ที่จวนไท่ฟู่
แสงจันทร์ส่องสว่าง หนึ่งคนและหนึ่งหมาป่ายืนอยู่บนพื้นหิมะ ซ่งชูอีเหลือบมองสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
หลายวันนี้นางได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ในแผนของนาง นางควรจะออกเดินทางในอีกไม่กี่วัน ทว่าผู้ส่งสารที่สกุลฉือส่งให้ไปติดต่อกับเจ้าอี่โหลวยังไม่กลับมาสักคน นางรู้สึกว่าต้องออกไปด้วยตัวเอง
“นายท่าน องค์รัชทายาทขอพบเจ้าค่ะ” สาวใช้เข้ามารายงาน
ซ่งชูอีคิดว่ายังพอมีเวลาจึงเอ่ยว่า “ให้เขาเข้ามา”
“ไท่ฟู่!” อิ๋งตั้งวิ่งเข้ามาหายใจกระหืดกระหอบ “ไท่ฟู่ เสด็จพ่อจะฆ่าท่าน ท่านรีบหนีเสีย!”
ซ่งชูอีพยักหน้า
อิ๋งตั้งเห็นว่าใบหน้าของนางสงบนิ่ง ไร้ความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวที่คาดไว้โดยสิ้นเชิง อดที่จะประหลาดใจไม่ได้
“องค์รัชทายาทมาที่นี่ ไม่กลัวว่ากระหม่อมจะคิดร้ายกับท่านหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ยยิ้มน้อยๆ
อิ๋งตั้งดึงสติกลับมา รีบพูดขึ้น “ไท่ฟู่ปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับลูก ข้าเห็นไท่ฟู่เหมือนบิดา ท่านจะคิดร้ายต่อข้าได้อย่างไร! ไท่ฟู่ ท่านลักพาตัวข้าออกไปนอกนครเถิด! หลายปีมานี้ ไม่ว่าเสด็จพ่อคิดจะทำอะไรก็ไม่เคยออมมือเลย ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้”
“ท่านก็พูดเองว่าเขาไม่เคยออมมือ หากเขาคิดว่ากระหม่อมอาจทำลายท่าน ท่านจะสามารถหนีออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้หรือ?” ซ่งชูอีเดินเข้าไปหาอิ๋งตั้ง ยกมือขึ้นตบไหล่ของเขาเบาๆ ดุด้วยรอยยิ้ม “ไร้เดียงสา!”
“ตอนที่กระหม่อมเจอท่านครั้งแรก ท่านอายุยังน้อย ตอนนั้นกระหม่อมเพิ่งจะสูญเสียลูกของตัวเองไป” ซ่งชูอีลูบใบหน้าของเขาเบาๆ แววตาอ่อนโยน แต่คำพูดค่อยๆ คมชัดขึ้น “เวลาที่ต้องโหดเหี้ยม กระหม่อมไม่เคยออมมือ แม้ว่าท่านจะสามารถรักษาความเจ็บปวดในหัวใจของกระหม่อมในช่วงเวลานั้นได้ก็ไม่มีข้อยกเว้น! เหตุผลที่ฝ่าบาทมั่นใจได้ว่ากระหม่อมจะไม่ทำร้ายท่านเพราะกระหม่อมทุ่มเทให้กับรัฐฉิน “ทฏษฎีโค่นรัฐ” ของกระหม่อมนั้นมีเพียงรัฐฉินเท่านั้นที่สามารถดำเนินการจนถึงที่สุด รัฐฉินทำให้กระหม่อมเห็นความหวังแห่งสันติสุข กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้ฉินวุ่นวายเพื่อชีวิตของกระหม่อมและทำลายงานหนักทั้งหมดของตัวเอง”
การที่นางไม่ได้ลงมือกับอิ๋งตั้ง อาจไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เสมอไป
ความสามารถของอิ๋งตั้งไม่เพียงพอ แต่ตราบใดที่เขาสามารถรักษาสถานะปัจจุบันของรัฐฉินได้ ในอนาคตก็ยังสามารถรอกษัตริย์ที่เกิดมาเพื่อชะตากรรมเยี่ยงอิ๋งซื่อได้
“เสด็จพ่อ…เขา เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อิ๋งตั้งบ่นพึมพำ การที่เสด็จพ่อของเขาสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าบุคคลหนึ่งจะประพฤติอย่างไรตั้งแต่เรื่องส่วนตัวจนถึงด้านคุณธรรมทำให้เขารู้สึกกลัว แต่ก็เต็มไปด้วยความเคารพและความโหยหา
ซ่งชูอีเอามือไพล่หลัง กล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อรัฐฉินและเพื่อท่าน!”
อิ๋งตั้งเปี่ยมด้วยความสงสัย “เพื่อข้า?”
“ท่านคิดว่านายพลเหล่านั้นตายในสนามรบจริงหรือ? ท่านคิดว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่ถูกไล่ออกและถูกตัดสินลงโทษล้วนทำความผิดที่ไม่น่าให้อภัยจริงหรือ? เขาฆ่าวีรบุรุษมากมายเพื่อท่าน กระหม่อมไม่ใช่คนแรก” หลังจากนี้ซ่งชูอีไม่สามารถสอนอิ๋งตั้งได้อีกต่อไป นางต้องการเปิดเผยความเป็นจริงอันแปดเปื้อนเพื่อเขา สันนิษฐานว่านี่คือสาเหตุที่อิ๋งซื่อปล่อยให้เขาออกมาหานาง
“เพราะว่าท่านไร้ความสามารถ” ซ่งชูอีกล่าว “เพราะท่านไม่มีอำนาจที่จะควบคุมเรา ท่านไม่มีความสามารถที่จะชี้นำเราไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงต้องทำลายผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาเพื่อช่วยท่านปูทางไปสู่อนาคต”
“ไท่ฟู่…” สมองของอิ๋งตั้งว่างเปล่า ความรู้สึกในใจซับซ้อน แรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้เขาแทบหยุดหายใจ
ซ่งชูอีทอดถอนหายใจเอ่ยว่า “กระหม่อมฝากชีวิตนี้ไว้ที่ฉิน กระหม่อมหวังว่าท่านในอนาคตจะคู่ควรต่อการเสียสละของกระหม่อมและขุนนางคนอื่นๆ กลับไปเถิด”
อิ๋งตั้งกำหมัดแน่น “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่ต้องการให้ไท่ฟู่ตาย ข้าจะไปขอร้องเสด็จพ่อ ขอร้องให้ไท่ฟู่ช่วยเหลือข้าต่อไป!”
ซ่งชูอีเห็นเขาวิ่งออกไปเขาก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงบนไป๋เริ่น ยื่นมือลูบหัวของมันแล้วเอ่ยเสียงเบา “ไปเถิด”
เงาสีขาวสว่างวาบและมุ่งหน้าไปทางเหนือของนคร
ลมรุนแรงทิ่มแทงใบหน้าจนเจ็บปวด เพียงชั่วครู่ไป๋เริ่นก็หยุดลงในลานของจวนหลังหนึ่งแผ่วเบา
ยามรักษาการณ์ในลานรู้สึกประหลาดใจในตอนแรก จนกระทั่งเห็นร่างของหมาป่าสีขาวหิมะก็ต่างโล่งใจอีกครั้ง
“นายท่าน!” ผู้ชายสูงแปดฉื่อคนหนึ่งออกมารับหน้า
ซ่งชูอีมองสำรวจเขาใกล้ๆ เห็นเพียงว่าเขาสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่และสวมเสื้อขนแกะกลางเก่ากลางใหม่ด้านนอก ขมับสองข้างมีผมหงอกแซม คิ้วและหางตามีร่องรอยลึกแล้ว การแต่งตัวธรรมดาแต่เผยให้เห็นความสง่างามในทุกท่วงท่า
ทันทีที่เท้านางแตะพื้น เขาก็ออกมาต้อนรับ เห็นได้ชัดว่ารออยู่ที่นี่ตลอดเวลา
“ไม่เจอกันสิบกว่าปี ท่านจำฉือจวี้ไม่ได้แล้วหรือ?” เขาเอ่ย
ซ่งชูอีสามารถเดาได้ว่าเขาคือฉือจวี้ ทว่าไม่เจอกันสิบกว่าปี รูปลักษณ์และอารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลจนแทบจะไม่มีลักษณะในอดีตหลงเหลืออยู่เลย “ตั้งแต่จากกันเจ้าเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน ข้าจำไม่ได้เลยจริงๆ”
“ฮ่าๆ แก่แล้ว จะเหมือนแต่ก่อนได้อย่างไร” ฉือจวี้เชิญซ่งชูอีเข้าบ้าน หลังจากไล่คนรับใช้ออกไปแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าได้เร่งสินค้ากับร้านค้าห้าสิบกว่าแห่งในรัฐต่างๆ ตามที่ท่านบอกแล้ว ในหมู่พวกเขา ขบวนขนส่งยี่สิบกว่าแห่งในรัฐเจ้า อี้ฉวีและรัฐฉีนั้นจะส่งสินค้ามากกว่าครึ่งในวันพรุ่งนี้ และในวันพรุ่งนี้ร้านค้าในนครก็จะส่งสินค้ามาเช่นกัน ข้าได้ลอบจัดแจงตัวแทนของข้าในแต่ละขบวนสินค้าล่วงหน้าแล้ว”
นอกเหนือจากขบวนรถจงใจเหล่านี้ ตามปกติแล้วเสียนหยางก็มีขบวนสินค้าเข้าออกไม่น้อย เพิ่มความคึกคักได้เป็นอย่างดี
“เยี่ยม” ซ่งชูอีเอ่ย
“ได้โปรดอภัยที่ข้าน้อยกล่าวตามตรง เว่ยเต้าจื่อเป็นท่านหมอแห่งฉินอ๋อง เหตุใดท่านจึงไม่ขอให้เขาช่วยเล่า ขอเพียงฉินอ๋องสิ้นพระชนม์ ท่านก็เป็นอิสระแล้วไม่ใช่หรือ?” ฉือจวี้เอ่ย
ซ่งชูอีเอ่ย “เกรงว่าศิษย์พี่ใหญ่จะถูกขังอยู่ในพระราชวัง”
ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเว้ยเต้าจื่อและซ่งชูอี อิ๋งซื่อจะไม่มีการป้องกันได้อย่างไร? หลายวันนี้เว่ยเต้าจื่อไม่ได้กลับไปที่จวนไท่ฟู่ทั้งยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย สถานการณ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว
อีกทั้งเว่ยเต้าจื่อเป็นคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก ทำอะไรไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่เคยถูกยับยั้งความรู้สึก เขามักมากในกามแต่กลับไม่เคยมอบหัวใจให้หญิงคนใด เมื่อกุ่ยกู๋จื่อผู้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ยังคงอิสระเสรีเช่นเดิมเส้นทางที่เขาแสวงหาคือความเป็นไปตามชะตากรรมของธรรมชาติ หากมีบางสิ่งที่ทำให้เขาอยากมีส่วนร่วมก็ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดยั้งเขาได้ หากเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมต่อให้คุกเข่าโขลกศีรษะก็ไม่มีประโยชน์
“เขาชื่นชมฝ่าบาทเสมอมา เขาไม่ต้องการลอบสังหารกษัตริย์เพื่อข้า” ซ่งชูอีเอ่ย
เว่ยเต้าจื่อมีความกะตือรือร้นต่ออิ๋งซื่อมากกว่าหญิงงามเสียอีก จึงต่อชีวิตของเขาด้วยความมุ่งมั่น
ซ่งชูอีไม่เข้าใจความคิดของเว่ยเต้าจื่อ หากเขาสามารถยื่นมือช่วยเหลือได้จะดีที่สุด หากไม่สามารถช่วยเหลือนางก็ไม่อยากฝืนใจ
“มีข่าวจากทางอี่โหลวบ้างหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ย
ฉือจวี้ส่ายหน้า “ข้าได้ส่งออกไปสามสิบเอ็ดคนในระยะนี้ ทว่ายังไม่มีข่าวกลับมาเลย เกรงว่าจะประสบเคราะห์ร้าย…”
“วิถีเต๋านั้นเป็นธรรมชาติ” ซ่งชูอีกล่าวกับตัวเอง
ในอดีตนางมักจะกล่าวคำนี้บ่อยๆ ทว่าจนถึงบัดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้มันเพื่อปลอบใจตัวเอง
นางนอนไม่หลับทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นท้องฟ้ามืดครึ้ม ทั้งประตูทางทิศเหนือและทิศใต้มีผู้คนหนาแน่นแล้ว
เมื่อราชสำนักไม่มีคำสั่งพิเศษ ยานพาหนะที่ผ่านไปมาก็ไม่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ขบวนรถของฉือจวี้เดินทางบ่อยและคุ้นเคยกับทหารยามเป็นอย่างดี ซ่งชูอีปะปนไปกับขบวนรถเพื่อออกไปจากนครในขณะที่ไป๋เริ่นเดินไปทางตะวันตกของเมืองเพียงลำพัง
ทางทิศตะวันตกมีทหารยามไม่มากเท่าประตูอื่นๆ การกวดขันเป็นไปอย่างหละหลวม การที่ไป๋เริ่นเข้าออกบ่อยครั้งก็ไม่มีใครขัดขวาง