เล่ม 1 ตอนที่ 345 ปีศาจเฝ้าสุสาน?

ราชินีพลิกสวรรค์

แส้ยาวในมือของเจียงหลีว่องไวราวกับงูเลื้อยไปมาท่ามกลางกองทัพอินชุ่ย นางถือแส้ไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหลอมรวมกับกรงเล็บเลี่ยเทียนซื่อคุ้มกันและสกัดกั้นทหารนับพันอยู่ด้านล้างหน้าผาเพียงผู้เดียว

เหวินเหรินชิ่งชิ่งจ้องเงาร่างของนางด้วยสายตาเร่าร้อน

ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่นางโหยหาตลอด!

“เร็วเข้า!” ลู่เสวียนเคยเห็นความเก่งกาจของเจียงหลีไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตกตะลึงเหมือนเหวินเหรินชิ่งชิ่งขนาดนั้น

เพี๊ยะ!

แส้ยาวถูกฟาดออกไปอีกครั้งและโจมตีอินซุ่ยที่รายล้อมจนกระเด็นเซ่นซ่าน เจียงหลีรีบถอยไปยังหน้าผาอย่างรวดเร็วเพื่อคว้าเชือกเอาไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ยังหวดแส้ “ถอยไป!”

แฮร่ๆ!

อินซุ่ยถูกนางหวดจนร่นถอยไป ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งจึงออกแรงดึงเชือกรีบดึงเจียงหลีให้ขึ้นมาอยู่บนสะพานขาดนั้นด้วยกัน

เมื่อสองขาถึงพื้น แส้ในมือของเจียงหลีก็กลายร่างเป็นกำไลสวมข้อมือนางซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น ล่างเหวลึกยังคงได้ยินเสียงร้องคำรามของอินซุ่ยดังขึ้นมาไม่ขาดสาย เพียงแต่ว่าตรงนี้สูงเกินไป แม้พวกมันพยายามจะปีนป่ายกระโดดขึ้นมายังไม่สามารถเข้าใกล้ทั้งสามคนบนสะพานขาดได้

“เจ้าเป็นใครกันแน่” แววตาตกตะลึงของเหวินเหรินชิ่งชิ่งปราดมองตั้งแต่ข้อมือของเจียงหลีจรดใบหน้าของนาง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าดวงตาสดใสบนใบหน้าดูธรรมดานี้ช่างมีเอกลักษณ์โดดเด่น

การกระทำของเจียงหลีเมื่อครู่นี้ทำให้นางไม่เชื่ออีกว่านางจะเป็นเพียงนางกำนัลรับใช้ที่ตามประกบลู่เสวียนเท่านั้น

“ข้าเป็นคนดี” เจียงหลีกระหยิ่มยิ้ม นางไม่มีทางเผยตัวตนง่ายๆ หรอกนะจะบอกให้

“…” เหวินเหรินชิ่งชิ่งเบะปาก นี่มันคำตอบอะไรกัน

“รีบไปกันเถอะ อินซุ่ยพวกนี้คุ้มกันอยู่ที่นี่ หรือพวกเจ้าอยากจะสู้กับมันอีกล่ะ” ลู่เสวียนยืนขึ้นเบียดตรงกลางระหว่างสองคน ขัดจังหวะสายตาของพวกนางแล้วเอ่ยเร่งเร้า

เมื่อกล่าวถึงอินซุ่ย เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็มีสีหน้าขาวซีดอีกครั้งแล้วไม่เซ้าซี้ถามเกี่ยวกับสถานะที่แท้จริงของเจียงหลีอีก นางจึงบ่นขมุบขมิบ “ไปสิๆ”

ทั้งสามเดินเข้าสู่เส้นทางเดียวที่เหลืออยู่ แม้ข้างในจะแคบแต่ก็ยังสามารถรองรับทั้งสามคนได้ เมื่อเดินไกลออกไปเสียงคำรามของอินซุ่ยถึงจะค่อยๆ เงียบหายไป

“พวกมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดเลยหรือไม่” หลังจากลู่เสวียนมีสีหน้าผ่อนคลายลงก็เอ่ยถามอย่างสงสัย

เหวินเหรินชิ่งชิ่งส่ายหน้าช้าๆ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ข้าเคยอ่านเจอในตำราเล่มหนึ่ง หากอินซุ่ยไม่มีพลังของคนเป็นคอยไปกระตุ้นมันก็จะสงบลง แต่ข้าก็พึ่งเคยเจออินซุ่ยเป็นครั้งแรก ไม่รู้เป็นเช่นนี้จริงหรือเปล่า ข้าไม่รู้เหมือนกัน”

“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรพวกมันก็กระโดดขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว!” ลู่เสวียนยกมือขึ้นปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า เขากลับคืนสู่สภาพสงบได้ตั้งนานแล้ว

ทุกสรรพสิ่งบนโลก ล้วนมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้จริง ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ เจียงหลีก็ลอบถอนหายใจ

ตั้งแต่กลับชาติมาเกิด หากนางไม่ได้ฝึกฝนในสถาบันไป๋หยวน หรือไม่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงจากอำนาจราชสำนัก นอกจากอาณาเขตหลิงอู่ ยังมีสนามสอบของสถาบันไป๋หยวน นางยังไม่เคยได้สัมผัสกับประสบการณ์การผจญภัยเยี่ยงนี้อีกแล้ว

การกระตุ้นเยี่ยงนี้ทำให้เลือดในกายของนางเริ่มพลุ่งพล่าน

สำหรับดินแดนซีฮวงแล้วก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่ากันว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว้างใหญ่ดั่งผืนเมฆ แต่สำหรับโลกภายนอกที่ยิ่งกว้างใหญ่กว่านั้น นางเต็มไปด้วยความแสวงหามันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อีกไม่นาน เมื่อฝุ่นตกตะกอน ข้าก็จะสามารถเดินออกจากหนานฮวงไปยังโลกที่กว้างขึ้น เจียงหลีเอ่ยในใจ

ทั้งสามคนเดินอย่างระมัดระวังบนทางเดินอันยาวไกล

ด้วยกองทัพอินซุ่ยก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกสุสานโบราณแห่งนี้อีก ใครจะไปรู้ว่าข้างในมีอะไรกำลังรอคอยพวกเขาอยู่

“แผนผังของสุสานโบราณไม่ปรากฏบนแผนที่หรอกหรือ” ในสามคนนี้มีเพียงเจียงหลีคนเดียวที่ไม่เคยเห็นแผนที่มาก่อนจึงเอ่ยถาม

ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งส่ายหน้าพร้อมกัน เหวินเหรินชิ่งชิ่งเป็นฝ่ายตอบ “มีเพียงเส้นทางเข้าสุสานโบราณเท่านั้น สำหรับแผนผังของสุสานโบราณหรือขนาดใหญ่เท่าใดก็ไม่ได้บอกเอาไว้”

“เช่นนั้นพวกเราทำได้เพียงเสี่ยงดวงแล้วล่ะ” เจียงหลีแสยะยิ้ม

เดินไปสักพัก หนทางข้างหน้ายังคงคดเคี้ยวไม่เห็นปลายทาง แล้วก็ไม่มีกลไกใดๆ ในนั้น

“โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหลิงจงหรือเนี่ยนจง พวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญขั้นสูงสุดของดินแดนหนานฮวง สุสานของพวกเขาต้องยิ่งใหญ่แน่นอน ทั้งยังต้องมีผู้คุ้มกันมากตามอีกด้วย พวกเราเดินมานานขนาดนี้ นอกจากอินซุ่ยที่เจอไปก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่เจอเรื่องอื่นๆ ฉะนั้นอธิบายได้แค่ว่าพวกเรายังคงอยู่ในชายขอบนอกสุดของสุสานโบราณ”

“ยังคงอยู่ในชายขอบนอกสุดอย่างนั้นหรือ ตกลงสุสานโบราณนี่ใหญ่ขนาดไหนกันแน่” เมื่อลู่เสวียนได้ยินคำพูดของเจียงหลี จู่ๆ เขาก็หยุดเดินแล้วมองนางด้วยความประหลาดใจ

เจียงหลียักไหล่แล้วเดินอ้อมเขาไปข้างหน้า “ใครจะไปรู้ล่ะ”

“…”

“…”

ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งมองเงาร่างสง่าผ่าเผยของนางอย่างพูดไม่ออก เดิมทีพวกเขาคิดว่า นางอาจจะมีข้อสรุปดีๆ ให้บ้างแต่ดูผลลัพธ์สิ เหอะ!

ทั้งสามยังคงคลำหาทางเดินต่อไป เมื่อเดินได้เกือบครึ่งวัน พวกเขาค้นพบว่ามีแสงริบหรี่อยู่ข้างหน้า

“ในที่สุดก็จะเดินออกไปแล้วหรือ นับว่าข้ารู้ว่าทำไมการฝึกประสบการณ์ของกฎครั้งนี้ของตระกูลไป๋

เซี่ยงถึงได้กินเวลานานขนาดนี้” เหวินเหรินชิ่งชิ่งเพิ่มความเร็วในการก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น

อย่างไรก็ตามยังคงอยู่ชายขอบของสุสานโบราณทำให้พวกเขาล่าช้าเป็นเวลานานขนาดนี้ นับประสาอะไรกับใจกลางสุสานโบราณจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

แสงสว่างข้างหน้ากระตุ้นให้พวกเขาทั้งสามเร่งฝีก้าว

ในที่สุดพวกเขาก็ก้าวออกมาจากทางยาว ขาก้าวข้ามออกมาจากที่ๆ มีแสงสว่าง

เจียงหลีรู้สึกแค่ว่าทันใดนั้นข้างหน้าเปิดกว้าง โชคดีที่แสงไม่แยงตามากเท่าไหร่จึงไม่มีผลกระทบต่อสายตามากนัก

“ที่นั่นน่าจะเป็นประตูสู่โถงหลักของสุสานใช่หรือไม่!” ลู่เสวียนชี้ด้านหน้าที่ไม่ไกลนักเมื่อประตูหินสูงใหญ่ตั้งตระหง่านแล้วเอ่ยขึ้น

“เจียงหลีถอนสายตาแล้วมองไป เห็นเพียงประตูหินสูงหลายจั้ง กว้างประมาณสามจั้ง ด้านข้างประตูหินยังมีเสาหิน ด้านล่างประตูหินยังมีบันไดเป็นขั้นๆ ลงไป

นอกจากนี้ในพื้นที่ว่างนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีกแล้ว

“ต้องใช่แน่ๆ!” เหวินเหรินชิ่งชิ่งรีบก้าวขึ้นบันไดยืนตรงหน้าประตูหิน

นางเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังด้านบนสุดของประตูหิน ประตูหินสูงใหญ่ทำเอานางเหลือตัวเล็กเพียงกระจิ๊ดเดียว

นางยกแขนขึ้นดันประตูหินโดยไม่ต้องคิดแล้วถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ประตูหินเพื่อให้มันเปิดออก

“อ้าก!” ใช้พลังทั้งหมดดันออกไปแต่ประตูหินกลับไม่ขยับเขยื้อนสักกระผีก

เหวินเหรินชิ่งชิ่งรู้สึกเหนื่อยล้าจึงหันไปพูดกับลู่เสวียนและเจียงหลี “พวกเจ้ามัวยืนบื้ออยู่ทำไม รีบเข้ามาช่วยข้าสิ”

ลู่เสวียนรีบขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเลเพื่อช่วยเหวินเหรินชิ่งชิ่งดันประตู

แต่เจียงหลีกลับไม่ได้ให้ความสนใจกับประตูหิน แต่นางกลับมองไปที่เสาหินสูงใหญ่ด้านข้างประตู

บนเสาหินมีการแกะสลักรูปสัตว์ประหลาดคล้ายมังกรหรืองูที่กำลังคดเคี้ยว ลายแกะสลักนี้ดูมีชีวิตชีวา เกล็ดบนร่างสัตว์ประหลาดราวกับว่ามันมีชีวิตจริงๆ และชัดเจนมาก มันมีสีหน้าดุดันน่ากลัว ปากอ้ากว้างเผยให้เห็นเขี้ยวคม บนกะโหลกศีรษะมีเขาหกเขาที่ทอดยาวเหมือนยอดเขา ที่คอของมันเชื่อมต่อกับปีกใหญ่ที่แผ่กางออกเหมือนร่ม

“ทำไมประตูหนักขนาดนี้เนี่ย เราสองคนช่วยกันผลักยังไม่ขยับเลยสักนิด นี่! เจ้าแอบอู้ไม่ออกแรงใช่ไหม” เหวินเหรินชิ่งชิ่งเอ่ยอย่างท้อใจ

“ระวัง!”

ยังไม่ทันที่ลู่เสวียนจะตอบนางก็ได้ยินเสียงร้องเตือนของเจียงหลีดังมาจากด้านหลัง

“โฮกกกก!”

ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามน่ากลัวสองเสียงราวกับฝ้าผ่าดังปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา

………………………