บทที่ 379 ความเฉียบขาดชั่วนิรันดร์ของกษัตริย์ (ตอนต้น)

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ในตอนแรกที่ซ่งชูอีป้องกันอยู่ที่ปู้เฉิงนั้น นางได้ทำให้ระบบการเปลี่ยนเวรยามปั่นป่วน สร้างขั้นตอนวิธีและช่วงเวลาส่งมอบสินค้าที่ดูวุ่นวาย ด้วยวิธีนี้ศัตรูจะไม่สามารถทราบเวลาในการส่งมอบครั้งต่อไปของรัฐฉินแม้ว่าเขาจะเฝ้าดูเป็นเวลาหนึ่งเดือนก็ตาม

ขั้นตอนวิธีนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ คน แม้ว่านายพลที่เพิ่งเริ่มใช้แผนการนี้จะบ่นอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากมีคนที่เชี่ยวชาญในการคำนวณเวลา เหล่าทหารเพียงต้องขึ้นลงตามเวลาก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงปรับตัวได้เร็วมาก

ไม่มีใครสังเกตเห็นกฎของขั้นตอนวิธีนี้ มีเพียงซ่งชูอีเท่านั้นที่รู้ว่ามีการส่งมอบเดือนละสองครั้งก่อนและหลังการเปิดประตูเมืองในตอนเช้าตรู่ สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อทหารรักษาการณ์มากนัก แต่ในเวลานี้การสอบสวนของขบวนรถม้าที่เข้าและออกจากเมืองจะค่อนข้างหละหลวมกว่าปกติ

วันมะรืนก็เป็นวันส่งมอบสินค้าแล้ว ซ่งชูอีเป็นห่วงเจ้าอี่โหลวจึงตัดสินใจที่จะออกจากนครล่วงหน้าสองวัน

ขบวนรถสินค้าต่อแถวกันยาวเฟื้อย ขบวนรถของสกุลฉือเรียงแถวอยู่อันดับสาม ในขบวนหนึ่งข้างหน้ามีชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายกับซ่งชูอีห้าถึงหกส่วน ถ้ากองทัพฉินรู้ว่านางหายตัวไปก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของทหารรักษาการณ์ได้ชั่วคราว

ประตูเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด

นายพลเฝ้าที่ยืนอยู่บนหอคอยมองลงไปยังแถวยาวพร้อมกับบ่นพึมพำ “เหตุใดหลายวันนี้ขบวนพ่อค้าถึงเยอะเหลือเกิน!”

ฤดูหนาวไม่ใช่ฤดูที่ดีสำหรับการค้าขายเสียหน่อย

ผู้คุมเกิดความสงสัยจึงสั่งการให้สอบสวนเข้มงวดขึ้น

เมื่อคำสั่งถูกถ่ายทอดลงมาก็บังเอิญเป็นขบวนรถของสกุลฉือพอดี

“บนรถบรรทุกอะไร?”

“สุรา”

ความต้องการสุราเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงฤดูหนาว อีกทั้งสุราที่เพิ่งหมักใหม่ๆ ง่ายต่อการเน่าเสีย ดังนั้นการที่มีขบวนรถขนสุราไปมาจึงเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง

ขบวนหยุดลงและถูกตรวจสอบโดยผู้คุม

ในเวลานี้มีม้าควบเข้ามาด้วยความเร็ว คนในชุดดำคนหนึ่งพลิกตัวลงจากม้า หลังจากแสดงป้ายสัญลักษณ์แล้วเขาก็รีบขึ้นไปบนหอคอยและกระซิบกับผู้คุมสองสามคำ

นายพลลงมาจากหอคอยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สั่งให้คนไปตามขบวนรถสองคันที่ออกไปจากนครแล้วกลับมา

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้คุมจะไม่แข็งกร้าวกับผู้ที่ออกไปจากนครมากเกินไป ทหารจะตรวจดูคร่าวๆ เท่านั้นและเมื่อเขากำลังจะปล่อยตัวผู้คุมก็มาถึง เขาก้าวไปข้างหน้าและสำรวจไหสุราในรถด้วยตัวเอง ไหสุราเล็กมาก ไม่สามารถบรรจุคนได้

เขาเหลือบมองรถม้า ถามเสียงดัง “ภายในรถคือใคร?”

ฉือจวี้ได้ยินดังนี้ก็เลิกม่านขึ้น ประสานมือเอ่ย “เฉินตูเว่ย ไม่เจอกันนานเลย”

เฉินตูเว่ยมองเข้าไปในรถก็เห็นเพียงฉือจวี้และเด็กรับใช้คนหนึ่งก็ยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็ท่านฉือนี่เอง ไม่ทราบว่าท่านเข้ารัฐฉินตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดข้าน้อยไม่ได้ยินข่าวเลย?”

ฉือจวี้เห็นท่าทีของเขาเหมือนต้องการจะทักทายสารทุกข์สุขดิบจึงลงมาจากรถ ยิ้มเอ่ย “เพียงเพราะต้องการหลีกเลี่ยงแขกผู้มาเยือนจึงไม่ได้ป่าวประกาศ ครึ่งปีมานี้ข้าผู้แซ่ฉือไปมารัฐฉินหลายครั้ง กลัวว่าท่านเฉินตูเว่ยงานยุ่ง มิกล้าไปรบกวน ครั้งนี้เฉินตูเว่ยเอ่ยขึ้นมาเพราะจะตำหนิข้าผู้แซ่ฉือเช่นนั้นหรือ?”

“มิกล้า มิกล้า” เฉินตูเว่ยมองดูขบวนรถยาวเหยียด “การค้าขายใดกันที่ลำบากท่านฉือต้องออกโรงด้วยตัวเอง?”

“นี่คือการค้าขายขนาดใหญ่กับรัฐฉี แต่ข้าไม่ได้คุ้มกันขบวนรถเป็นพิเศษ เพียงแค่ติดตามพวกเขากลับไปที่บ้านของข้า” ธุรกิจของฉือจวี้ขยายไปทั่วทุกรัฐ หลังจากสร้างความรุ่งเรืองแล้วเขาก็ได้ตั้งรกรากของเขาในรัฐฉี

“ขอให้ท่านฉือเดินทางปลอดภัย! เพียงแต่เมื่อครู่จวนถิงเว่ยได้สั่งการให้ตามหาคนคนหนึ่ง ล่วงเกินแล้ว” เฉินตูเว่ยโบกมือสั่งให้คนค้นรถม้า

เมื่อเห็นว่าพวกเขาตรวจสอบอย่างละเอียดยิ่ง หัวใจของฉือจวี้ก็จุกอยู่ในลำคอแต่เขายังคงพูดกับเฉินตูเว่ยด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย

หลังจากผ่านไปครึ่งถ้วยชา จู่ๆ นายทหารคนหนึ่งก็กล่าวเสียงสูง “บนรถม้ามีช่องลับซ่อนอยู่”

เฉินตูเว่ยเลิกคิ้ว กล่าวด้วยความเกรงใจ “รบกวนท่านฉือเปิดช่องลับเถิด เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำรถเสียหาย”

ฉือจวี้ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งเด็กรับใช้ที่อยู่ข้างกาย “เปิด”

เด็กรับใช้วิ่งไปที่รถม้าและดึงกลไกฝาครอบรถ ด้านล่างของรถม้าค่อยๆ เปิดออกเสียงดัง “คลิก” มีไหเล็กๆ มากกว่าสิบใบอยู่ข้างใต้ รวมถึงวัตถุดิบต่างๆ ในการทำสุรา

เฉินตูเว่ยเดาว่าน่าจะเป็นวิธีการทำสุราแบบใหม่ซึ่งเป็นความลับของสกุลฉือ แต่สิ่งที่เขาต้องการตามหาคือคน ดังนั้นจึงไม่ได้ถามต่ออีก

ฉือจวี้ก็ไม่ได้อธิบาย สั่งให้เด็กรับใช้ปิดช่องลับทันที สูตรลับของพ่อค้าแต่ละคนล้วนเป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้และการกระทำของฉือจวี้ก็สมเหตุสมผล

“ตูเว่ย!” ทหารม้านายหนึ่งเข้ามาจากนอกเมือง “พบบางอย่างแล้วขอรับ”

เฉินตูเว่ยไม่รบกวนฉือจวี้อีก หมุนตัวขึ้นขี่ม้าแล้วไปตรวจสอบด้วยตัวเอง

แน่นอนว่าทหารที่เหลือก็ไม่กล้าทำให้ขบวนรถของสกุลฉือต้องลำบากอีกจึงปล่อยไปทันที

ขบวนรถม้าออกจากนครช้าๆ ฉือจวี้เลิกผ้าม่านขึ้น เห็นเฉินตูเว่ยคุยกับตัวแทนที่เขาจัดไว้ในขบวนรถขบวนนั้นล่วงหน้า

รถทั้งสองขบวนแล่นผ่านกันไป

หลังจากออกจากนครเสียงหยางมาเจ็ดถึงแปดลี้ ฉือจวี้ก็ขอให้เด็กรับใช้มารับหน้าที่ขับรถทันที

“ลำบากท่านแล้ว” ฉือจวี้พูดกับชายชราที่ขับรถ

“ก็แค่ขับรถเท่านั้น ไม่เห็นต้องสนใจพิธีรีตองเหล่านั้นเลย” เสียงของชายชรานั้นชัดเจน เขาก็คือซ่งชูอี

“โชคดีที่ท่านคิดหาวิธีล่วงหน้า” ฉือจวี้ถอนหายใจโล่งอก

กลไกช่องลับส่วนล่างของรถนั้นประณีตมาก เดิมทีมันถูกเตรียมไว้สำหรับซ่งชูอี ทว่าหลังจากนางพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็พบว่ามันไม่เหมาะสม เพราะการเก็บช่องลับไว้ใต้ท้องรถไม่ใช่เรื่องใหม่ หากมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ผู้คุมจะเน้นการตรวจสอบอย่างแน่นอน หากซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ทันทีที่ถูกค้นพบจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่มีแม้แต่ทางหนีด้วยซ้ำ ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วนางจึงปลอมตัวเป็นคนขับรถม้าและออกรถมาด้วยความทุลักทุเล

คนที่ทำหน้าที่ขับรถม้านั้นมีตั้งแต่สามัญชนถึงบ่าวไพร่ เมื่อเห็นผู้สูงศักดิ์ก็จำต้องค้อมศีรษะคำนับ นางละเลงใบหน้าของตนเป็นสีดำเล็กน้อยแล้วซ่อนเร้นภายใต้หนวดเคราสีขาว ในเวลานั้นแสงสลัว ตราบใดที่นางไม่ทำตัวเด่นก็ไม่มีใครสนใจนางเป็นพิเศษ

“ท่านคิดว่าตัวแทนคนนั้นจะยื้อได้นานสักแค่ไหน?” ฉือจวี้ถาม

ซ่งชูอีเอ่ยว่า “นอกเหนือจากขุนนางในราชสำนักและลูกน้องของข้าแล้ว คนที่คุ้นเคยกับข้ามีไม่มากนัก หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดก็สามารถยื้อได้อย่างน้อยหนึ่งเค่อ”

นับตั้งแต่เข้ารัฐฉินมา ซ่งชูอีมักจะลาป่วยอยู่ที่จวนเสมอ ไม่รับแขกใดๆ ระยะหลังก็ออกนอกจวนน้อยมาก แม้ว่าหลายคนจะเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางในช่วงปีแรกๆ แต่ตอนนี้ก็อาจไม่สามารถจดจำใบหน้าของนางได้ในแวบแรก

วันรุ่งขึ้น ไป๋เริ่นดมกลิ่นตามมา

ซ่งชูอีพบว่าจมูกของมันแตก นอกจากนี้ยังมีคราบเลือดบนขนสีขาวหิมะ เห็นได้ชัดว่าผ่านการต่อสู้มา สิ่งที่สามารถทำร้ายไป๋เริ่นได้ในละแวกเสียนหยางจะต้องไม่ใช่สัตว์อย่างแน่นอน

“นายท่าน!” ผู้อารักขาข้างนอกรถพูดขึ้น “มีจดหมายส่งกลับมาแล้วขอรับ!”

ฉือจวี้ดีใจยิ่ง “หยุดตรงนี้ก่อนเถิด”

ซ่งชูอีกลับมีสีหน้าเยือกเย็น

เมื่อฉือจวี้เห็นท่าทีของซ่งชูอีก็รีบดึงสติกลับมาทันที “หรืออาจจะเป็นแผนการ?”

ซ่งชูอียังไม่ทันตอบ ผู้ส่งสารคนนั้นก็มาถึงนอกรถแล้ว “นายท่าน”

ผู้คุ้มกันโดยรอบต่างถอยออกไปหนึ่งจั้ง ฉือจวี้เลิกม่านขึ้น เห็นชายร่างมอมแมมตัวเปื้อนเลือดคนหนึ่งถูกผู้คุ้มกันคนสนิทแบกอยู่บนบ่าพร้อมยืนอยู่หน้ารถ มือของเขาที่บาดเจ็บแตกจนสามารถมองเห็นกระดูกสีขาว ใบหน้าซีดขาวอิดโรย ริมฝีปากที่ไร้สีเลือดไม่รู้ว่าเพราะแตกจากความหนาวเย็นหรือเพราะความแห้ง เนื้อแดงด้านนอกผสมปนเปกับเลือดสีแดงเข้ม ดูน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ฉือจวี้มองออกทันทีที่เป็นคนของเขา จึงรีบลงจากรถสั่งให้คนไปเชิญหมอ

น้ำเสียงของคนนั้นแหบแห้ง “เมื่อสองวันก่อนข้าน้อยพบว่าท่านแม่ทัพเจ้ากำลังจะกลับไปที่เสียนหยาง ยังไม่ทันได้คุยกับเขา ก็ถูกกลุ่มคนชุดดำซุ่มโจมตี ข้าน้อยดวงแข็งไม่ตายทันที ทว่าข้าน้อยรู้ตัวดีว่าทนได้อีกไม่นานแล้ว อีกทั้งคงตามท่านแม่ทัพเจ้าไม่ทัน ทำได้เพียงกลับมารายงานข่าวก่อน”

“สองวัน…” ฉือจวี้ขมวดคิ้ว

หมอยังไม่ทันมาถึง ผู้ส่งสารคนนั้นก็หายใจเฮือกสุดท้าย ทิ้งตัวอ่อนปวกเปียกอยู่ด้านหลังของผู้คุมกัน

ดวงตาของซ่งชูอีมืดมนเล็กน้อย ลงจากรถแล้วก้มหัวต่ำให้กับผู้คุ้มกันคนนั้น