เล่ม 1 ตอนที่ 344 นางเก่งกาจังเลยอ่ะ!

ราชินีพลิกสวรรค์

อินซุ่ย

แฮร่ๆๆๆๆ!

เสียงคำรามดังขึ้นเรื่อยๆ ไปทั่วสารทิศ ถาโถมเข้าใส่ทั้งสามคนราวกับกระแสน้ำ ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้หนังหัวชาหนึบโดยไม่รู้ตัวเหมือนทั้งร่างตกสู่ถังน้ำแข็ง ความรู้สึกหวาดผวากำลังกลืนกินสติของพวกเขา

“อินซุ่ยพวกนี้คืออะไรกันเนี่ย!” ลู่เสวียนได้ยินเสียงพึมพำของเหวินเหรินชิ่งชิ่งอย่างชัดเจน

ทั้งสามขยับมาชิดกันแล้วจ้องมองศพเหล่านั้นที่กำลังปีนป่ายขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน

“อินซุ่ยคือไสยศาสตร์ชั่วร้ายแขนงหนึ่ง เป็นการเรียกคนที่ตายไปแล้วให้กลับมาและควบคุมเอาไว้ ศพเหล่านี้จะต้องถูกปลุกเสกขึ้นมาโดยเจ้าของสุสานเพื่อป้องกันไม่ให้ใครบุกเข้าไปในสุสานได้!” เหวินเหรินชิ่งชิ่งรีบอธิบาย

“แฮร่ๆๆ!”

เสียงคำรามดังมาจากทางข้างของลู่เสวียน

เขาตั้งรับโดยการปล่อยพลังวิญญาณเพื่อยับยั้งเอาไว้ เมื่อปล่อยพลังวิญญาณพุ่งเข้าใส่ศพเหล่านั้นก็ถูกโจมตีจนกระเด็นลอยออกไป แต่ยังไม่ทันที่ความตื่นตระหนกในดวงตาเขาจะจางหายไป ศพเหล่านั้นที่เขาได้โจมตีปีนกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วพุ่งเข้าหาเขาอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทำไมถึงไม่เป็นอะไรสักนิดเลยล่ะ!” ลู่เสวียนหน้าถอดสี

เหวินเหรินชิ่งชิ่งหัวเราะเย้ยหยัน “พวกมันก็ตายไปแล้ว ไม่รู้สึกเจ็บหรอก โจมตีเยี่ยงนี้จะกำราบพวกมันได้อย่างไร”

แววตาของลู่เสวียนเฉียบคม เมื่อเขาลุกขึ้นแสงสีทองระเบิดออกมาจากด้านหลังของเขา กรงเล็บของวิญญาณยุทธ์หลอมรวมกับมือทั้งสองข้างของเขา เขาจับอินซุ่ยที่ดาหน้ากันเข้ามาเอาไว้และตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมทั้งฉีกทึ้งพวกมันขาดเป็นสองท่อน

อินซุ่ยที่ฉีกขาดถูกเขาเหวี่ยงทิ้งไปสองด้าน เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดุดัน “คราวนี้ได้ตายสมใจแล้วสิ!”

อินซุ่ยหลังจากที่ถูกเขาฉีกร่างก็ตกไปกองกับพื้น ถึงแม้พวกมันจะกลับมาสู้ไม่ได้อีก แต่ท่าทางที่พวกมันตะเกียกตะกายขึ้นมายังทำให้รู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ

“ตอนนี้ก็จัดการกับพวกอินซุ่ยได้ไม่ยากแล้ว” ใบหน้าขาวซีดของลู่เสวียนยกยิ้มแข็งกร้าว

เหวินเหรินชิ่งชิ่งเอ่ยเตือนเขา “อันที่จริง แม้อินซุ่ยจะไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายระดับสูง แต่เจ้าดูสิว่าในนี้มีจำนวนมากมายขนาดไหน”

แฮร่ๆๆ

สายตาขอเขามองอินซุ่ยที่มีไม่วันจบไม่สิ้น จึงทำให้ลู่เสวียนแค่นยิ้มค้างที่ใบหน้า ความหนักแน่นฉายชัดในแววตายิ่งขึ้น

“ฆ่าไปส่วนหนึ่งก่อนแล้วค่อยหาโอกาสหนีออกไป” เมื่อเจียงหลีพูดจบก็เปล่งแสงสีทองออกมาจากข้างหลังและกรงเล็บของเลี่ยเทียนซื่อก็ผนึกรวมเข้าบนมือของนางเช่นกัน

พลังวิญญาณที่ระเบิดขึ้นมากะทันหันทำให้เหวินเหรินชิ่งชิ่งตกใจมองสาวน้อยข้างกายอย่างสั่นสะท้าน นางแข็งแกร่งมาก! แม้จะไม่รู้ลึกรายละเอียดเกี่ยวกับอาณาเขต แต่พลังที่ระเบิดออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้เหวินเหรินชิ่งชิ่งรู้สึกถึงความแข็งแกร่งมหาศาลได้

“อย่าให้อินซุ่ยพวกนี้ทำร้ายตนเองจนบาดเจ็บล่ะ แค่พวกมันข่วนหรือกัดจนบาดเจ็บก็จะถูกพลังชั่วร้ายเข้าสู้ร่างกายแล้วกลายเป็นอินซุ่ยเหมือนพวกมันได้” เมื่อเหวินเหรินชิ่งชิ่งเห็นเจียงหลีบุกเข้าไปจึงรีบเอ่ยเตือน

“หึ ยังมีเรื่องเช่นนี้อีกด้วย เมื่อครู่นี้ไม่เห็นเจ้าจะบอกข้าเลย!” เมื่อสิ้นเสียงของนางก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดน่ากลัวดังขึ้นมาจากข้างกายของนาง

เหวินเหรินชิ่งชิ่งกลอกตามองเขา เพื่อทำให้ความกลัวในใจสงบลงจึงปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกไปเข่นฆ่าเช่นกัน

“กระต่ายน้อย” หลังจากลู่เสวียนเห็นวิญญาณยุทธ์ตัวแรกของเหวินเหรินชิ่งชิ่งก็เอ่ยพึมพำออกมา จากนั้นเค้าจึงค้นพบว่ากระต่ายที่สามารถกลายเป็นวิญญาณยุทธ์ได้ต้องไม่ใช่กระต่ายธรรมดาอย่างแน่นอน

ภายใต้การเพิ่มพลังจากวิญญาณยุทธ์ เหวินเหรินชิ่งชิ่งมีความรวดเร็วอย่างยิ่งราวกับกระแสไฟสีขาว อีกทั้งพลังการกระโดดยังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย เมื่อมองจากระยะไกลๆ ลู่เสวียนจึงเห็นเพียงแค่จุดสีขาวที่กระโดดไปมาเพื่อฆ่ากองทัพอินซุ่ยเท่านั้น

ตู้ม!

วิญญาณยุทธ์ตัวที่สองของเหวินเหรินชิ่งชิ่งก็ถูกปลดปล่อยออกมาเช่นกัน

รูปลักษณ์ของมันคือนกชนิดหนึ่งเหมือนนกอินทรี เมื่อวิญญาณยุทธ์นี้ปล่อยออกมามันช่วยเสริมพลังโจมตีที่ขาดหายไปของวิญญาณยุทธ์ตัวแรกจึงทำให้การโจมตีของเหวินเหรินชิ่งชิ่งดุเดือดรุนแรงและรวดเร็วยิ่งขึ้น

“ไม่ธรรมดาจริงๆ!” ลู่เสวียนอุทานออกมา

“เจ้ามัวอึ้งอะไรอยู่” เสียงของเจียงหลีดังขึ้น ทำให้ลู่เสวียนจึงดึงสติกลับมาได้

เขาข่มใจไม่ให้สนใจเหวินเหรินชิ่งชิ่งที่อยู่ด้านนั้นอีกแล้วก็เพิ่มความดุเดือดในการต่อสู้ด้วยเช่นกัน

ทั้งสามรวมพลังในรูปของสามเหลี่ยม ป้องกันแต่ละด้านกำราบกองทัพอินซุ่ยไม่ให้เข้ามาใกล้ ใต้ฝ่าเท้าและข้างกายของพวกเขาไม่ว่าหนแห่งไหนล้วนมีแต่เศษชิ้นส่วนศพของอินซุ่ยจนนับไม่ถ้วน

แต่ทว่ามือและเท้าของซากศพเหล่านี้ยังคงเคลื่อนไหวอย่างกระสับกระส่าย พวกมันดึงขากางเกงหรือพันแข้งพันขาพวกเขา

“สมควรตาย! อินซุ่ยพวกนี้เซ้าซี้เร้าหรือจริงๆ” ลู่เสวียนเตะมือที่จับขากางเกงของเขากระจุยด้วยสีหน้ารำคาญ

“พูดไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อินซุ่ยพวกนี้คงสูบพลังวิญญาณเราจนหมดแน่ ในไม่ช้าเราก็จะตายกันอยู่ที่นี่” เจียงหลีตวาดลั่นใส่เขา

ลู่เสวียนหุบปากแนบสนิทไม่วอกแวกอีก จากนั้นจึงรวบรวมสมาธิทั้งหมดไปจัดการอินซุ่ย

ทั้งสามต่อสู้และถอยกลับค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ทางเดินด้านนั้น แล้วพวกอินซุ่ยก็ยังตามมาไม่หยุด กระโจนเข้าใส่ซึ่งกันและกันเกาะแกะพวกเขา

เสียงคำรามน่ากลัวของอินซุ่ยดังก้องอยู่ในถ้ำตลอดเวลาไม่หยุดพัก

ใบหน้าขาวซีดดุดันก่อให้เกิดอาการหนาวสั่นเข้าไปในกระดูกสันหลัง

ในที่สุดทั้งสามคนก็มาถึงส่วนท้าย ด้านหลังของพวกเขาคือหน้าผาสูงสิบจั้ง เหนือหน้าผาคือสะพานขาดครึ่งและปลายอีกด้านของสะพานขาดเป็นทางเดียวที่จะออกจากที่แห่งนี้

“ขึ้นไป!” เจียงหลีสั่งพวกเขาสองคน

ลู่เสวียนถ่ายเทพลังวิญญาณไปที่ขาสองข้างโดยไม่ต้องคิด เขาออกแรงถีบตัวร่างของเขาเหาะกลางอากาศห่างจากพื้นดินสามจั้ง ในขณะที่กำลังจะพาร่างลงมา เขามีวิญญาณยุทธ์เพิ่มขึ้นกลายเป็นกรงเล็บเกาะไปที่หน้าผาอย่างแรง

และเมื่อกรงเล็บสัมผัสกับหน้าผากลับไม่สามารถสั่นสะเทือนได้เลย บนหน้าผาเหลือทิ้งไว้เพียงประกายไฟและร่องรอยการเสียดสีเล็กน้อยเท่านั้น

ลู่เสวียนหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายลื่นไถลอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าไหล่หนักอึ้งกว่าเดิม เขาลื่นไถลลงด้วยความเร็วยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเงาร่างเพรียวระหงส์กลับยืมของแรงเขาถีบส่งตัวเองให้กระโดดขึ้นไปบนสะพานขาด

“เจ้า!” ลู่เสวียนลงสู่พื้นดินแต่บนบ่าของเขายังทิ้งรอยเท้าไว้ดูต่างหน้า เขาจ้องเหวินเหรินชิ่งชิ่งที่ยืนบนสะพาดขาดด้วยความโกรธเคือง

“ข้าอะไรล่ะ เจ้าขึ้นมาได้หรือเปล่า” เหวินเหรินชิ่งชิ่งตอบกลับทันควัน การเคลื่อนไหวในมือของนางไม่ช้า นางหยิบเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายด้านหลัง ปลายเชือกด้านหนึ่งผูกเอวตัวเองเอาไว้ส่วนปลายอีกด้านทิ้งตัวลงไปในเหวลึก

ลู่เสวียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเชือก เขาคิดว่าเหวินเหรินชิ่งชิ่งจะหนีไปคนเดียวเสียอีก

“มัวอึ้งทำอะไรอยู่” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับสักที เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็เลยกระตุ้นเขา

ลู่เสวียนได้สติกลับมาจึงหันไปพูดกับเจียงหลี “เจ้าไปก่อน”

เมื่อขาดการป้องกันจากเหวินเหรินชิ่งชิ่งไปสักคน อินซุ่ยในเหวลึกพวกนั้นก็ยิ่งตามมาเร็วยิ่งขึ้น

“หลังตำหนักของเจ้าสามารถสกัดกั้นได้หรือ ไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย รีบไปเดี๋ยวนี้!” เจียงหลีไม่หันกลับมามองอีก เมื่อนางตวัดมือขวาสร้อยข้อมือก็ปรากฏออกมา ทันใดนั้นก็กลายเป็นแส้ยาวในกำมือของนาง

เพี๊ยะ!

แส้ยาวสีม่วงถูกนางฟาดออกมาราวกับกระแสไฟพาดผ่านโจมตีไปยังอินซุ่ยพวกนั้น เพียงแส้หวดเดียวก็ฟาดเอาอินซุ่ยที่รายล้อมเข้ามาแตกกระจุยกระจาย

ลู่เสวียนขบกรามและหันหลังกลับไปจับเชือกเอาไว้ให้แน่น จากนั้นจึงอาศัยพลังของเหวินเหรินชิ่งชิ่งปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

เพี๊ยะๆๆๆ

เสียงแส้ดังก้องในเหวลึกไม่หยุดหย่อน

เมื่อขาทั้งสองข้างของลู่เสวียนถึงพื้นก็เห็นเหวินเหรินชิ่งชิ่งเบิกตาโตอ้าปากค้าง “นางเก่งกาจจังเลยอ่ะ!”

เขาเบนสายตากลับมาก็เห็นเจียงหลีผู้เดียวที่ถือแส้ยาวหวดกองทัพอินซุ่ยให้ไม่มีทางเข้าใกล้เลยสักกระผีก