หมอกไปที่พ่นออกมาจากปากหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายลมแรง เจ้าอี่โหลวเม้มริมฝีปากแน่น มือที่กุมดาบจวี้ชางมีเส้นเอ็นปูดขึ้น
เจ้าอี่โหลวนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “พวกเจ้าคิดจะให้ข้าฆ่าตัวตายรึ”
ชูหลี่จี๋เบือนหน้าหนี “เปล่า”
การที่วีรบุรุษฆ่าตัวตาย ผู้คนอาจคิดว่าเขาถูกฆ่าปิดปาก หากแพร่กระจายออกไปชื่อเสียงของรัฐฉินก็จะไม่ใคร่ดีนัก “เจ้าจงไปที่พระราชวังด้วยดาบในมือของเจ้า”
นี่มันความผิดฐานกบฏเชียวนะ! เจ้าอี่โหลวแสยะยิ้ม “ที่แท้ก็มีความตั้งใจเช่นนี้นี่เอง!”
ชูหลี่จี๋อยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงจั้ง ไร้การป้องกัน ซ่งเจียนก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วจ่อดาบไปที่คอของเขา จ้องมองไปยังผู้อารักขาลับ “พวกเจ้าถอยออกไป ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเขาเสีย!”
ศิลปะการต่อสู้ของเขาสูงกว่าผู้อารักขาลับมาก การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วทำให้กลุ่มที่ปิดล้อมไม่มีเวลาตอบโต้
ในที่สุดหินก้อนใหญ่ในใจของชูหลี่จี๋ก็เบาบางลง
“ท่านแม่ทัพ พวกเราไปกันเถิด!” ซ่งเจียนลากชูหลี่จี๋มาใกล้เจ้าอี่โหลว
ผู้อารักขาลับได้รับคำสั่งลับว่าห้ามฆ่าเจ้าอี่โหลว อีกทั้งซ่งเจียนและชูหลี่จี๋ก็อยู่ใกล้กันมากจนไม่อาจลงมือได้ ทำได้เพียงเฝ้าดูพวกเขาจากไป
ทั้งสองคนจับชูหลี่จี๋เป็นตัวประกันออกไปไกลเจ็ดถึงแปดลี้ พวกเขาแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทำได้เพียงหาที่เงียบๆ เพื่อขุดถ้ำหิมะและซ่อนตัว
“ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวา” เจ้าอี่โหลวสะบัดดาบของซ่งเจียนออก “เหตุใดท่านจึงไม่ตอบโต้?”
คนอื่นไม่รู้ว่าศิลปะการต่อสู้ของชูหลี่จี๋นั้นแข็งแกร่ง ทว่าเจ้าอี่โหลวรู้ดีว่าแม้ศิลปะการต่อสู้ของชูหลี่จี๋ไม่เทียบเท่าซ่งเจียน แต่หากเขาตั้งใจที่จะตอบโต้จริงๆ ซ่งเจียนก็ไม่สามารถควบคุมเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้
“เจ้าไปเถิด” ชูหลี่จี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “เมื่อครู่ที่ข้าพูดล้วนเป็นการหลอกเจ้า ฝ่าบาทจะไม่ปล่อยเจ้าหรือหวยจินไปแม้แต่คนเดียว! ชีวิตของหวยจินอยู่ในรัฐฉิน ข้าไม่คิดว่านางจะมีข้อตำหนิใดๆ แต่ว่า…ข้าคบกับนางมาหลายปี รู้ว่านางรู้สึกละอายใจต่อเจ้าแต่ก็ทิ้งเจ้าไม่ลง สิ่งที่ข้าสามารถทำให้นางได้ก็มีเพียงเท่านี้…เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป คิดเสียว่าทำเพื่อหวยจิน”
ชูหลี่จี๋พลิกมือคว้าดาบของซ่งเจียน แทงเข้าที่หน้าอกของตัวเองอย่างไร้ความปรานี
“ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวา!” เจ้าอี่โหลวประคองเขา
“ข้าไม่เหมาะที่จะเป็นกุนซือจริงๆ” ชูหลี่จี๋หัวเราะเยาะตัวเอง ดึงดาบออกมา ทรุดตัวลงกับพื้นตามความช่วยเหลือของเจ้าอี่โหลว
เลือดสดๆ ไหลชุ่มหิมะสีขาว
ถ้าเขาสามารถรักษาคุณธรรมและละทิ้งสิ่งเล็กน้อยได้จริง ในตอนนั้นอาจารย์ก็คงจะไม่ตั้งชื่อเขาว่า “ซิงโส่ว” เพื่อเป็นการย้ำเตือนแล้ว เขาเป็น “ผู้มีปัญญา” ในสายตาผู้อื่นแต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตนเป็นผู้พ่ายแพ้! คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ไร้ความปราณี เขาต้องการทิ้งภาระของความเสน่หาและมีจิตใจเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับอิ๋งซื่อแต่เขากลับทำไม่ได้
อย่างไรก็ดีโลกใบนี้จะสมบูรณ์ทั้งสองด้านได้อย่างไร? ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เพียงผิดหวังต่อความรัก ทั้งยังผิดหวังต่อใต้หล้าอีกด้วย
ชูหลี่จี๋หยิบผงยาออกจากแขนเสื้อและทาลงบนแผล บัดนี้ท่อนล่างของเขาเต็มไปด้วยเลือดแล้ว
“ไปเถิด ผู้อารักขาลับมีวิธีตามหาคน ข้าเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดเช่นนี้ คิดว่าไม่ถึงหนึ่งเค่อก็จะถูกพบตัวแล้ว” ชูหลี่จี๋กล่าว
เจ้าอี่โหลวเอ่ยด้วยความโมโห “เหตุใดต้องฆ่าหวยจินด้วย! นางภักดีต่อรัฐฉินเสมอมา อิ๋งซื่อตาบอดไปแล้วหรือ!”
“ฝ่าบาทไม่มีวันเชื่อคนอื่นโดยปราศจากเงื่อนไข ข้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของฝ่าบาท เขายังใช้ประโยชน์จากข้า นับประสาอะไรกับซ่งหวยจินเล่า!” ชูหลี่จี๋เป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะมาโดยตลอด เพื่อประโยชน์ของต้าฉินแล้ว เขาเต็มใจที่จะผูกพันกับอิ๋งซื่อเสมอมาดังนั้นอิ๋งซื่อจึงเชื่อใจเขา
เขาสงสารเจ้าอี่โหลวแต่ก็จำเป็นต้องโหดร้าย “ฝ่าบาทเข้าใจหวยจินดีกว่าเจ้า เขารู้ว่าเหตุใดนางถึงพยายามอย่างเต็มที่เขาจึงไม่สามารถทนต่อนางได้อีก นับตั้งแต่ตอนที่จวงจื่อตัดนิ้วแทนนาง ฝ่าบาทได้กุมชีวิตของหวยจินไว้ในมือของเขาแล้ว พร้อมที่จะเอาไปได้ทุกเมื่อ หวยจินก็เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นนางจึงวางแผนที่จะล่าถอยไม่ใช่หรือ?”
โลกแห่งสันติสุขที่อธิบายไว้ในตอนท้ายของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ฉบับปลอมนั้นคือเป้าหมายของนางและความปรารถนาของจวงจื่อ
นางแบกรับความคาดหวังของอาจารย์ไว้และมีความมุ่งมั่นของตัวเอง ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งวันนางก็จะไม่ยอมแพ้ สำหรับรัฐฉิน มันเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกของนางเท่านั้น
อิ๋งซื่อเห็นสิ่งนี้ชัดเจนตั้งแต่นั้นมา หากกษัตริย์องค์ต่อไปมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์โดยรวม เขาก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าซ่งชูอีและเจ้าอี่โหลว อิ๋งตั้งมีความเกลียดชังอย่างชัดเจนแต่กลับไม่มีความสามารถในการแยกแยะ หากเขาเชื่อซ่งชูอีก็จะถูกซ่งชูอีควบคุมได้ง่าย ถ้าวันหนึ่งฟังคนใส่ร้ายแล้วกลับลำ ไล่ซ่งชูอีไปยังรัฐอื่น ซ่งชูอีก็จะยอมแพ้เช่นนั้นหรือ?
ไม่มีทาง!
คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดนั้นสามารถมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น หัวใจของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง อิ๋งซื่อเห็นมานัดต่อนักแล้ว!
เขาไม่มีความเศร้าโศกในใจครั้นเดินมาถึงตรงนี้หรือ? เขาเสียสละเรื่องส่วนตัว ทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเขา เลือดที่เต็มไปด้วยความกะตือรือร้นของเขา ความทะเยอทะยานของเขา เขาเหวี่ยงแหค้นหาผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้า พร้อมที่จะทำการต่อสู้ครั้งใหญ่ อย่างไรก็ดีทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้นก็กำลังจะจบลงเสียแล้ว
ไม่ว่าจะสู้แค่ไหนก็สู้ชะตากรรมไม่ได้!
ชูหลี่จี๋ตัดพ้อว่าหากสวรรค์ให้เวลาอิ๋งซื่ออีกสักหลายสิบปี เมื่อพวกเขาแก่ชราแล้วจะต้องสามารถจากไปด้วยโรคชราได้อย่างแน่นอน…
นิ้วของเจ้าอี่โหลวลูบผ่านจวี้ชางแผ่วเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะทิ้งนางตามลำพังได้อย่างไร”
เขาเหมือนจะพูดให้ตัวเองฟังแต่ก็เหมือนพูดให้ชูหลี่จี๋ฟัง “จนป่านนี้ข้ายังไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุ้มค่ากับการทำงานหนักของนาง แต่ข้ารู้สึกได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวของนาง ดังนั้นข้าจะต้องยืนในที่ที่นางสามารถเอื้อมถึงได้ทันทีที่หันกลับมา หากข้าสามารถมองเห็นนางได้ก็สบายใจแล้วแม้ว่าจะเป็นเพียงเบื้องหลังก็ตาม”
น้ำเสียงของเขาไพเราะมาก มันช่างทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งเมื่อเขากล่าวคำเช่นนั้น
ชูหลี่จี๋คบหากับซ่งชูอีมาสิบสองปี เขาทรยศนางแต่นางก็ยังคงสง่างามและสงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนประเภทเดียวกันกับอิ๋งซื่อ แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนที่เย็นชาเช่นนี้จึงไม่สามารถปล่อยเจ้าอี่โหลวไว้ตามลำพังได้
“เจ้า…” ชูหลี่จี๋ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรดี เขาไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้เขาจึงไม่เข้าใจ บางทีการอยู่และตายด้วยกันก็เป็นความสุขแบบหนึ่ง “บัดนี้ข้าทำเต็มที่แล้ว เจ้าตัดสินใจเองเถิด”
……
พระราชวังเสียนหยาง
อิ๋งซื่อเอนกายอยู่บนเบาะที่นั่ง ใบหน้าเย็นชาและผอมบางไร้ซึ่งการแสดงออก เพียงแค่เงยหน้ามองแผนที่ขนาดใหญ่ตรงหน้านิ่งๆ ราวกับรูปปั้น
“ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถากล่าวเสียงเบา
“อืม” อิ๋งซื่อตอบคำ
ขันทีเถารับยามาจากเด็กในวัง ใช้ช้อนตักใส่ปาก จากนั้นจึงจะป้อนให้อิ๋งซื่อ
จู่ๆ อิ๋งซื่อถามขึ้น “ได้ข่าวจากท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาบ้างหรือไม่?”
“ปิดบังฝ่าบาทไม่ได้เลยจริงๆ ได้ยินว่าท่านแม่ทัพเจ้าจับท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นตัวประกันพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่าเขาดูสงบ ขันทีเถาจึงพยายามพูดคุยกับเขา “บ่าวบังอาจปากมาก ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจิตใจอ่อนโยน เกรงว่าคงจะเกลี้ยกล่อมท่านแม่ทัพเจ้าไม่สำเร็จแต่กลับปล่อยตัวเขาไป”
“กว่าเหรินยังไม่เลอะเลือน” อิ๋งซื่อดื่มยาทั้งหมดรวดเดียว ปล่อยให้ขันทีเถาเช็ดมุมปาก “เขานึกว่าตัวเองปรารถนาดี แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นแค่การล่อลวง เจ้าเค่อไม่มีทางต่อต้านความตั้งใจของซ่งหวยจิน คราวนี้ต้องขอบคุณคำเกลี้ยกล่อมอย่างจริงใจของเขา”
อิ๋งซื่อกล่าว “นอกจากเขาแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้เจ้าเค่อกลับมาด้วยความเต็มใจ”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” ขันทีเถาค้อมตัวเอ่ย
หากชูหลี่จี๋รู้เค้าโครงเรื่องของอิ๋งซื่อทั้งหมด จะไม่ทำการเคลื่อนไหวเช่นนี้แน่ เขาเพียงแค่สับสน อิ๋งซื่อป่วยหนัก หลายอย่างไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงแสดงให้เห็นว่าเขาปฏิบัติต่อชูหลี่จี๋ในฐานะพันธมิตร ให้เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ละเลยต่อตัวเองก็เท่านั้น
“แผนครั้งสุดท้ายของกว่าเหรินนี้น่ะ…” อิ๋งซื่อหลับตาลงช้าๆ
คำพูดขาดหาย ขันทีเถารอเนิ่นนานก็ได้ยินเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงและเป็นจังหวะของอิ๋งซื่อ จึงรู้ว่าเขาผล็อยหลับไปอีกแล้ว