้ากลับมาแล้วจะอยู่ข้างเจ้าไปนานๆ เลย”
“…มากแค่ไหน?”
“เท่าที่เลโอน่าต้องการ”
“นั่นไม่ได้หรอก เพราะถ้าอย่างนั้นท่านแม่ต้องอยู่ข้างข้าไปตลอดชีวิต…แบบนั้นก็ไปเที่ยวไม่ได้นี่นา”
ไปเที่ยวหรือ แน่นอนว่านางออกเดินทางเพื่อใช้ชีวิตตามที่ปรารถนามาตลอดด้วยก็จริง แต่สาเหตุที่ใหญ่กว่านั้นคือเพื่อตามหาแอสรัน ลีน่าถูแก้มตนเองกับแก้มของเลโอน่าพลางกล่าว
“ถ้างั้นไปกับเลโอน่าก็ได้ เนอะ?”
“…จะพาข้าไปด้วยหรือ? จริงนะ? ข้าเองก็ไปเที่ยวกับท่านแม่เหมือนเซอร์ราธบันได้ใช่ไหม”
“แน่นอนสิ เนอะ เลออน?”
พอลีน่าถาม เลออนก็รีบพยักหน้าทันที เขาไม่ได้พูดอะไรที่ไม่มีไหวพริบอย่าง ‘แต่เป็นองค์หญิงคง…’ ออกมา ลีน่าจุมพิตหน้าผาก ตา แก้มและปากของเลโอน่าที่ละครั้ง จากนั้นกระโดดขึ้นม้า ทันใดนั้นเลโอน่าก็ออกคำสั่งกับม้าอีกครั้ง
“ต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านแม่ เข้าใจไหม”
ได้ยินดังนั้น ม้าศึกก็ก้มหัวให้เลน่าราวกับตอบรับ
เสียงฟาดแส้ดังขึ้นพร้อมกับที่ม้าศึกสองตัวกระแทกพื้นอย่างแรง เงาร่างของลีน่ากับราธบันไกลออกไปในชั่วพริบตา เลออนใช้มือพัดฝุ่นดินที่ตลบขึ้นแล้วเดินเข้าไปจับมือเลโอน่า ทันใดนั้นเลโอน่าก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ท่านพ่อ พวกเราจะไปกันเมื่อไร”
“ถ้าตามไปเลยราธบันจะรู้สึกตัว เพราะงั้นค่อยออกเดินทางตอนเย็นนะ ต้องตามไปหลังจากห่างประมาณหนึ่งวันถึงจะจับไม่ได้”
ได้ยินดังนั้นเลโอน่าก็ย่ำเท้าไปมา
‘นี่มันปฏิบัติการลับ!’
สำหรับเด็กแล้ว ไม่ว่าจะคำว่าความลับหรือคำว่าปฏิบัติการก็เป็นคำพูดที่ฟังดูน่าหลงใหลที่สุดในโลก แต่ทั้งสองคำนี้กลับมาอยู่รวมกัน เลโอน่ารู้สึกเหมือนตนกลายเป็นอัศวินที่ได้รับภารกิจลับที่เคยอ่านในหนังสือ
“เพราะงั้นรีบไปเก็บแต่ของที่อยากนำไปใส่กระเป๋าเสีย”
“อื้อ!”
ทันทีที่เลออนพูดจบ เลโอน่าก็วิ่งไปที่ห้องของตนเองประหนึ่งลูกศร เขาออกคำสั่งกับหัวหน้าหน่วยอัศวินที่เข้ามาด้านข้าง
“ไปเตรียมองครักษ์รักษาพระองค์ แค่สิบคนก็พอ แล้วก็เตรียมจอมเวทหนึ่งคนกับแผ่นประกาศิตไปต่างหากด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เลออนหมุนตัวกลับแล้วไปมองจุดที่ลีน่าจากไป ฝุ่นดินหายไปแล้ว
‘มีอะไรบางอย่าง’
เขาถามเลโอน่าตอนที่ลีน่าเข้าไปเก็บสัมภาระ ถามว่าที่ว่าอันตรายคืออะไร แล้วรู้จักเจ้าสิ่งนั้นได้อย่างไร แต่เลโอน่ากลับตอบให้ชัดเจนไม่ได้ แทนที่จะบอกว่าพยายามปกปิด แต่ดูเหมือนนางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองรู้จักสิ่งนั้นได้อย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจ
‘จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่’
แม้จะไม่รู้ว่าการมีเขากับเลโอน่าจะมีส่วนช่วยในเรื่องนั้นมากแค่ไหน แต่ก็คงดีกว่าไม่มี
***
ลีน่ากับราธบันที่ออกมาจากพระราชวังขี่ม้าโดยไม่หยุดพัก แม้จะเรียกว่าม้าศึก แต่เมื่อวิ่งมาตลอดหนึ่งวันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะหงุดหงิดและเดินโซเซ ตอนนั้นเองทั้งสองคนถึงได้ลงจากหลังม้าและหาที่พักผ่อน ทว่า ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้วและมองไม่เห็นหมู่บ้านเลย สุดท้ายทั้งสองคนที่ตัดสินใจนอนกลางแจ้งก็พบลำธารสะอาด หลังจากให้น้ำและหญ้าที่พอกินได้กับม้าก็หยิบแอปเปิลในกระเป๋าออกมา
ระหว่างนั้นเอง ราธบันก็ก่อกองไฟอย่างรวดเร็วและเตรียมที่ให้ลีน่านอน ไม่มีหมอน เพราะเดี๋ยวเขาจะใช้ขาของเขาแทนสิ่งนั้นเอง หลังจากมั่นใจว่าม้าพักผ่อนดีแล้ว ลีน่าก็ทำความสะอาดตัวง่ายๆ ที่ลำธาร จากนั้นนอนลงบนที่ที่ราธบันเตรียมไว้ให้ เป็นการนอนที่พวกเขาสองคนคุ้นเคยดี
“ราธบัน”
ลีน่าที่ควรจะหลับเพราะวิ่งมาทั้งวันจนเหนื่อยกลับกระสับกระส่ายอยู่สักพักแล้วเอ่ยเรียกเขา
“ฟังอยู่ขอรับ”
“อันตรายที่เลโอน่าว่าจะเป็นอันตรายแบบไหนหรือ”
“…ข้าเองก็ไม่รู้”
ลีน่าลูบสร้อยคอที่อยู่ด้านในกระเป๋า ทั้งที่พลังเวทของเลโอน่าก็ไม่ใช่ย่อยๆ แต่สร้อยคอเส้นนี้กลับข่มมันได้อย่างไม่ยากเย็น เขาบอกว่ามันเป็นอาร์ติแฟกต์ที่ใช้ในการบีบบังคับเหล่าจอมเวทในพระราชวังเมื่อก่อน แต่ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นสิ่งของที่คล้ายกับพระเจ้าเหมือนอย่างกระดานชนวนที่แอสรันมีไว้ในครอบครอง
‘ถ้าให้สิ่งนี้มา…ดูเหมือนจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับพลังเวทนะ…’
ลีน่าลองรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์มาไว้ที่ปลายนิ้วแล้วสัมผัสสร้อยคออีกครั้ง
เคร้ง!
ทันใดนั้นเสียงใสๆ ที่คล้ายกับเสียงเหล็กกระทบก็ดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกแสบที่ปลายนิ้ว ลีน่าหดตัวด้วยความตกใจ ราธบันถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางจับมือนางขึ้นมาแล้วค่อยๆ ลูบ อาการแสบค่อยๆ ทุเลาหายไปในมือของเขา
“กังวลก็กังวลแล้ว รีบนอนเถิดขอรับ ไปถึงแล้ว ถึงจะไม่ชอบแต่ก็จะได้รู้เอง”
“อือออ….”
ได้ยินดังนั้นลีน่าก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอแล้วหลับตาลง ไม่นานนางก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป
***
วันที่สี่หลังจากวิ่งมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่ม้าศึกจะหมดสติ ตอนนั้นเองยอดเขาสูงก็ปรากฏให้เห็น ลีน่ากับราธบันนำม้าไปฝากไว้ที่หมู่บ้านใต้เทือกเขาจากนั้นไปพบหน่วยข่าวที่พักแรมอยู่ที่นั่น เขาตรวจสอบจดหมายที่มีตราประทับของเลออนผนึกอยู่จากลีน่าและราธบัน แล้วนำทางทั้งสองคนเข้าไปในเทือกเขา
ไม่รู้ว่าข้ามเขามากี่ลูกแล้ว จู่ๆ ลมก็เปลี่ยนไป
‘หนาวจัง’
นี่ไม่ใช่ลมที่พัดมาจากในหุบเขา กลิ่นของพื้นดินลอยมาตามสายลมที่ชื้นและเย็นยะเยือกอย่างเข้มข้น ดูเหมือนจะเป็นลมที่พัดขึ้นมาจากใต้ดิน
“จากตรงนี้ไปต้องระมัดระวังนะขอรับ ตะไคร่น้ำรอบๆ ถ้ำลื่นมาก”
พอพวกเขาก้าวเดินอย่างระมัดระวังและเข้าไปลึกขึ้นก็เห็นอัศวินหลายคนที่ยืนเฝ้าตรงนั้น
“เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้างไหม”
พอหน่วยข่าวถาม อัศวินก็ชี้เข้าไปในถ้ำแล้วอธิบาย
“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเป็นพิเศษ แต่แสงกำลังอ่อนแรงลง คิดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะสูญสลายไปก็ได้”
“…”
ลีน่ากัดปากเมื่อได้ยินคำว่าสูญสลาย ความกังวลที่กลัวว่าจะมาช้าเกินไปทั้งที่คิดว่ารีบมาผุดขึ้นมา
“ก่อนอื่นข้าจะพาเข้าไปดูก่อน”
อัศวินเข้ามานำหน้าและเดินเข้าไปด้านในถ้ำ เดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว บนผนังพลันปรากฏรอยไหม้ และมีเฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นถูกกองสุมอยู่ พอลีน่ามองของเหล่านั้น อัศวินก็รีบอธิบายทันที
“เดิมนี่เป็นถ้ำที่คนในหมู่บ้านแถวนี้ใช้สอยกัน เห็นว่าคนที่ขึ้นเขามาขุดสมุนไพรหรือไม่ก็ล่าสัตว์มักจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนชั่วคราว ไม่เพียงแต่การเข้าไปด้านในลำบากแต่จู่ๆ ถ้ำก็หักเป็นแนวตั้งทำให้พวกเขาเข้าไปที่ที่ลึกกว่านั้นไม่ได้ หลายสัปดาห์ก่อน มีคนในหมู่บ้านที่หลบฝนมาเห็นแสงประหลาดๆ กระเพื่อมออกมาจากถ้ำแนวตั้งตอนกลางคืน ก็เลยกลับมาหมู่บ้านและติดต่อมา”
เป็นอย่างที่อัศวินว่าไว้ พอเข้าไปด้านในอีกหน่อย จู่ๆ ถ้ำก็แคบลงและเริ่มเดินได้ยากขึ้น นางได้ยินเสียงราธบันที่อยู่ด้านหลังเดินกระแทกตรงนู้นตรงนี้เข้ามาด้านในอย่างยากลำบาก หลังจากนั้นไม่นานอัศวินที่นำหน้าก็หยุดเดิน ลมพัดแรงมาจากด้านใน
“จากตรงนี้ไปต้องยิ่งระวังนะขอรับ”
สิ้นคำ อัศวินก็เบี่ยงตัวไปด้านข้างและยกคมไฟขึ้นให้ลีน่าเห็นภาพด้านใน
“นี่มัน….”
จุดสิ้นสุดทางเดินมีพื้นที่ขนาดใหญ่อยู่ แต่มองไม่เห็นก้นบึ้ง พอยื่นหัวออกไปก็พบว่ามันเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด เป็นถ้ำแนวตั้งที่เขียนไว้ในจดหมาย ทว่านางกลับไม่เห็นแสงที่ถูกเขียนไว้ในนั้น อัศวินที่ตระหนักได้ถึงสีหน้าของลีน่ากล่าวขึ้น
“รอสักครู่มันจะโผล่ขึ้นมาขอรับ”
ลีน่าจ้องความมืดในถ้ำอย่างเงียบๆ ตามที่อัศวินพูด หัวใจของนางเต้นตึกตักอย่างแรง
‘เป็นแอสรันจริงเหรอ’
จุดจบของเขายังคงชัดเจน ร่างของเขาที่หลอมรวมเข้ากับพระเจ้า น้ำเสียงที่กล่าวอย่างไม่มั่นใจว่าจะปรากฏร่างขึ้นมาในสถานที่ที่ไม่มีเสถียรภาพก็ได้ นางกล่าวคำสัญญาว่าจะไปหาเขาตอนที่ได้ยินคำนั้น สุดท้ายแล้วจะสามารถรักษาสัญญานั้นได้หรือไม่
ผ่านไปสักพัก แสงสีทองก็เริ่มส่องประกายขึ้นมาจากใต้ล่างถ้ำที่เต็มไปด้วยความมืด แสงพวยพุ่งขึ้นมาราวกับกลุ่มควันและเริ่มหมุนวนอย่างเชื่องช้า กลุ่มแสงสีทองแผ่ขยายไปทั่วสารทิศและเกิดวงกลมแสง และชั่วขณะที่แสงนั้นอัดแน่นจนเต็มถ้ำ อีกด้านหนึ่งของแสงพลันปรากฏการเคลื่อนไหว
สิ่งที่พร่ามัวในตอนแรกค่อยๆ ชัดเจนขึ้น และทันทีที่ภาพเหล่านั้นฉายชัด ลีน่าก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เห็นจากอีกด้านของแสงไม่ใช่โลกใบนี้ มีบางสิ่งที่ดูคล้ายต้นไม้ แต่สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวคือสิ่งที่ไม่มีบนดินแดนฝั่งนี้ ปีศาจและสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างกับขนาดที่ไม่สนกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้กำลังล่ากันเองอยู่อีกด้านหนึ่งของแสง
เพราะไม่ได้ยินเสียง นางจึงไม่รู้สึกเหมือนจริง หลังจากมองภาพนั้นอยู่สักพัก ลีน่าก็เอ่ยถามอัศวิน
“หลังจากแสงนี้ปรากฏขึ้นแล้วคงอยู่ได้นานไหม?”
“แต่ละรอบต่างกันไป อย่างเร็วที่สุดหายไปก่อนจะกะพริบตาไม่กี่ครั้ง และจากคำพูดของชาวบ้านเห็นว่าเคยมีตอนที่ปรากฏขึ้นมาและคงอยู่เกินหนึ่งวัน ในช่วงแรกๆ ปรากฏมาทีก็คงอยู่ได้นาน แต่ว่ารอบโคจรสั้นลงเรื่อยๆ”
นั่นหมายความว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ตอนนั้นเองภาพทิวทัศน์ในอีกด้านของแสงพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ปีศาจที่รุมทึ้งกันเองอยู่นั้น จู่ๆ ก็หมุนตัวกลับและวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่นานหลังจากนั้น ร่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวตรงบริเวณที่ปีศาจหายไปเมื่อครู่
“…แอสรัน?”
สิงโตขนาดใหญ่ที่ครอบครองขนสีแดงที่คล้ายกับจะเผาไหม้ เห็นเพียงแค่นั้นนางก็มั่นใจได้แล้วว่าคือแอสรัน ทว่ามีบางอย่างที่แตกต่างจากแอสรันที่นางจดจำได้อยู่บ้าง หลังจากครุ่นคิดว่ามันคืออะไร ลีน่าก็พบคำตอบในไม่ช้า
“…เล็กลง?”
แน่นอนรูปร่างขนาดเท่าบ้านตรงนั้นคงไม่อาจพูดได้ว่าเล็ก ทว่าร่างเดิมของแอสรันที่ทุกคนเคยเห็นมีขนาดใหญ่กว่าเจ้าตัวนั้นมากนัก หากเทียบกับตอนนั้น ร่างของเขาที่เห็นตอนนี้ดูเหมือนจะยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของขนาดเดิมด้วยซ้ำ หลังจากมองภาพของแอสรันอยู่ครู่หนึ่ง ลีน่าก็เอ่ยถามอัศวิน
“ไม่ทราบว่าเคยเข้าไปอีกฝั่งนึงไหม?”
“หลังจากคุ้มกันรอบข้างก็ไม่เคยเข้ามาใกล้อีกเลยขอรับ แต่ชาวบ้านที่พบที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกเคยโยนอะไรเข้าไปฝั่งตรงข้ามเพราะความประหลาดใจอยู่”
“แล้วเป็นอย่างไร?”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลองขว้างก้อนหินเข้าไปเพราะเห็นสัตว์ที่ดูเหมือนสุนัขป่ากับหมาป่า หินข้ามไปอีกฝั่งในตอนที่โยนออก แต่ทันทีที่สัตว์ที่ถูกหินกำลังจะวิ่งเข้าหาชาวบ้าน แสงก็ดับลงพอดี จึงยังไม่ได้รับการยืนยันว่าสิ่งที่อยู่อีกฝั่งจะผ่านมาได้หรือไม่”
“…”
ได้ยินดังนั้น ลีน่าก็จมอยู่กับความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะวางกระเป๋าที่ถืออยู่ลงแล้วค้นด้านใน หลังจากนั้นไม่นานในมือของนางก็มีเชือกเส้นเล็กและยาว เป็นเชือกที่ใช้กางกระโจมกลางแจ้ง จากนั้นลีน่าก็หยิบของที่อยู่ในกระเป๋าทั้งหมดออกมาวางที่พื้น แล้วผูกเชือกเข้ากับสายกระเป๋า หลังจากตรวจสอบว่ามัดแน่นดีแล้วอีกหลายครั้ง ลีน่าก็มองอีกด้านของแสง แอสรันหายไปแล้ว มีสัตว์ตัวเล็กที่คล้ายกับกระรอกอยู่ตรงนั้นแทน ลีน่ารีบโยนกระเป๋าเข้าไปอีกด้านของแสง
เดิมทีที่แห่งนี้เป็นถ้ำที่ลึกมากจนไม่รู้ว่าก้นบึ้งอยู่ตรงไหน ดังนั้นเชือกที่มีความยาวไม่มากจึงต้องขึงให้แน่น ทันทีที่กระเป๋าตกลงไปบนพื้นของทิวทัศน์อีกด้านหนึ่งของแสง เชือกก็ไม่คลายตัวอีกต่อไป เหมือนจะมีเสียงดังมาจากฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนสัตว์ตัวเล็กจะระแวงกระเป๋าที่ลีน่าโยนเข้าไปและกำลังค่อยๆ เข้ามาใกล้
ทันใดนั้นกลุ่มแสงก็เริ่มหมุนวนอย่างรุนแรงอีกครั้ง เวลาเดียวกับที่ภาพฝั่งตรงข้ามเริ่มพร่ามัว เชือกลีน่าถืออยู่ส่ายไปมาราวกับติดอยู่ในพายุ ลีน่าดึงเชือกกลับมาด้วยความตกใจ แต่เชือกกลับถูกดึงมาไม่ง่ายต่างจากตอนที่โยนเข้าไป
“อั้ก!”
และในตอนที่ร่างกายของนางกำลังจะถลำไปด้านหน้า ราธบันที่มองอยู่ก็รีบคว้าลีน่าเอาไว้ จากนั้นตีมือให้นางปล่อยเชือก ปลายเชือกหมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็วราวกับตกอยู่ในกระแสน้ำวน ผ่านไปครู่หนึ่ง กระเป๋าก็กระเด็นออกมาจากฝั่งตรงข้ามและกลิ้งไปบนพื้นราวกับแสงบ้วนออกมา
“…!”
ดวงตาของทั้งสามคนที่เห็นกระเป๋าเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ก่อนกระเป๋ายังอยู่ในสภาพดีอยู่เลย แต่ช่วงเวลาที่ผ่านไปไม่ถึงวินาทีกระเป๋ากลับขาดวิ่นเสียแล้ว ราธบันดึงมันมาตรงหน้าและพิจารณา
“นี่ไม่ใช่ฝีมือปีศาจ”
แม้ตอนแรกจะคิดว่าอาจจะถูกโจมตีจากปีศาจของโลกฝั่งตรงข้าม แต่กลับไม่พบรอยเล็บเท้าที่กระเป๋าเลย
“ถ้างั้นทำไม….”
หลังจากสำรวจอีกครู่หนึ่ง ราธบันก็ลองลูบไปทั่วกระเป๋าอย่างระมัดระวัง แล้วตอบ
“นี่เป็นซากเก่าแล้วขอรับ”
“หมายความว่าอย่างไร? เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไรเอง”
คำพูดของราธบันทำให้ลีน่ากับอัศวินมองกระเป๋า แม้ตอนแรกจะยังนึกว่าราธบันเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ต้องพูดไม่ออก เพราะกระเป๋ามันเก่าจนดูเหมือนมันถูกโยนทิ้งไว้ที่ไหนมากกว่าสิบปีแล้วจริงๆ
“…”
ขนพลันลุกขึ้นมาตามแผ่นหลัง ที่แห่งนี้เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีแต่โลกฝั่งนั้นกลับผ่านไปเป็นเวลานานแล้ว ลีน่ากล่าวกับอัศวินที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ขอบคุณที่ช่วยนำทาง พวกเราอยากจะตรวจสอบอะไรอีกสักหน่อยแล้วค่อยไป ช่วยไปรอข้างนอกก่อนนะ”
“…เข้าใจแล้วขอรับ”
อัศวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค้อมศีรษะและเดินหลบทั้งสองคนอย่างระมัดระวังออกไป คำสั่งที่เขาได้รับมาคือห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ที่แห่งนี้ และต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ที่จะมาถึงอย่างไม่มีเงื่อนไข